กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี - บทที่ 42 ครางได้แย่กว่าเซวียไฉ่เฟิ่ง
บทที่ 42 ครางได้แย่กว่าเซวียไฉ่เฟิ่ง
บทที่ 42 ครางได้แย่กว่าเซวียไฉ่เฟิ่ง
เมื่อเซี่ยชิงหยวนไปที่ห้องครัว ก็เห็นเสิ่นอี้โจวกำลังตักน้ำร้อนใส่อ่าง
เมื่อเห็นอีกคนเข้ามา ชายหนุ่มก็พูดว่า “ผมเพิ่งล้างหน้าเสร็จเลยเติมน้ำร้อนน่ะ ผมโทรสั่งอาหารเช้าให้แล้วนะ คุณไปอาบน้ำก่อนแล้วค่อยมากินก็ได้”
เซี่ยชิงหยวนเห็นคิ้วและแววตาของอีกฝ่ายดูจะไม่ต่างจากเดิมนัก ราวกับอีกฝ่ายไม่ได้ผลกระทบจากเหตุการณ์เมื่อคืนแม้แต่น้อย
หญิงสาวจึงไม่ได้พูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้และตอบไปว่า “อื้อ”
แต่เมื่อเธอล้างหน้า หญิงสาวก็เหลือบตาไปมองร่างกายของเขาเงียบ ๆ
ทั้งล่ำสันและแข็งแรงกว่าหลี่กวงหัวคนนั้นมาก
หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะหดคอ และคิดว่าเธอคงจะครางได้แย่กว่าเซวียไฉ่เฟิ่งแน่ ๆ
เสิ่นอี้โจวยกอ่างของเธอขึ้น “คิดอะไรอยู่?”
เซี่ยชิงหยวนดึงสติกลับมาจากภวังค์ความคิดและพูดอย่างรีบเร่งว่า “ฉันไม่ได้คิดอะไร!”
ทั้งสองทานอาหารเช้าเสร็จอย่างรวดเร็วและชายหนุ่มก็กำลังจะไปทำงาน
ก่อนออกจากบ้าน เขากำชับเธอไว้ว่า “ผมเอาเงินทั้งหมดใส่ไว้ที่ลิ้นชักโต๊ะในห้อง จะใช้มันยังไงในอนาคตก็ขึ้นอยู่กับคุณ นอกจากนี้ผมจะเอาทองคำบางส่วนไปขาย เพื่อใช้เป็นทุนสำหรับธุรกิจของคุณ สรุปก็คือคุณสามารถซื้ออะไรก็ได้ที่ต้องการแล้วก็ไม่ต้องเหลือไว้ให้ผม”
สิ่งที่เขาพูดทำให้เซี่ยชิงหยวนตื้นตันใจมาก ๆ
หญิงสาวตอบพร้อมด้วยรอยยิ้ม “ฉันเข้าใจแล้ว”
ชายหนุ่มพูดขึ้นอีกครั้ง “ผมมีธุระที่ต้องทำหลังมื้อเที่ยงเพราะงั้นผมจะไม่กลับมาทานข้าวเที่ยงที่บ้าน ไว้ตอนนั้นผมจะฝากโจวหยางเอาข้าวมาให้คุณ”
หลังจากพูดจบ เขาก็ถือข้าวกล่องของเมื่อวานเอาไว้ในมือแล้วจึงเดินจากไป
อารมณ์ของเซี่ยชิงหยวนในตอนนี้เหมือนกับสภาพอากาศในเดือนมิถุนายน ที่จู่ ๆ ก็เปลี่ยนจากแดดจ้าเป็นเมฆครึ้มโดยไม่มีการแจ้งเตือนล่วงหน้า
ราวกับเขาพูดออกมาตั้งมากมาย เพียงเพื่อจะกล่าวประโยคนี้อย่างนั้นหรือ?
เพราะเขาจำสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืนได้ จึงพยายามหลบหน้าเธอหรือเปล่านะ?
เซี่ยชิงหยวนเริ่มรำคาญและหงุดหงิดใจ แต่คนที่ทำให้เธอเป็นแบบนี้ก็ไปทำงานเสียแล้ว ดังนั้นหญิงสาวจึงทำได้เพียงระบายความโกรธกับมื้อเช้าเท่านั้น
เธอกลับไปที่ห้องอีกครั้ง และพบลิ้นชักที่เสิ่นอี้โจวกล่าวถึงก่อนจะเห็นพวงกุญแจที่เสียบอยู่
เธอบิดกุญแจ เปิดลิ้นชักและพบว่านอกจากทองคำแท่งที่ขุดมาและเงินที่พ่อกับพี่ชายของเธอมอบให้แล้ว ยังมีกล่องเหล็กใบเล็กอยู่ข้างในนั้นด้วย
เธอเปิดมันออกและเห็นว่ามันเป็นปึกเงินหยวน
เซี่ยชิงหยวนหยิบออกมานับ และพบว่ามันมีมากกว่าสองร้อยแปดสิบหยวน
ทั้งหมดนี้เป็นเงินเก็บที่เสิ่นอี้โจวพยายามเก็บออมมาตลอดงั้นเหรอ?
เธอรู้ว่าเสิ่นอี้โจวได้รับเงินเดือนประมาณหกสิบหยวนต่อเดือน หลังจากหักแปดหยวนที่เขาให้กับเสิ่นสิงทุกเดือน และสี่สิบหยวนที่เขาส่งกลับบ้าน เขาเหลือไว้ใช้เองแค่สิบสองหยวนเท่านั้น
เซี่ยชิงหยวนคิดว่า นี่คงเป็นโบนัสที่เพิ่มมาจากเงินเดือนที่เขาเก็บออมเองแน่นอน
หญิงสาวหยิบเงินที่เซี่ยโยว่หมิงมอบให้เธอและนับดู ซึ่งมันมีถึงหนึ่งร้อยหยวน!
เธอรู้สึกขมขื่นใจ หญิงสาวไม่รู้เลยว่าพ่อและพี่ชายของเธอทั้งสองคนเอาเงินนี้มาจากที่ไหน
เธอรีบนำเงินบางส่วนที่นำมาจากหมู่บ้านซีสุ่ยออกมา ซึ่งนับแล้วมีมากกว่าสี่สิบหยวน
ดังนั้นหากไม่รวมทองคำแท่งที่มีอยู่ ตอนนี้เธอก็มีเงินเกือบสี่ร้อยสามสิบหยวนอยู่ในมือแล้ว
เมื่อชาติก่อน นอกจากทำงานในร้านอาหารแล้ว หญิงสาวยังทำงานในโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าในมณฑลกวางตุ้งเป็นเวลาหลายปี และในที่สุดก็ติดตามช่างฝีมือระดับปรมาจารย์ ไปทำธุรกิจเกี่ยวกับหยกและเครื่องประดับ
ในช่วงการปฏิรูปและการเปิดประเทศแรก ๆ โครงสร้างและอุตสาหกรรมหลายอย่างได้รับอิทธิพลและผลกระทบมาจากปัจจัยภายนอกด้วยทัศนคติที่เปิดกว้าง ดังนั้นเดิมทีเธอจึงวางแผนที่จะเริ่มต้นจากธุรกิจเสื้อผ้า แล้วจะขยับขยายธุรกิจเป็นอุตสาหกรรมหยกและเครื่องประดับ
แต่การทำธุรกิจย่อมต้องมีต้นทุนเช่นกัน นอกจากค่าเดินทางและเวลาไปรับของแล้ว เธอต้องมีทุนเพียงพอในการซื้อของเพื่อทำการผลิต
ถ้าขายทองคำแท่งออกไป บางทีทุนก็น่าจะเพียงพอแล้ว
แต่สถานการณ์ตลาดทองคำในปัจจุบันดูไม่ค่อยดีนัก เซี่ยชิงหยวนจึงต้องการเก็บทองคำแท่งไว้ขายในภายหลัง
ดังนั้นเธอจึงคิดแผนสำรองไว้
ในขณะที่เธอกำลังคิดก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
เซี่ยชิงหยวนรีบวางเงินทั้งหมดใส่ในลิ้นชักและตะโกนตอบรับ “มาแล้ว!”
หญิงสาวเดินออกไปที่ประตูและก็ได้พบว่ามีผู้หญิงรูปร่างผอมยืนเรียกเธออยู่
ผู้หญิงคนนั้นอายุประมาณสามสิบปี เธอมีรูปร่างผอมและใบหน้าขาวซีด เบ้าตาลึก จมูกทรงตรงและมีริมฝีปากบางไร้สีเลือด
ผมของเธอรวบมัดไว้ด้านหลังศีรษะ เธอสวมเสื้อเชิ้ตธรรมดา ๆ ใบหน้าของเธอแลดูสงบและใจดี
ตั้งแต่วินาทีแรกที่เธอพูด เซี่ยชิงหยวนก็เดาตัวตนของอีกฝ่ายได้แล้ว
เธอยิ้มให้เซี่ยชิงหยวนอย่างเป็นมิตร “คุณคือชิงหยวนใช่ไหมคะ ฉันชื่อเจียงเพ่ยหลาน หัวหน้าแผนกเสิ่นบอกคนในหน่วยเมื่อวาน ให้ฉันพาคุณเดินดูรอบ ๆ นะคะ แล้ววันนี้ก็มีตลาดนัดด้วย คุณอยากไปด้วยกันไหมคะ?”
เซี่ยชิงหยวนตอบด้วยรอยยิ้ม “ไปค่ะ คงต้องรบกวนคุณแล้ว”
เดิมที เธอคิดว่าเสิ่นอี้โจวแค่อธิบายให้เธอฟังเท่านั้น แต่เขากลับไปขอร้องหลินจื่อเฉียงจริง ๆ เสียอย่างนั้น
ความหดหู่ใจที่เกิดจากชายหนุ่มเมื่อครู่สลายไปในทันที
เซี่ยชิงหยวนเชิญเจียงเพ่ยหลานเข้ามาในห้องนั่งเล่น เธอหยิบเงินมากกว่ายี่สิบหยวนออกมาจากลิ้นชักในห้อง แล้วล็อกอีกครั้ง ก่อนจะเชิญเธอไปด้วยกัน
ทันทีที่ออกจากประตู คนทั้งสองก็เผอิญเจอเซวียไฉ่เฟิ่ง
อีกฝ่ายดูเกียจคร้านอย่างมาก เห็นได้ชัดเลยว่าเธอเพิ่งพลอดรักเสร็จ
หญิงสาวยิ้มและถามว่า “เธอสองคนจะไปไหนกันเหรอ”
เจียงเพ่ยหลานพูดตรง ๆ โดยไม่ปิดบังว่า “วันนี้มีตลาดนี่ ฉันก็เลยอยากไปซื้อของด้วยกันสักหน่อย”
เมื่อได้ยินแบบนั้น เซวียไฉ่เฟิ่งก็เหลือบมองทั้งสองคนแวบหนึ่งไว ๆ จากนั้นพูดว่า “เป็นแบบนี้นี่เอง ภรรยาของหัวหน้าแผนกเสิ่นเพิ่งมาที่นี่เมื่อวานนี้ แต่กลับสนิทกับเธอเร็วจริง ๆ”
คำพูดเหล่านี้ทำให้เจียงเพ่ยหลานรู้สึกกระอักกระอ่วน แต่ในขณะที่เธอกำลังจะพูดโต้ตอบ เซี่ยชิงหยวนก็ชิงพูดก่อนว่า “อี้โจวของฉันไปบอกสามีของเพ่ยหลานว่าให้พาฉันไปเดินเล่นน่ะค่ะ”
เซวียไฉ่เฟิ่งคิดว่าเป็นเจียงเพ่ยหลานที่มาด้วยตัวเอง เพื่อพยายามจะประจบประแจงเซี่ยชิงหยวน
แต่เธอไม่คาดคิดว่า เสิ่นอี้โจวจะเป็นคนวิ่งไปที่ซอยข้างหลังเพื่อขอร้องเจียงเพ่ยหลานด้วยตนเอง และทิ้งเพื่อนบ้านที่อยู่ติดกันอย่างเธอไว้ลำพัง การกระทำนี้ทำให้เธออารมณ์เสียมาก
นอกจากนี้ หญิงสาวจำได้ว่าเธอได้แสดงไมตรีต่อเซี่ยชิงหยวนไปแล้วเมื่อวานนี้ โดยบอกไว้ว่าสามารถเรียกหาเธอได้ตลอด
แล้วนี่เกิดอะไรขึ้น?
เธอถูกชายหญิงคู่นี้ปฏิเสธยังงั้นเหรอ?
เมื่อคิดแบบนี้ เซวียไฉ่เฟิ่งก็ยิ่งไม่สบอารมณ์
แต่ด้วยตำแหน่งหน้าที่การงานของเสิ่นอี้โจวที่สูงกว่าสามีของเธอ หญิงสาวจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องกล้ำกลืนความไม่พอใจของตัวเองลงท้องไป แล้วส่งยิ้มให้อีกฝ่าย “บังเอิญจริง ฉันก็อยากซื้อบางอย่างเหมือนกัน งั้นเราสามคนไปด้วยกันเถอะ” โดยไม่รอฟังความยินยอมจากพวกเธอ เซวียไฉ่เฟิ่งก็หันกลับเข้าไปในบ้านทันที
ก่อนจะกลับเข้าบ้านไป เธอพูดในขณะที่เดินไปด้วยว่า “เดี๋ยวฉันมา ขอฉันไปเปลี่ยนชุดก่อนนะ”
เซี่ยชิงหยวน “…”
พูดตามตรง เธอไม่เต็มใจที่จะไปกับเซวียไฉ่เฟิ่งเท่าไหร่นัก
แม้ว่าเธอจะยิ้มอยู่เสมอ แต่รอยยิ้มของเธอก็ไม่เคยส่งไปถึงดวงตาเลย
และดวงตาคู่นั้นก็มักเผยความกระวนกระวายอยู่เสมอเช่นกัน
เจียงเพ่ยหลานยิ้มอย่างช่วยไม่ได้ไปให้เซี่ยชิงหยวน บอกเป็นนัย ๆ ว่าไม่ต้องสนใจ
เซี่ยชิงหยวนเลิกคิ้วขึ้น ไปด้วยกัน? ก็จริงทำไมฉันต้องกลัวผู้หญิงคนนั้นด้วย?