กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี - บทที่ 405 ส่งจากตระกูลเสิ่น
บทที่ 405 ส่งจากตระกูลเสิ่น
บทที่ 405 ส่งจากตระกูลเสิ่น
ใบหน้าของเซี่ยจื่ออี้เปลี่ยนไปทันที “ซูอวี้ อย่ามาพูดเรื่องไร้สาระนะ”
เธอรีบมองไปที่เผ่ยเยว่และกระซิบ “ฉันกับเพื่อนคนนี้มีเรื่องเข้าใจผิดกันนิดหน่อยน่ะ หล่อนก็เป็นแบบนี้แหละ เธออย่าไปคิดจริงจังเลยนะ”
หลังจากได้ยินอย่างนั้น รอยยิ้มของฉินซูอวี้ก็กว้างขึ้น เธอก้าวมาข้างหน้าเข้าหาเผ่ยเยว่และพูดอย่างแผ่วเบา “ผู้หญิงคนนี้ชอบตีสองหน้า หากคุณจะเป็นเพื่อนกับเธอก็ควรระวังถูกแทงหลังสักหน่อยนะคะ”
หลังจากนั้นฉินซูอวี้ก็หัวเราะอีกครั้ง ไม่ว่าเซี่ยจื่ออี้จะแสดงออกอย่างไรเธอก็เดินจากไปเพียงลำพังแล้ว
ใบหน้าของเซี่ยจื่ออี้ซีดลงทันที “เสี่ยวเยว่ คือหล่อน…”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” เผ่ยเยว่ส่ายหัวและยิ้มตอบ “ฉันรู้ว่าคุณกับเธอมีเรื่องเข้าใจผิดกัน”
ขณะที่พูดอย่างนั้น หญิงสาวก็ปิดตะกร้าด้วยผ้าให้มิดชิดมากยิ่งขึ้น “อาหารเริ่มเย็นแล้วรีบไปกันเร็ว ๆ ดีกว่าค่ะ”
ปฏิกิริยาของเผ่ยเยว่ทำให้เซี่ยจื่ออี้สับสน
ต่อให้เป็นคนที่ไร้เดียงสาหรือโง่มากที่สุดก็ไม่ควรเฉยเมยได้ขนาดนี้เมื่อต้องเผชิญกับเรื่องเช่นนี้สิ
เผ่ยเยว่คนนี้โง่จริง ๆ หรือรู้จุดประสงค์ของเธอแล้ว และแสดงร่วมไปกับเธอกันแน่?
เมื่อคิดถึงสิ่งนี้สีหน้าของเซี่ยจื่ออี้ก็มืดลง
แต่พอเผ่ยเยว่เรียกอีกครั้ง เธอก็เลิกคิดและเดินตามอย่างรวดเร็ว
…
ครอบครัวของเซี่ยชิงหยวนกินมื้อเย็นเสร็จแล้ว และเด็ก ๆ ทุกคนก็ออกไปวิ่งเล่นกัน
คราวนี้เสิ่นอี้โจวซื้อดอกไม้ไฟมาเต็มท้ายรถและอนุญาตให้เสิ่นอี้หลินเอาพวกมันออกไปเล่นได้ตามใจชอบ
เด็ก ๆ วิ่งไปพร้อมกับดอกไม้ไฟในมือ พวกเขายิ้มแย้มดูมีชีวิตชีวาและน่ารักมาก
ปี่เหลาซานมีความสุขมากจนหยิบซองอั่งเปาสีแดงที่เตรียมไว้แจกให้เด็ก ๆ
ซองอั่งเปาสีแดงที่มอบให้เด็ก ๆ ในวันส่งท้ายปีเก่าเรียกว่ายันต์วันส่งท้ายปีเก่า
ในอดีตมีความเชื่อกันว่าในวันปีใหม่จะมีวิญญาณชั่ว ผีร้าย หรือสัตว์ประหลาดออกมาหลอกเด็กในวันปีใหม่ ดังนั้นพวกผู้ใหญ่จึงใส่ซองแดงใต้หมอนของเด็ก ๆ ในคืนวันปีใหม่ เพื่อขับไล่วิญญาณชั่วร้ายออกไป
บางคนยังพูดอีกว่าวันส่งท้ายปีเก่าก็คือวันส่งท้ายปีเก่านั่นแหละ ซึ่งหมายถึงการถือครองหนึ่งปีและมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกหนึ่งปี ถือเป็นพรจากญาติ เพื่อนฝูง และผู้ใหญ่เพื่อการเจริญเติบโตที่ดีของลูกหลาน
ไม่ว่าจะพูดแบบไหนก็ล้วนแต่เป็นความปรารถนาดีต่อเด็ก ๆ
เสิ่นอี้โจวและเซี่ยชิงหยวนเองก็เตรียมซองอั่งเปาไว้ด้วย ซองนี้เธอขอให้เหล่าไต้หาซื้อให้ มันดูสวยงามประณีตและเป็นที่ชื่นชอบมาก
ปี่เหลาซานถอนหายใจ “วันเดียวกันนี้ของปีหน้า ลูก ๆ ของเธอเองก็จะสามารถขออั่งเปาได้แล้วเหมือนกันสินะ”
ปี่ฟู่หมานอดหัวเราะไม่ได้ “อาจารย์ คุณไม่คิดว่าลูกของศิษย์พี่หญิงเป็นเด็กอัจฉริยะเกินไปเหรอ? วันนี้ในปีหน้าเด็กยังพูดไม่ได้ด้วยซ้ำ แล้วจะยื่นมือขอซองอั่งเปาได้ยังไง?”
ปี่เหลาซานลูบเครา “ฉันไม่สน ถ้าบอกว่าขอซองอั่งเปาได้ก็หมายความว่าทำได้สิ”
เซี่ยชิงหยวนกับเสิ่นอี้โจวยิ้มให้กันและกันอย่างใกล้ชิด
บังเอิญว่าเฟิงหว่านและสามีของเธอก็มาพร้อมกับเถาเหนียนซีด้วย
ทันทีที่เสิ่นอี้หลินเห็นเถาเหนียนซี เขาก็พาเด็กหญิงออกไปเล่นอย่างมีความสุข
ตอนนี้เถาจื่อซิงติดต่อกับเสิ่นอี้โจวในที่ทำงานมากขึ้น ดังนั้นทั้งสองจึงไปพูดคุยกันที่ด้านข้าง
ส่วนเฟิงหว่านกับเซี่ยชิงหยวนก็พูดคุยเกี่ยวกับเหตุการณ์ล่าสุดในเขตที่พักอาศัย “เมื่อกี้ตอนที่เรามาที่นี่ เราเห็นเซี่ยจื่ออี้กับลูกพี่ลูกน้องของตระกูลฉีเดินไปด้วยกันด้วยแหละ ทั้งสองดูสนิทกันมาก ดูเหมือนว่าเซี่ยจื่ออี้คนนี้ยังคงไม่ล้มเลิกความคิดที่จะเข้าร่วมตระกูลฉีเลยนะเนี่ย”
เซี่ยชิงหยวนไม่แปลกใจเลยที่เฟิงหว่านรู้เรื่องเกี่ยวกับตระกูลเซี่ยและตระกูลฉี
แต่เธอไม่ได้แสดงความคิดเห็นใด ๆ เพิ่มเติม และพูดว่า “ฉันเองก็ไม่รู้เรื่องพวกนี้เลยค่ะ ความคิดของผู้หญิงคนนั้นมักซับซ้อนไปมาอยู่ตลอดเวลาเลย”
เฟิงหว่านเดาะลิ้นแล้วพูดว่า “อืม คงยังไม่คิดจะยอมแพ้ตราบใดที่ยังไม่ตายนั่นแหละ แต่ฉีจิ่นจือคนนั้นไม่คิดจะมองเธอด้วยซ้ำ ไม่อย่างนั้นเขาคงกลับบ้านในช่วงปีใหม่แล้ว”
เซี่ยชิงหยวนสะดุ้ง “เขาไม่ได้กลับบ้านเหรอคะ?”
เฟิงหว่านถอนหายใจ “ใช่ ทั้ง ๆ ที่เป็นวันส่งท้ายปีเก่าแต่เขากลับยังทำงานอยู่เลยน่ะสิ”
ร่างที่โดดเดี่ยวของฉีจิ่นจือปรากฏขึ้นในใจของเซี่ยชิงหยวนทันที
หลังจากที่ช่วงนี้เข้ากันได้ไม่น้อย เธอก็คิดว่าเขาไม่ใช่คนเลว แถมเขายังช่วยชีวิตเธอและเสิ่นอี้หลินอีกด้วย
ในแง่ของความรักในครอบครัว เขาอ่อนแออย่างน่าสงสาร
เซี่ยชิงหยวนพูดคุยกับเฟิงหว่านอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็หาเหตุผลที่จะกลับเข้าไปในบ้านเพื่อตามหาเสิ่นอี้โจว
จากนั้นเธอก็บอกเสิ่นอี้โจวเกี่ยวกับเรื่องนี้
เสิ่นอี้โจวพูดว่า “ไม่ใช่ว่าคุณเตรียมขนมไว้มากมายให้เด็ก ๆ หรอกเหรอ? คุณแบ่งมาสักห่อสิ แล้วเดี๋ยวผมจะใช้ให้คนของผมไปส่งมันให้เอง”
เซี่ยชิงหยวนยิ้มและพูดว่า “คุณนี่ช่างคิดจริง ๆ”
เดิมทีเธอต้องการไปเชิญฉีจิ่นจือมาที่บ้าน แต่ก็รู้สึกว่าตามนิสัยของอีกฝ่ายแล้ว เขาไม่น่าจะเห็นด้วยแน่ๆ
แต่ถ้าเสิ่นอี้โจวทำสิ่งนี้เอง แบบนั้นทั้งสองฝ่ายจะสามารถรักษาหน้าไว้ได้ และท้ายที่สุดฉีจิ่นจือก็จะไม่ปฏิเสธ
เซี่ยชิงหยวนจัดของว่างให้กับเด็ก ๆ ซึ่งบางอันเป็นของพิเศษของเมืองกว่างโจวที่ส่งมาโดยเหล่าไต้
เพื่อหลีกเลี่ยงอาการแพ้ท้องในตอนเช้า ตอนนี้ห้องครัวจึงเตรียมอาหารไว้ทุกวัน เธอเหลือบมองซุปที่อุ่นในหม้อดินก่อนจะแบ่งตักใส่ชามที่มีฝาปิด พร้อมกับน่องไก่ขนาดใหญ่แล้วปิดฝาชามห่อให้เรียบร้อย
หลังจากที่ห่ออาหารและของว่างเรียบร้อย คนที่เสิ่นอี้โจวสั่งก็มาถึงพอดี
เสิ่นอี้โจวหยิบข้าวของจากมือภรรยาแล้วยื่นให้กับคนที่เขาเรียกมา “แค่บอกคุณชายฉีว่านี่เป็นน้ำใจจากครอบครัวของฉันก็พอ”
เซี่ยชิงหยวนรู้สึกขอบคุณสำหรับความรอบคอบของเสิ่นอี้โจว
แบบนี้มันฟังดูดีกว่ามากถ้าเทียบกับการที่ให้เธอบอกด้วยตัวเอง
“เดี๋ยวก่อน” เซี่ยชิงยวนหยิบขนมสองกำมือจากในบ้าน แล้วมอบให้คนที่เสิ่นอี้โจวเรียกมา “เอาพวกนี้กลับไปให้เด็ก ๆ ที่บ้านของคุณนะคะ”
ผู้ใต้บังคับบัญชาที่ถูกเรียกมาดูมีอายุประมาณสามสิบปีได้ และน่าจะแต่งงานมีลูกแล้ว
ผู้ใต้บังคับบัญชามองดูขนมที่บรรจุอย่างประณีตในมือของเขาและกลิ่นหอมหวานที่ทะลุจมูกก็ทำให้เขาพยักหน้าอย่างมีความสุข “ขอบคุณครับคุณนาย!”
…
เผ่ยเยว่กับเซี่ยจื่ออี้ไปถึงสำนักงานความมั่นคงสาธารณะโดยบอกว่าพวกเธอมาหาฉีจิ่นจือ
ยามมองดูทั้งสองครั้งแล้วครั้งเล่า และพูดว่า “รอสักครู่นะครับ ผมจะเข้าไปถามก่อน”
เมื่อยามเข้ามาถามที่ด้านใน กลุ่มคนในห้องก็กำลังกินข้าวด้วยกันอยู่พอดี
อาหารมื้อนี้พวกเขาขอให้พ่อครัวในโรงอาหารช่วยทำให้เป็นแบบพิเศษโดยการเพิ่มเงินให้เยอะกว่าปกติ
ทว่าตอนนี้เป็นการเข้าเวรตอนกลางคืน จึงเป็นธรรมดาที่จะไม่มีใครกล้าดื่ม ดังนั้นทุกคนจึงดื่มชาคุณภาพต่ำในถ้วยเซรามิกแทน คุณดื่มให้ฉัน ฉันก็ดื่มให้คุณ
ฉีจิ่นจือกินอาหารไปสองสามคำ จากนั้นก็นั่งพิงหน้าต่างใกล้ ๆ พลางหยิบเศษไม้ชิ้นเล็ก ๆ ออกมาและเริ่มแกะสลักมันด้วยมีด
เป็นงานประติมากรรมไม้ขนาดเล็กที่มีลักษณะคล้ายหนูตัวน้อย หัวกลมและน่ารักมาก
ยามที่เพิ่งเข้ามามองไปรอบ ๆ ห้องและพบฉีจิ่นจือนั่งอยู่ข้างหน้าต่าง เขาเดินเข้ามาแล้วพูดว่า “พี่ฉีครับ มีผู้หญิงสองคนมาตามหาคุณอยู่ข้างนอกน่ะครับ”
ฉีจิ่นจือเหลือบมองอย่างเกียจคร้าน “นายรู้จักพวกเธอไหม?”
ยามหนุ่มคนนี้เพิ่งมาทำงานใหม่ เขาเกาหัวด้วยความกระอักกระอ่วนแล้วพูดว่า “เอ่อ… ผมไม่รู้จักพวกเธอเลยครับ”
ฉีจิ่นจือไม่คิดจะสร้างความลำบากให้อีกฝ่าย เขาเก็บไม้แกะสลักและมีดกลับเข้าไปในกระเป๋าแล้วเดินออกไปข้างนอก
เมื่อเขาได้เห็นอย่างชัดเจนว่าผู้หญิงทั้งสองอยู่ที่ประตูเป็นใคร เขาก็หันหลังกลับและเดินกลับโดยไม่แยแสทันที
“ฉีจิ่นจือ” แต่สายตาเฉียบคมของเผ่ยเยว่มองเห็นเขาก่อน
ฉีจิ่นจือหยุดเดิน หันกลับไปมองเธอและเซี่ยจื่ออี้ที่อยู่ข้าง ๆ อย่างรำคาญใจ
เซี่ยจื่ออี้ยิ้มให้เขา “จิ่นจือ ไม่เจอกันนานเลยนะ”
ฉีจิ่นจือเมินเซี่ยจื่ออี้และมองไปที่เผ่ยเยว่ “มีอะไร?”
เผ่ยเยว่สำลักกับน้ำเสียงเย็นชาของเขาแล้วยิ้มอีกครั้ง “ฉันมาที่นี่เพื่อนำอาหารมาให้นายน่ะ”
เธอยกตะกร้าขึ้นมาตรงหน้า “มันยังอุ่นอยู่ด้วยถ่านร้อนๆ เลยนะ”
ฉีจิ่นจือมองดูหญิงสาวแต่ไม่ตอบ เขามองตรงไปที่เผ่ยเยว่อย่างพิจารณาโดยไม่สนเรื่องมารยาท
เผ่ยเยว่ไม่สามารถต้านทานสายตาของเขาที่มองเธอแบบนี้ได้ หญิงสาวหลบสายตาออกไปก่อนแล้วมองเขาอีกครั้ง “อะไรเหรอ?”
ฉีจิ่นจือขมวดคิ้วอย่างเต็มไปด้วยความสงสัย “เธอต้องการจะทำอะไรกันแน่?”
ด้วยสีหน้าที่เย็นชาและน้ำเสียงไม่อดทน เผ่ยเยว่รู้สึกสำลักกับคำถามของเขามากจริงๆ
เซี่ยจื่ออี้ที่กำลังยืนมองอยู่ข้าง ๆ เม้มริมฝีปากแน่นก่อนจะก้าวมาข้างหน้า แล้วพูดว่า “จิ่นจือ อย่าทำแบบนี้เลย เสี่ยวเยว่แค่เป็นห่วงนายนะ”
ฉีจิ่นจือหันไปมองเซี่ยจื่ออี้และถามห้วน ๆ “มันเกี่ยวอะไรกับเธอ?”
เซี่ยจื่ออี้พูดว่า “ฉัน…”
หลังจากที่ไม่ได้เจอเขามาระยะหนึ่งแล้ว คำพูดของเขาก็ยังน่ารำคาญเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน
เผ่ยเยว่พูดว่า “ฉีจิ่นจือ นี่ไม่เกี่ยวอะไรกับพี่จื่ออี้สักหน่อย”
เมื่อได้ยินแบบนี้ ฉีจิ่นจือก็ยิ้มตอบ “เธอรู้ไหมว่าหล่อนเป็นคนแบบไหน? นี่เธอช่วยหล่อนพูดเชียวเหรอ?”
เผ่ยเยว่ก้มหัวลงและพูดด้วยเสียงเบา “พี่จื่ออี้เป็นคนดีมากนะ”
เซี่ยจื่ออี้ยิ้มอย่างฝืน ๆ “ไม่เป็นไร เสี่ยวเยว่อย่าลำบากเพราะฉันเลย”
หลังจากพูดอย่างนั้น เซี่ยจื่ออี้ก็เดินจากไป “พวกเธอคุยกันไปก็แล้วกัน ฉันจะไปเดินเล่นรอบ ๆ รอนะ”
น้ำเสียงอ่อนโยนและมีน้ำใจ แต่เมื่อเธอหันกลับไปอีกครั้ง สีหน้านั้นก็เต็มไปด้วยความเกลียดชัง
ฉีจิ่นจือไม่ต้องการพูดอะไรกับเผ่ยเยว่อีก “เอาของของเธอกลับไปซะ”
เผ่ยเยว่กะพริบตาปริบๆ “ฉีจิ่นจือ ฉันแค่อยากจะดูแลนายเท่านั้นเอง นายหยุดทำตัวแบบนี้ได้ไหม? ทำไมต้องปฏิเสธผู้คนให้ห่างออกไปเรื่อย ๆ แบบนี้ด้วย?”
สีหน้าของฉีจิ่นจือไม่ได้เปลี่ยนแปลงเลย “ขอบคุณ แต่ไม่จำเป็น”
ขณะที่พวกเขาทั้งสองกำลังคุยกัน รถคันหนึ่งก็จอดที่ประตูและมีชายคนหนึ่งในวัยสามสิบลงมาจากรถพร้อมกับข้าวของในมือ
ชายคนนั้นเดินตรงเข้ามาหาพร้อมกับตะกร้าในมือของเขา และถามฉีจิ่นจือ “ขออภัยครับ คุณคือคุณชายฉีใช่ไหมครับ?”
ฉีจิ่นจือจำอีกฝ่ายได้ เขาเคยเห็นชายคนนี้อยู่ข้าง ๆ เสิ่นอี้โจว ดังนั้นเขาจึงตอบว่า “ผมเอง”
ชายคนนั้นยิ้ม “เลขาธิการเสิ่นขอให้ผมนำสิ่งนี้มาให้คุณน่ะครับ”
หลังจากพูดอย่างนั้นเขาก็ยื่นตะกร้าในมือให้อีกฝ่าย
ฉีจิ่นจือเหลือบมองที่ตะกร้าแล้วรับมันในวินาทีถัดมา “ฝากขอบคุณเลขาธิการเสิ่นและคุณนายเสิ่นให้ผมด้วยนะ”
ในใจของฉีจิ่นจือ เขาเต็มใจที่จะเชื่อว่าเซี่ยชิงหยวนเป็นคนสั่งให้คนนำมามอบให้เขามากกว่า
แต่คำพูดนี้ควรหายไปอยู่ในท้องของเขาเท่านั้น มันไม่สามารถพูดหรือเอ่ยออกไปได้เด็ดขาด
ส่วนเผ่ยเยว่ก็ได้แต่ยืนมองดูฉีจิ่นจือหิ้วตะกร้าของตระกูลเสิ่นกลับไปที่สำนักงานทั้งแบบนั้น
เซี่ยจื่ออี้ก้าวมาข้างหน้า และกระซิบข้างหูของเธอ “ชายคนเมื่อกี้บอกว่าของถูกส่งมาจากตระกูลเสิ่นเหรอ? อย่างที่ฉันบอกไปไงว่าคุณนายเสิ่นกับจิ่นจือเป็นเพื่อนเก่ากัน แถมดูเหมือนว่าพวกเขาเป็นเพื่อนเก่าที่สนิทกันมากด้วยเนี่ยสิ”