กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี - บทที่ 419 แยกกันอยู่ (ครึ่งหลัง)
บทที่ 419 แยกกันอยู่ (ครึ่งหลัง)
บทที่ 419 แยกกันอยู่ (ครึ่งหลัง)
สีหน้าท่าทางของเซี่ยจิ่งเฉินพลันอึดอัดขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ “แม่ครับ ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้น”
เขามองไปยังเซี่ยจิ่งเยว่และกงเหลียนซิน ก่อนเอ่ยชักจูง “ยังไงทั้งแม่และพ่อก็ต้องไม่อยู่กับผมอยู่แล้ว ตอนนี้ก็เพียงเพื่อจัดการเรื่องนี้ให้เร็วขึ้น พี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ก็มีแผนของพวกเขา แม่เองก็ไม่อาจจะขังพวกเขาให้อยู่ที่บ้านตลอดไปได้นี่ครับ? ผมเคยไปเมืองชายฝั่งทางใต้ เป็นเรื่องจริงว่าที่นั่นมีโอกาสมากมาย การศึกษาที่หลากหลายในเมืองใหญ่นั้น เมืองในชนบทของพวกเราเทียบไม่ได้เลย ถ้าไป่เหิงกับไป่อวิ๋นได้ติดตามพี่ชายพี่สะใภ้ไปยังโลกภายนอก พวกเขาจะได้สัมผัสกับโลกอันกว้างใหญ่ หากพวกเขาได้เป็นเจ้าคนนายคน ก็เป็นหน้าเป็นตาให้แม่ไม่ใช่เหรอครับ?”
ในชนบท หลังจากแยกครอบครัวแล้ว พ่อแม่ก็มักจะไปอยู่กับลูกชายคนโต อีกทั้งสิ่งที่เซี่ยจิ่งเฉินพูดมาก็ไม่ผิด
หวังผิงนั้นเข้าใจอย่างแจ่งแจ้ง เพียงแต่ไม่อาจยอมรับได้อยู่ชั่วขณะหนึ่ง
ไม่รู้ว่าเธอเริ่มเป็นคนเฉยเมยแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไร
เมื่อเห็นว่าหวังผิงไม่ตอบโต้อะไร เซี่ยจิ่งเฉินจึงจับมือของมารดาแล้วพูดต่อว่า “ในอนาคต หากแม่และพ่อต้องการไปใช้ชีวิตในเมือง ผมก็จะพาไป ต่อไปผมจะเป็นคนดูแลพ่อแม่ รวมถึงเด็ก ๆ เอง หากแต่ความหวังนี้ เกรงว่าคงต้องรออีกสักปีสองปี แต่พ่อแม่วางใจได้ ลูกชายคนนี้จะไม่ทำให้ผิดหวังแน่นอน”
หลังจากประสบเรื่องราววทั้งหมดมา ราวกับว่าเซี่ยจิ่งเฉินเติบโตขึ้นอย่างฉับพลัน กลายเป็นลูกชายและพ่อที่มีความรับผิดชอบมากขึ้น
นัยน์ตาของเขาอ่อนโยน เปล่งประกายแสงแห่งความหวังสำหรับอนาคต ไม่มีอีกแล้วแววตาแห่งความท้อแท้และสิ้นหวังเหมือนเช่นที่ผ่านมา
เพราะรู้ว่าลูกชายก็เหมือนกับแม่ หวังผิงทนไม่ไหวอีกต่อไป พลันโผเข้ากอดเซี่ยจิงเฉินด้วยน้ำตาพลางเอ่ย “ลูกแม่!”
ในที่สุดเธอก็ยอมอ่อนข้อให้
เซี่ยโยว่หมิงและเซี่ยจิ่งเยว่ที่อยู่ข้าง ๆ ต่างเช็ดน้ำตา ในขณะที่กงเหลียนซินดูโล่งใจ ไม่รู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่
เซี่ยชิงหยวนมองเหตุการณ์ตรงหน้าเธอ ในใจของเธอราวกับทำกระปุกเครื่องปรุงล้ม รสชาติต่าง ๆ ผสมปนเปกันจนยากจะอธิบาย
ไม่รู้ว่ากี่ปีแล้วที่หวังผิงไม่เคยปฏิบัติต่อตัวเธอด้วยความอ่อนโยน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการโอบกอด
แม้แต่วันที่เธอแต่งงาน เซี่ยโยว่หมิงและพี่ชายพี่สะใภ้ต่างร้องไห้กันตาแดงก่ำ ในขณะที่หวังผิงเพียงเอ่ยเบา ๆ ว่า “มีอะไรให้ต้องร้องไห้กัน หมู่บ้านซีสุ่ยอยู่ใกล้กับหมู่บ้านซิ่งฮวาแค่นี้เอง เดินกลับมาก็ยังได้ ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้เจอกันอีกในอนาคตเสียหน่อย”
เมื่อได้ยินถ้อยคำของหวังผิง เซี่ยชิงหยวนซึ่งหัวใจเต็มไปด้วยอารมณ์ของการจากลา รู้สึกราวกับว่าถูกราดน้ำเย็นลงบนศีรษะ ร่างกายของเธอพลันสั่นเทิ้ม
ดังนั้นหลังจากแต่งงาน แม้ว่าเธอจะมีช่วงเวลาที่เลวร้ายเพราะตระกูลเสิ่นอยู่บ้าง แต่เธอกลับไม่เคยบอกกล่าวเรื่องนี้กับครอบครัวตัวเองแม้เพียงครึ่งคำ
เพราะเธอรู้ดีว่าเมื่อบ่นเรื่องปัญหาพวกนี้ไป สิ่งที่เธอได้รับกลับมานั้นไม่ใช่ความรู้สึกสงสารและกำลังใจอย่างแน่นอน หากแต่เป็นการตำหนิว่าทำไมเธอถึงไม่สามารถจัดการความสัมพันธ์ในครอบครัวให้ดีได้
ในทันใดนั้น หลังมือของก็ถูกเติมเต็มด้วยความอบอุ่น เป็นเสิ่นอี้โจวที่จับมือเธอไว้แน่น
ราวกับว่ามองทะลุปรุโปร่งถึงความคิดความรู้สึกในใจของหญิงสาว เขายกยิ้มอันแสนอบอุ่นและปลอบโยนให้เธอ “คุณยังมีพวกเราอยู่นะ”
ดวงตาของเซี่ยชิงหยวนพลันแดงก่ำขึ้น เธอพยักหน้าเบา ๆ “อืม”
สวรรค์เมตตาเธอมาโดยตลอด เมื่อเธอสูญเสียบางอย่างไป สวรรค์ก็ชดเชยบางอย่างกลับคืน
ความรักที่เธอไม่ได้รับจากหวังผิง ก็ได้รับจากหลินตงซิ่ว อาจารย์ และปี่ฟู่หมาน
หวังผิงแตกต่างจากหลินตงซิ่ว
แม้หลินตงซิ่วเองก็เคยไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์อะไรชัดเจนนัก จนถึงตอนนี้ปัญหานี้ก็ยังไม่ได้รับการแก้ไข แต่เธอมีข้อดีอย่างหนึ่ง นั่นคือเธอจะไม่ลังเลที่จะทำเพื่อประโยชน์ของลูก ๆ ของตัวเอง ทั้งยังปกป้องผลประโยชน์ของพวกเขาอย่างหนักแน่นเด็ดเดี่ยว
สำหรับเรื่องพวกนี้ หญิงสาวคิดไว้อยู่แล้วว่าเมื่อต้องเผชิญเหตุการณ์เช่นนี้อีกครั้งอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นแน่ ๆ ก็คือคงรู้สึกทุกข์ระทมอยู่บ้าง
….
นับตั้งแต่ถ้อยคำดังกล่าวถูกเอ่ยออกมา ทั้งครอบครัวดูเหมือนจะจมอยู่ในบรรยากาศที่น่าอึดอัดอย่างยิ่ง ซึ่งกินเวลาจนถึงวันที่เซี่ยชิงหยวนและเสิ่นอี้โจวกลับไป
แม้แต่เด็ก ๆ ก็ยังรับรู้ถึงบรรยากาศที่น่าอึดอัดนี้ เพียงแต่เมื่อพวกเขาเอ่ยถามพวกผู้ใหญ่ไปก็ไร้ซึ่งคำตอบ จากนั้นก็ลืมเรื่องนี้ไปและออกไปเล่นกันแล้ว
มีเพียงเซี่ยซือถงที่เคยประสบกับการปฏิบัติอย่างโหดร้าย ซ้ำยังเคยถูกทอดทิ้ง ในใจจึงสามารถสัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วและละเอียดอ่อน
เธอยืนอยู่หน้าประตูห้องของเซี่ยชิงหยวน แล้วโผล่ศีรษะเล็ก ๆ เพื่อแอบมองอาหญิงเก็บข้าวของอยู่ข้างใน
เมื่อดวงตาของเซี่ยชิงหยวนเหลือบไปเห็นเด็กหญิง เซี่ยซือถงก็รีบหลบด้วยความตกใจในทันที
เซี่ยชิงหยวนยิ้มพลางเอ่ยเรียก “ถงถง เข้ามาในห้องอามา”
เซี่ยซือถงได้ยินเสียงของเซี่ยชิงหยวน จึงชะโงกหน้าเข้าไปในห้องอีกครั้ง
เธอพบว่าเซี่ยชิงหยวนยังคงยิ้มให้อย่างอ่อนโยนเหมือนเฉกเช่นเคยพร้อมโบกมือเรียก
ท้ายที่สุด เซี่ยซือถงก็รวบรวมความกล้าแล้วเดินเข้าไป
เซี่ยชิงหยวนอุ้มเด็กหญิงผอมแห้งไว้บนตัก แล้วเอ่ยถาม “มีอะไรอยากจะพูดกับอารึเปล่า?”
เซี่ยซือถงเอ่ยอย่างเกรง ๆ ว่า “หนูยังเรียกว่าคุณอาได้อยู่ไหมคะ?”
เซี่ยซือเหยียนนั้นยังเล็กจึงจดจำอะไรไม่ได้นัก ส่วนเซี่ยซือถงนั้นรู้ความอยู่บ้างไม่มากก็น้อย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่รู้ว่าตนไม่ใช่เลือดเนื้อเชื้อไขของตระกูลเซี่ย เด็กหญิงก็เงียบลงมาก เธอมักจะเก็บตัวอยู่ในห้องตลอดสองวันที่ผ่านมาโดยเพียงยอมพูดคุยผู้ใหญ่เล็กน้อย หรือไม่ก็นั่งมองพวกเซี่ยไป่เหิงเล่นกันเท่านั้น
เซี่ยชิงหยวนพลันรู้สึกเศร้าสลด หญิงสาวสะกิดปลายจมูกของเด็กหญิงแล้วพูดว่า “แน่นอน อาเป็นคุณอาของหนูนี่ อาเลี้ยงดูหนูมาตั้งแต่เล็ก เป็นเจ้าหญิงตัวน้อยคนแรกในครอบครัวของเรา และคนโปรดของอาก็คือหนูนะ”
สำหรับเซี่ยชิงหยวนแล้ว เธอรักเด็กทั้งสี่คนเท่า ๆ กัน เพียงแต่ว่าเซี่ยซือถงขาดความรู้สึกอบอุ่นมากที่สุด เธอจึงต้องการเติมเต็มให้เด็กหญิง
เธอรักเซี่ยซือถง แล้วทำไมเซี่ยซือถงจะพึ่งพาเธอแบบเดียวกันไม่ได้ล่ะ?
เมื่อได้ยินแบบนี้ เซี่ยซือถก็ยกยิ้มอย่างมีความสุข
เธอไม่ได้ส่งเสียงใด ๆ แต่มุมปากนั้นยกยิ้มจนแทบจะถึงหู
แต่ถึงอย่างนั้น เด็กหญิงก็ระมัดระวังตัวอย่างมากแม้กระทั่งการยิ้ม
เซี่ยชิงหยวนสะกดกลั้นการถอนหายใจเอาไว้ ก่อนจะรวบตัวเด็กหญิงไว้ในอ้อมแขนแล้วพูดว่า “ในอนาคต ถ้ามีเวลาว่าง อาจะมาเยี่ยมหนูอย่างแน่นอน ถ้าคุณปู่คุณย่ายินยอม หนูก็ตามพวกเขาไปหาอาที่มณฑลอวิ๋นได้นะ แล้วอาจะเตรียมห้องเจ้าหญิงแสนสวยไว้ให้หนูกับเหยียนเหยียนดีไหม?”
เซี่ยซือถงรู้สึกเพียงว่าร่างกายของเธอถูกรายล้อมไปด้วยความสุข เด็กหญิงรีบพยักหน้าอย่างแรง “ค่ะ”
….
ไม่นานนักรถที่มารับทั้งสองก็มาถึง
เซี่ยโยว่หมิงและคนในครอบครัวออกมาส่งทั้งสองคน
สิ่งที่เซี่ยโยว่หมิงยังคงกังวลมากที่สุดนั้นคือความสัมพันธ์ระหว่างเซี่ยชิงหยวนและหวังผิง
หญิงสาวกลับมาครั้งนี้ เดิมทีเขาคิดที่จะเป็นคนกลางเพื่อลดความตึงเครียดของทั้งสองคน แต่ใครกันจะคาดคิดว่าการที่เธอกลับมาในครั้งนี้ หวังผิงกลับทำให้ทุกคนขุ่นเคือง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเซี่ยชิงหยวน
พันคำพูดหมื่นคำจา เซี่ยโยว่หมิงจึงทำได้เพียงเอ่ยปลอบใจเซี่ยชิงหยวน “แม่ของลูกก็เป็นแบบนี้ ดื้อรั้นหัวแข็งมาตลอดชีวิต ต้องผ่านการปรับตัวอีกสักหน่อย หากแม่เขาคิดได้แล้ว พ่อจะพาแม่ไปที่มณฑลอวิ๋นเพื่อพบกับลูกนะ ลูกเองตอนนี้ก็เป็นแม่คนแล้ว ไม่ต้องพยายามเข้มแข็งไปเสียทุกเรื่องหรอก ต้องคิดถึงตัวเองให้มากขึ้น เข้าใจไหม?”
ลูกเขยต้องกลับไปเพราะหน้าที่การงาน ลูกสาวเดิมทีควรอยู่ต่ออีกสองสามวันเพื่อฟื้นฟูร่างกาย แต่หวังผิงเป็นแบบนี้ เขาในฐานะพ่อก็ไม่มีหน้าจะรั้งเธอไว้อีก
เพียงแต่รู้สึกเจ็บปวดหัวใจที่หญิงสาวต้องอุ้มท้องลูกและเดินทางกลับไปกลับมาเพื่อครอบครัวแบบนี้
เซี่ยชิงหยวนไม่ได้คิดอะไรมากนักกับคำพูดของเซี่ยโยว่หมิง เธอพยักหน้า “เข้าใจแล้วค่ะพ่อ พ่อแม่เองก็ดูแลสุขภาพด้วยนะคะ”
เมื่อเห็นเซี่ยชิงหยวนเป็นแบบนี้ เซี่ยโยว่หมิงก็รู้ได้ทันทีว่าหญิงสาวหัวใจแตกสลายแล้วโดยสิ้นเชิง ไม่สามารถโน้มน้าวเธอได้อีกต่อไป เขาจึงโบกมือไปทางลูกสาวและเสิ่นอี้โจวเพื่อส่งสัญญาณให้พวกเขารีบกลับไปในตอนที่ยังฟ้าสว่างอยู่
กงเหลียนซินส่งอาหารที่เตรียมไว้ให้เซี่ยชิงหยวนพลางเอ่ย “นี่เป็นของเล็ก ๆ น้อย ๆ ของที่บ้านน่ะ หากรู้สึกไม่สบายท้อง ก็กินอาหารพวกนี้นะ มันจะทำให้เธอรู้สึกดีขึ้น”
ตอนที่เธอตั้งท้องลูกชายทั้งสองคน เซี่ยชิงหยวนก็เคยสรรหาขนมมาให้เธอเสมอหลังหญิงสาวเลิกเรียน เธอกินแล้วได้ผล จึงหวังว่านี่จะช่วยเซี่ยชิงหยวนได้บ้าง
เซี่ยชิงหยวนรับของมาไว้ในอ้อมแขนแล้วพูดว่า “ขอบคุณค่ะพี่สะใภ้”
เธอมองดูใบหน้าของกงเหลียนซินที่มีความกังวลฉายชัดยิ่งกว่าเมื่อวานจึงเอ่ยปลอบใจ “แม่ยอมรับไม่ได้อยู่สักพักแหละค่ะ รออีกสองสามวัน พี่และพี่ใหญ่ก็ลองไปคุยกับแม่อีกครั้งนะ”
การแยกบ้านกันอยู่นั้นได้เกิดขึ้นแล้ว แต่เมื่อทั้งสองจะจากไปจริง ๆ พวกเขาก็จะถูกความกระฟัดกระเฟียดเกรี้ยวกราดของหวังผิงรั้งเอาไว้ แม้แต่เซี่ยจิ่งเยว่ก็มีข้อตำหนิกงเหลียนซินเช่นกัน
กงเหลียนซินน้ำท่วมปาก พี่สะใภ้และน้องสาวสามีต่างปลอบประโลมกัน “เข้าใจแล้ว เธอก็ดูแลสุขภาพให้ดีนะ พี่ในฐานะพี่สะใภ้ก็ช่วยอะไรไม่ได้มากนัก แต่พี่จะจัดการเรื่องในบ้านให้เรียบร้อยเอง เธอไม่ต้องกังวลหรอก”
เดิมทีเธอวางแผนว่าเมื่อถึงเวลานั้น ตัวเองจะไปมณฑลอวิ๋นเพื่อลี้ภัยไปอยู่กับเซี่ยชิงหยวน แต่หลังจากเหตุการณ์นี้ เธอก็ไม่อาจเอ่ยปากเรื่องนี้ได้
สำหรับสะใภ้อย่างเธอที่แต่งงานเข้ามาไม่อาจทำแบบนั้นได้ ไหนจะแม่สามีของเธอที่ทัศนคติยังเป็นแบบนี้อีก เพราะงั้นเธอจึงไม่สามารถทำให้เซี่ยชิงหยวนลำบากใจอีกต่อไปได้
หากหวังผิงรู้ว่าพวกเขาไปมณฑลอวิ๋น ทั้งยังสมาคมกับเซี่ยชิงหยวน เธอก็คงจะเกลียดเซี่ยชิงหยวนอีกครั้งอย่างแน่นอน
เซี่ยชิงหยวนเข้าใจอาการอึกอักอยากพูดแต่พูดออกมาไม่ได้ของพี่สะใภ้ ซึ่งเธอก็ไม่ได้เปิดเผยอะไรออกมาเช่นกัน
เธอจับมือกงเหลียนซินแล้วพูดว่า “เรื่องในบ้านต้องลำบากพี่สะใภ้แล้วค่ะ”
เธอมองไปยังทางเข้าประตูห้องโถงกลางที่ว่างเปล่า และไร้วี่แววของใครบางคน
หญิงสาวจึงหันกลับมาอย่างรวดเร็ว แล้วบอกกับเสิ่นอี้โจว “ไปกันเถอะ”