กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี - บทที่ 428 คุณนายเสิ่นไม่สนใจผู้ชายของเธอเลยรึไง
- Home
- กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี
- บทที่ 428 คุณนายเสิ่นไม่สนใจผู้ชายของเธอเลยรึไง
บทที่ 428 คุณนายเสิ่นไม่สนใจผู้ชายของเธอเลยรึไง
บทที่ 428 คุณนายเสิ่นไม่สนใจผู้ชายของเธอเลยรึไง
ทันทีที่เทศกาลตรุษจีนสิ้นสุดลง ร้านยามต้องมนต์ก็กลับมาเปิดกิจการอีกครั้ง
อาเซียงเพิ่งถูกส่งไปที่เมืองกว่างโจวเพื่อชมนิทรรศการเสื้อผ้า ดังนั้นเซี่ยชิงหยวนจึงขาดคนดูแลร้านค้า ป้าอู๋เลยเข้ามาแนะนำหลานสะใภ้ของเธอ
หลานสะใภ้ของป้าอู๋คนนี้ชื่อห่าวเม่ยลี่ เธอคือภรรยาของอู๋ฟ่างชายคนที่ช่วยเซี่ยชิงหยวนหาร้านให้เช่าเมื่อคราวก่อน ทั้งสามีภรรยาต่างเป็นคนใจดีและเป็นคนที่ทำงานหนัก เซี่ยชิงหยวนวางแผนที่จะให้ห่าวเม่ยลี่ดูแลร้านต่อไปจนกว่าจะเชี่ยวชาญแล้วก็ค่อยให้ติดตามอาเซียงไปเปิดสาขาใหม่
ทางร้านเริ่มจำหน่ายเสื้อผ้าฤดูใบไม้ผลิแล้ว แต่ขายจำนวนไม่มากโดยขายเพียงสามถึงสี่ร้อยตัวเท่านั้น บางส่วนเป็นสินค้าจากฮ่องกงที่เหล่าไต้ไปตลาดเซินเจิ้นเพื่อซื้อในช่วงตรุษจีนและบางส่วนก็หยิบมาจากโรงงานตัดเย็บเฟิงหวง
เหล่าไต้ทิ้งคำพูดเอาไว้ว่า “เธอไม่ได้มาดูด้วยตัวเอง ฉันก็เลยไม่กล้าที่จะซื้ออะไรมากน่ะ เอาแค่นี้ไปลองตลาดก่อนนะ”
ร้านตรอกเก่าเปิดก่อนร้านยามต้องมนต์ แม้จะมีลูกค้าไม่มากนักในสองสามวันแรกแต่คนก็เริ่มเยอะขึ้นหลังจากนั้น
ลูกค้าประจำจำนวนมากมาที่ร้านและพูดคุยกับหลินตงซิ่ว “พวกเราพยายามทำต้มเครื่องในวัวและหัวไชเท้าแบบของคุณในช่วงตรุษจีนด้วยนะ แต่รสชาติก็ไม่ดีเท่าของคุณเลย”
เดี๋ยวนี้หลินตงซิ่วสามารถรับมือกับอะไรแบบนี้ได้แล้ว และพูดพร้อมรอยยิ้ม “สูตรของเราเป็นสูตรที่ลูกสะใภ้ของฉันค้นคว้ามาน่ะ แค่เครื่องปรุงรสอย่างเดียวก็ใช้เงินเยอะมากแล้ว แม้จะทำเองได้ที่บ้านไม่ยาก แต่รสชาติย่อมแตกต่างไปอยู่ดี”
ลูกค้าหัวเราะ “ใช่เลย พอรู้ว่าร้านเปิด เด็ก ๆ ที่บ้านของฉันก็รบเร้าให้ฉันมาซื้อทันทีเชียวล่ะ”
ลูกค้าส่วนใหญ่ที่มาซื้ออาหารของร้านตรอกเก่าเป็นชนชั้นแรงงาน และบางครั้งก็มีคนรวยหรือข้าราชการที่มีอำนาจมาซื้อเช่นกัน แต่โดยทั่วไปแล้วการทักทายจะเป็นกันเองกว่าลูกค้าของร้านยามต้องมนต์มาก
ตอนนี้เซี่ยชิงหยวนมีเวลาว่าง เธอจึงกลับมาจากร้านในตอนเช้า และกลับไปที่บ้านช่วยป้าอู๋ต่อ
ลูกชายของป้าอู๋มีหลานชายให้เมื่อในช่วงตรุษจีน พอกลับมาป้าอู๋จึงส่งขนมรับขวัญหลานให้กับเซี่ยชิงหยวนและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ขอให้คุณผู้ชายกับคุณนายโชคดีต่อ ๆ ไปนะคะ ปีนี้ขอให้เด็กอ้วนสองคนที่กำลังจะเกิดมาแข็งแรงและปลอดภัยค่ะ!”
เซี่ยชิงหยวนยิ้มแล้วพูดว่า “ขอบคุณมากค่ะป้าอู๋”
เมื่อเซี่ยชิงหยวนไปชอปปิงวันนี้ เธอก็ซื้อกำไลเงินให้หลานชายของป้าอู๋ด้วยเช่นกัน
แต่ป้าอู๋เกรงใจมากเกินกว่าจะรับมันไว้ได้ “คุณนายคะ นี่มันมากเกินไป ป้ารับไว้ไม่ได้หรอกค่ะ”
เซี่ยชิงหยวนยัดกำไลข้อมือใส่ในมือของป้าอู๋แล้วพูดว่า “ถือว่าเป็นของขวัญสำหรับหลานของฉันนะคะ เก็บไว้เถอะค่ะ”
หลังจากที่ทั้งสองคุยกันแล้ว พวกเธอก็ไปที่ห้องครัวเพื่อเตรียมอาหารเย็น
เซี่ยชิงหยวนได้เรียนรู้จากปี่เหลาซานว่าตระกูลโจวมีพื้นเพมาจากเซี่ยงไฮ้ ต่อมาโจวโม่ได้พาฉีจิ่นจือไปที่มณฑลหูหนาน ซึ่งได้พบกับปี่เหลาซานที่นั่น
ดังนั้นคืนนี้เซี่ยชิงหยวนจึงปรุงอาหารแบบเซี่ยงไฮ้ ซึ่งเธอก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าฉีจิ่นจือชอบอาหารเหล่านี้หรือไม่
ปี่เหลาซานพาปี่ฟู่หมานไปที่ห้องครัวหลายครั้ง และหลังออกจากห้องครัวแล้ว เขาก็เดินออกไปมองที่นอกบ้าน เพื่อดูว่าเสิ่นอี้โจวพาฉีจิ่นจือกลับมาแล้วรึยัง
เซี่ยชิงหยวนอดไม่ได้ที่จะยิ้ม “สองคนทำตัวผิดปกติจริง ๆ ขืนเป็นแบบนี้ต่อไปคนอื่นคงกลัวก่อนที่เขาจะเข้ามาในบ้านด้วยซ้ำล่ะมั้งเนี่ย”
หลังจากถูกเซี่ยชิงหยวนหยอกล้อ ปี่เหลาซานและปี่ฟู่หมานก็ยอมแพ้
…
เมื่อเสิ่นอี้โจวและฉีจิ่นจือมาถึงบ้านก็เกือบจะมืดแล้ว
อันดับแรกปี่ฟู่หมานยืนอยู่ที่ประตูและต้อนรับทั้งคู่อย่างอบอุ่น จากนั้นปี่เหลาซานก็หันไปมองก่อนจะหันกลับด้วยไหล่ของเขาที่สั่นเทา
ฉีจิ่นจือรู้สึกสงสัยในใจว่าทั้งคู่ค้นพบอะไรบางอย่างหรือไม่
เซี่ยชิงหยวนปรากฏตัวในเวลาที่เหมาะสม พลางยิ้มให้ฉีจิ่นจือแล้วพูดว่า “วันนี้ทั้งสองคนอารมณ์ดีมากไปหน่อยก็เลยตื่นเต้นน่ะ ไม่มีอะไรหรอก”
ฉีจิ่นจือคิดทบทวนตัวเองในใจและเมื่อรู้สึกว่าเขาไม่ได้ทำอะไรที่น่าสงสัยสักอย่างจึงรู้สึกโล่งใจขึ้นมา
เมื่อฉีจิ่นจือเห็นอาหารแบบเซี่ยงไฮ้ที่เกือบเต็มโต๊ะ เขาก็ไม่อยากนั่งลง
กุ้งกระจก เป็ดแปดสมบัติ หมูสามชั้นผัดซอสแดง ไก่สับหรือไป๋จ่านจี น้ำซุปไข่ปูเจ…ถ้าจำไม่ผิดนี่คืออาหารเซี่ยงไฮ้ทั้งหมด
ขณะเดียวกัน เสิ่นอี้โจวก็ปรากฏตัวข้างหลังเขาพอดี พลางจับไหล่ของเขาแล้วพูดว่า “นั่งลงเถอะ”
แรงที่เสิ่นอี้โจวใช้จับไม่ได้หนักหน่วง แต่เขาก็ไม่ยอมปล่อยจนกว่าฉีจิ่นจือจะนั่งลงเช่นกัน
ไม่เพียงเท่านั้น เขายังนั่งประกบข้างฉีจิ่นจือ จัดชามและตะเกียบให้อีกด้วย
หลังจากวางชามและตะเกียบแล้ว เสิ่นอี้โจวก็วางมือเอาไว้ตรงพนักพิงหลังเก้าอี้ที่ฉีจิ่นจือนั่งอยู่ราวกับจะกอดทั้งคนเอาไว้
การกระทำของเสิ่นอี้โจวนี้ถูกมองเห็นโดยชายคนหนึ่งที่กำลังนั่งแอบอยู่มุมมืดในสนามหญ้าด้านนอก และเขาก็เบิกตากว้างด้วยความกลัว
ความสัมพันธ์ของชายสองคนนี้พัฒนาไปไกลถึงขนาดไม่สนใจสายตาของคนอื่นกันแล้วเหรอ!
และคุณนายเสิ่น…เธอไม่สนใจผู้ชายของตัวเองเลยรึไง?
หรือคุณนายเสิ่นไร้ประโยชน์จริง ๆ และเลขาธิการเสิ่นเพียงแต่งงานกับเธอเพื่อตบตาคนอื่นเท่านั้น?
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เขาก็อ้าปากด้วยความตกใจ รู้สึกว่าดูเหมือนตัวเองจะค้นพบความลับที่น่าตกใจบางอย่าง
หลังจากที่เขารายงานให้ฉีหยวนซานทราบในวันนั้น เขาก็ถูกทุบตีตรงนั้นและก้นของเขายังคงเจ็บอยู่มาจนถึงวันนี้
ตอนนี้เขาลังเลมากว่าควรบอกความจริงกับเจ้านายของเขาดีหรือไม่
ไม่สิ แค่เขาทำเป็นไม่เคยเห็นมันก็จบแล้วนี่ใช่ไหม?
ลืมมันซะ เอาละ ตกลงตามนั้น
จากนั้นเขาเห็นเกือบทุกคนในตระกูลเสิ่นพยายามคีบอาหารให้ฉีจิ่นจือ แถมยังชนแก้วกันด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าราวกับเห็นฉีจิ่นจือเป็นเหมือนเนื้อที่น่าอร่อย
เขาเข้าไปใกล้มากขึ้น พยายามฟังแต่ก็ไม่ได้ยินอะไรเลยจนตัวเองแทบจะล้มหน้าคะมำกับพื้น
เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากซ่อนตัวอยู่รอบนอกเพราะกลัวถูกพบ
เขาพยายามแยกแยะสิ่งที่ทุกคนพูดถึงโดยดูจากริมฝีปากของพวกเขา
อันดับแรก ปี่ฟู่หมานขอชนแก้วกับฉีจิ่นจือ และดูเหมือนจะพูดถามว่าดื่มมากขึ้นหน่อย…มันอร่อยไหม?
จากนั้นปากของเซี่ยชิงหยวนก็ขยับเหมือนพูดว่า…ผู้ชายของฉัน…อร่อยกว่ารึเปล่า?
เสิ่นอี้โจวถึงกับขยับปากพูดว่า…มีห้องว่างเหลืออยู่ในบ้าน…แค่…เข้าไปในห้อง…ด้วยกันไหม?
ให้ตายเถอะ เขากำลังจะบ้าแล้ว!