กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี - บทที่ 395 ผู้ช่วยหญิงคนใหม่
บทที่ 395 ผู้ช่วยหญิงคนใหม่
บทที่ 395 ผู้ช่วยหญิงคนใหม่
เผ่ยเยว่ได้ยินเสียง จึงลุกขึ้นยืนทันที
บางทีเธออาจจะนั่งยอง ๆ นานเกินไป เมื่อยืนขึ้นขาของเธอก็ชา และแทบจะยืนนิ่งไม่ไหว
เธอลุกขึ้นอย่างโซเซ และรีบเกาะผนังด้านหลังเพื่อทรงตัวให้มั่นคง
ฉีจิ่นจือยืนห่างจากเธอเพียงไม่กี่เมตรและมองดูอย่างไร้อารมณ์
เผ่ยเยว่เดินเข้าไปใกล้แล้วยิ้มให้เขา “ฉันกำลังรอนายอยู่น่ะ”
คำตอบของเธอทำให้ฉีจิ่นจือขมวดคิ้ว “เพื่ออะไร?”
เมื่อเผชิญกับความเย็นชาของเขา เผ่ยเยว่ที่เตรียมใจมาแล้วไม่ได้สนใจและพูดว่า “ฉันมาหานายเพราะฉันอยากจะขอโทษนายน่ะ”
หลังจากที่ฉีจิ่นจือเดินออกจากประตูไป ฉีหยวนซานและเผ่ยอิ่งก็เริ่มทะเลาะกัน
เธอยืนอยู่ระหว่างคนทั้งสองและปฏิเสธที่จะฟังคำแนะนำของพวกเขา
สุดท้ายแล้ว มันก็จบลงด้วยการที่ฉีหยวนซานกระแทกประตูแล้วจากไป และเผ่ยอิ่งก็กลับไปที่ห้องของเธอเพื่อเช็ดน้ำตาเพียงลำพัง
อาหารค่ำยังไม่ได้ถูกเก็บ เธอจึงรีบเก็บให้เสร็จอย่างเร่งรีบก่อนจะเข้าไปปลอบใจเผ่ยอิ่งในห้องแล้วออกมาตามหาฉีจิ่นจือ
เธอรู้ว่าการตบคืนนี้เป็นการกระทำโดยเจตนาของเผ่ยอิ่งที่ต้องการระบายโทสะในใจ และถ้าไม่ใช่เพราะตัวเธอเอง ฉีจิ่นจือคงไม่ต้องทนทุกข์ทรมานกับหายนะที่ไม่มีเหตุผลนี้
หลังจากที่ได้ยิน ฉีจิ่นจือก็ไม่แม้แต่จะกะพริบตาและเดินผ่านเธอเข้าไปในอาคารหอพัก
“นี่” เผ่ยเยว่คว้าเขาแล้วรีบปล่อย “ฉันรู้ว่าป้าของฉันทำผิด แต่นั่นก็เพราะลูกของป้าเสียชีวิต เธอเลยไม่สบายใจและระบายความโกรธใส่นาย เกี่ยวกับเรื่องนี้ ฉันขอโทษแทนเธอด้วยนะ”
แววตาของฉีจิ่นจือแสดงถึงความไม่อดทน “เรื่องครอบครัวของเธอไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน และผู้หญิงที่บอบบางอย่างเธอไม่ควรออกมาข้างนอกตอนกลางคืน ไม่อย่างนั้นหากมีอะไรเกิดขึ้น ป้าของเธอได้มาหาฉันอีกแน่”
พูดจบเขาก็เดินผ่านเธอและเข้าไปในหอพักทันที
เผ่ยเยว่ยืนอยู่ที่นั่น มองไปทางด้านหลังของเขา ดวงตาของเธอแดงก่ำ
เธอตะโกน “ฉีจิ่นจือ นายมันไม่มีเหตุผลเลย!”
หลังจากพูดแล้วเธอก็หันหลังกลับและจากไปด้วยความโกรธ
ดีแค่ไหนแล้วที่เธอรอเขาอยู่ข้างนอกท่ามกลางอากาศหนาวเย็นเป็นเวลานาน แต่เขากลับมีความคิดที่เย็นชาราวกับมองว่าเธอเป็นศัตรู
เธอไม่พอใจเขาเลยจริง ๆ
หากเธอแต่งงานกับฉีจิ่นจือจริง ๆ เธออาจจะต้องกลายเป็นน้ำแข็งเมื่อใดก็ได้หลังการแต่งงานแน่นอน
ฉีจิ่นจือยืนอยู่ในหอพัก มองดูร่างผอมบางที่เดินจากไปในตอนกลางคืน ดวงตาของเขามืดลง
เพื่อนร่วมงานที่อยู่ด้านข้างหัวเราะ “พี่ฉี ลูกพี่ลูกน้องตัวน้อยของพี่คนนี้หัวแข็งจริง ๆ ผมพยายามชักชวนให้เธอรออยู่ในห้องของพี่ แต่เธอปฏิเสธและบอกว่าสามารถรอข้างนอกได้”
ฉีจิ่นจือไม่พูดตอบอะไร และหลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งเขาก็เดินไปยังห้องสำนักงานของหอพักชั้นหนึ่ง แล้วโทรหายามที่ยืนเฝ้าประตูใหญ่ “สวัสดี นี่ฉีจิ่นจือ คอยดูให้ทีว่าคุณหนูเผ่ยมีคนมารับกลับรึเปล่า ถ้าไม่มีก็ให้ใครสักคนช่วยพาเธอกลับไปทีนะ”
ลูกพี่ลูกน้องอะไรกัน? สำหรับเขาก็แค่ตัวปัญหาเท่านั้นแหละ
…
เช้าวันรุ่งขึ้น เซี่ยชิงหยวนพาปี่เหลาซานและปี่ฟู่หมานไปยังร้านยามต้องมนต์
เธอพูดว่า “ตอนที่ฉันไปซื้อสินค้า ฉันได้เลือกเสื้อผ้ามาเป็นพิเศษที่เหมาะกับทั้งสองคนไว้ด้วยนะ วันนี้มาร้านกันพอดีเลย มาลองสวมกันหน่อยเถอะ”
ปี่เหลาซานมองไปที่สไตล์การตกแต่งของร้านยามต้องมนต์ และเสื้อผ้าผู้ชายที่แขวนอยู่ข้าง ๆ เขาหันหลังและกำลังจะจากไป “ฉันไม่คุ้นเคยกับการใส่เสื้อผ้าแบบนี้ มันเยอะไปสำหรับฉัน”
มันดูดีแต่ไม่สะดวกจริง ๆ ที่จะใส่พวกมัน
เซี่ยชิงหยวนคว้าเขาแล้วพูดว่า “ไม่ต้องห่วงน่า ยังมีแบบอื่นอีก”
นอกจากนี้ยังมีแจ็กเกตสองสามตัวที่เธอซื้อมาไว้ให้พวกเขาได้ลองใส่ด้วย
แจ็กเกตเหมาะที่สุดสำหรับผู้ที่ชอบทำกิจกรรมกลางแจ้งบ่อย ๆ ตัวที่เธอซื้อนั้นทำจากผ้าชนิดพิเศษที่กันลมกันฝนได้
นอกจากแจ็กเกตแล้วยังมีเสื้อผ้าซับในระบายความร้อน เสื้อสเวตเตอร์แคชเมียร์ และอื่นๆ ซึ่งทั้งหมดนี้เธอซื้อมาให้พวกเขา
เดิมทีปี่เหลาซานต้องการปฏิเสธ แต่เซี่ยชิงหยวนดึงเสื้อผ้าซับในที่มีรูอยู่เต็มไปหมดออกมา แล้วพูดว่า “ดูเสื้อผ้าของฟู่หมานสิ จะปล่อยให้ใส่แบบนี้ต่อได้ยังไง?”
จากนั้นเซี่ยชิงหยวนชี้ไปที่ปกคอเสื้อของปี่เหลาซานอีกครั้ง ซึ่งมันย้วยหมดแล้ว “แล้วดูเสื้อผ้าของอาจารย์สิ มันยืดและย้วยไปหมดแล้วนะ”
อันที่จริงไม่ใช่ว่าปี่เหลาซานไม่มีเงิน แต่เขาใช้ชีวิตอย่างสมบุกสมบันเกินไป
หลายปีที่ผ่านมา ชายทั้งสองไม่มีผู้หญิงคอยดูแล ดังนั้นพวกเขาจึงอยู่อย่างง่าย ๆ และไม่ดูแลตัวเอง
ปี่เหลาซานหน้าแดงและพูดว่า “เธอกำลังขายของพวกนี้อยู่นะ แล้วจะเอาของมากขนาดนี้มาให้ได้ยังไง?”
เซี่ยชิงหยวนยิ้มและพูดว่า “ตอนนี้ลูกศิษย์ของอาจารย์ไม่มีอะไรนอกจากเสื้อผ้ามากมายแล้วนี่คะ”
เฉิงสี่จวี๋และลูกค้าหลายคนก็อยู่ที่นั่นด้วย พวกเขาช่วยพูด “ใช่แล้ว ผู้อาวุโสคะ ดูสิว่าลูกศิษย์ของคุณกตัญญูขนาดไหน”
เซี่ยชิงหยวนพาทั้งสองคนไปที่ร้าน แนะนำให้ทุกคนรู้จักในฐานะอาจารย์และศิษย์น้องชายของเธอ โดยที่เธอไม่ได้แสดงสีหน้าท่าทางเลยว่าพวกเขาจะทำให้ตัวเธออับอายหรือไม่เหมาะสมกับฐานะที่จะรู้จักเธอ
ปี่ฟู่หมานพูดว่า “ตาเฒ่า ยอมรับเถอะ ไม่อย่างนั้นศิษย์พี่หญิงจะเสียใจนะ”
ปี่เหลาซานยอมรับด้วยรอยยิ้ม “อ้าว นี่แกยอมรับว่ามีศิษย์พี่หญิงแล้วเหรอ?”
ปี่ฟู่หมานเม้มปากและไม่ตอบโต้ซึ่งหาได้ยากจริงๆ
หลังจากที่พวกเขาเลือกเสื้อผ้าเสร็จแล้ว ก็พาไปที่ถนนอาหารเพื่อกินอาหาร
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา มีผู้สูงอายุและเด็กขอทานจำนวนมากตามท้องถนน
คนเหล่านี้ใส่เสื้อผ้าขาด ๆ มีผิวซีดและบาง ถือชามที่แตกหักหรือใช้มือประสานกันเพื่อขอเงินไม่ก็อาหาร
ตามปกติแล้วเมื่อเซี่ยชิงหยวนเห็นขอทานเหล่านี้ เธอก็จะให้เงินพวกเขาไม่มากแค่หนึ่งหรือสองเหมาเท่านั้น เพื่อที่พวกเขาจะได้ซื้อบะหมี่ร้อน ๆ ได้สักชาม
ทว่าพอปี่ฟู่หมานเห็นสิ่งนี้ เขาก็หยุด
เซี่ยชิงหยวนเอ่ยถาม “มีอะไรผิดปกติเหรอ?”
ปี่ฟู่หมานพูดว่า “ถ้าเธอให้เงินพวกเขาแบบนี้ พรุ่งนี้พวกเขาก็จะยังรออยู่ที่เดิม หลังจากสร้างนิสัยแล้ว พวกเขาจะรอเธอทุกวัน”
เรื่องแบบนี้เขากับอาจารย์เผชิญมาเยอะมากแล้ว
ในตอนแรกเขากับปี่เหลาซานก็ให้เงินและอาหารแก่คนเหล่านี้ แต่ต่อมาพวกเขาพบว่าบางคนจะปฏิเสธอาหารและต้องการเพียงเงินเท่านั้น
เมื่อทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ขอทานเหล่านี้จะกลายเป็นการสร้างความเดือดร้อนให้
เซี่ยชิงหยวนพูดว่า “คนเหล่านี้มีจำนวนไม่มาก หากพวกเขามีทางเลือกอื่น พวกเขาก็คงไม่มาขอด้วยวิธีนี้หรอก”
คนในยุคนี้ไม่ได้ดีไปกว่ารุ่นหลัง ๆ ซึ่งมีขอทานมืออาชีพ
ขอทานแบบนั้นจะกระจัดกระจายไปทั่วเมือง เฝ้าดูกันและกัน และบางคนถึงกับลักพาตัวเด็กพิการมาใช้งานขอทาน หาเงินให้พวกเขา
เมื่อเซี่ยชิงหยวนให้เงินพวกเขา เธอจะสังเกตเห็นความปรารถนาในสายตาของเด็ก ๆ และมือที่แตกย่นของเหล่าคนชรา
คนแบบนี้ไม่สามารถเป็นคนโกหกได้
ปี่เหลาซานถอนหายใจ “โลกนี้ยากลำบาก ถ้าเราช่วยได้ ก็แค่ช่วยไปบ้างเถอะ”
จากนั้นเขาหยิบถุงเงินออกมาแล้วส่งให้ปี่ฟู่หมาน “ฟู่หมาน เอาไปแจกเถอะ”
ปี่ฟู่หมานไม่มีทางเลือก เขาทำได้เพียงแค่ทำตามที่ถูกสั่งเท่านั้น
เซี่ยชิงหยวนมองไปที่พวกเขา เธอรู้ว่าในภูเขาลึกหลายแห่งของมณฑลยูนนานมีคนจำนวนนับไม่ถ้วนที่ยากจนยิ่งกว่านี้ แม้จะสิบปีหลังจากนี้ก็ยังผู้คนที่ใช้ชีวิตโดดเดี่ยวและล้าหลัง
เธอมีอุดมคติที่ไม่เคยบอกใคร นั่นคือการตอบแทนประเทศและสังคมโดยการกระทำแบบปิดทองหลังพระ
…
เมื่อกลับบ้านไปในตอนเย็น เสิ่นอี้โจวเก็บสัมภาระและบอกว่าเขาจะไปเยี่ยมคนจนก่อนปีใหม่
นี่เป็นครั้งที่สองนับตั้งแต่การแต่งงานของพวกเขาที่เสิ่นอี้โจวออกไปทำงาน ยกเว้นเหตุการณ์ที่ฝูเถียน
เธอกอดเอวของเขาอย่างไม่เต็มใจ “คุณจะไปกี่วัน?”
เสิ่นอี้โจวกอดเธอกลับและเกลี้ยกล่อม “ผมจะกลับมาในสามหรือสี่วันนะ”
คราวนี้เดิมทีเขาว่าจะพาสมาชิกในครอบครัวไปด้วย แต่เมื่อคิดว่าเซี่ยชิงหยวนตั้งครรภ์อยู่ การพาเธอไปยังสถานที่ที่มีสภาพอากาศเลวร้าย ทั้งยังไม่ต้องพูดถึงน้ำและไฟฟ้า แม้แต่ถนนก็ไม่สามารถสัญจรได้อย่างสะดวก มันจะเป็นความเสี่ยงต่อเธอมากกว่า ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเก็บพับความคิดนั้นไป
เซี่ยชิงหยวนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพูดว่า “งั้นดูแลตัวเองให้ดีและอย่าประมาทล่ะ”
ในขณะที่เซี่ยชิงหยวนคิดว่าเสิ่นอี้โจวน่าจะพาฉู่ซิงอวี่ไปด้วย เธอก็เห็นฉู่ซิงอวี่อยู่ที่ลานบ้านแทน
นอกจากฉู่ซิงอวี่แล้วยังมีคู่พี่น้องหลิงเยี่ยและหลิงหลินอีกด้วย
เธอแปลกใจ “เอ๊ะ พวกคุณไม่ได้ไปกับอี้โจวเหรอ?”
ฉู่ซิงอวี่พูด “เลขาธิการเสิ่นจัดให้ผมอยู่ที่มณฑลอวิ๋นเพื่อคอยดูแลและปฏิบัติตามคำสั่งของคุณนายครับ”
เซี่ยจิ่งเฉินอาจกลับมาตอนไหนก็ได้และเรื่องนี้ค่อนข้างเป็นความลับ เสิ่นอี้โจวไม่ต้องการให้ใครรู้มากนัก ดังนั้นเขาจึงสั่งให้ฉู่ซิงอวี่ผู้ที่น่าเชื่อถือติดตามเซี่ยชิงหยวนแทน
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้าและถามว่า “ถ้างั้นเขาไปคนเดียวเลยเหรอ?”
ฉู่ซิงอวี่ดูแปลกๆ “มีผู้ช่วยคนอื่นอยู่ด้วยครับ”
“อย่าไปฟังเขาค่ะ” หลิงหลินพูดด้วยความไม่พอใจ “ผู้ช่วยคนนั้นเป็นผู้ช่วยหญิงที่มีความสามารถหน้าใหม่น่ะ”
เซี่ยชิงหยวน”?”