กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี - บทที่ 433 โคแก่กินหญ้าอ่อน
บทที่ 433 โคแก่กินหญ้าอ่อน
บทที่ 433 โคแก่กินหญ้าอ่อน
เฮ่ออวี้เฟิงใช้ประโยชน์จากความสูงของเขาเฉกเช่นที่เคยทำนับครั้งไม่ถ้วน ทำให้สามารถมองหาอาเซียงได้อย่างง่ายดาย
เขาฝ่าฝูงชนเข้าไปหาอาเซียง “ฉันถือให้”
เฮ่ออวี้เฟิงพูดพร้อมกับคว้ากระเป๋าสัมภาระในมือของเธอมาถือไว้เอง
เซี่ยชิงหยวนไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วย อาเซียงพยักหน้าให้เขาด้วยความเขินอายเล็ก ๆ “ขอบคุณค่ะ”
จากนั้นก็เดินตามหลังเฮ่ออวี้เฟิงด้วยใบหน้าสุขใจ
เมื่อคิดว่านี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาทั้งสองได้ใช้เวลาร่วมกัน อาเซียงก็อดไม่ได้ที่จะยกยิ้มที่มุมปาก
อากาศในฤดูใบไม้ผลิช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ของเมืองกว่างโจวนั้นไม่ได้หนาวเย็นเท่าไหร่นัก อาเซียงที่นั่งบนรถสามล้อยกม่านขึ้นพลางพูดคุยกับเฮ่ออวี้เฟิงเป็นครั้งคราว
ส่วนใหญ่แล้วอาเซียงเป็นผู้พูด และเฮ่ออวี้เฟิงเป็นผู้ฟัง เขาเอ่ยตอบบ้างสองสามประโยค
ในตอนท้าย อาเซียงรวบรวมความกล้าแล้วเอ่ยขึ้น “พี่เฮ่อ ฉันไม่ไปพักที่โรงแรมได้ไหมคะ?”
เฮ่ออวี้เฟิงลดความเร็วของรถลงและถามว่า “ไม่ชอบโรงแรมที่ไปพักครั้งที่แล้วเหรอ? งั้นเธออยากได้แบบไหนก็บอกมาได้เลย”
“คือว่า…” อาเซียงลั่นกลองปลุกใจตัวเองแล้วจึงพูดออกไปว่า “ฉันขอไปพักที่บ้านของพี่ได้ไหม?”
อาเซียงรีบเอ่ยต่อ ”ฉันไม่ได้มีจุดประสงค์อื่นนะ หลัก ๆ นั้นเป็นเพราะพี่เซี่ยไม่ได้อยู่ด้วย ฉันตัวคนเดียวก็เลยรู้สึกกลัวอยู่นิดหน่อยน่ะ พี่วางใจได้ ฉันจะออกไปตั้งแต่เช้าตรู่ กลับมาอีกทีก็ช่วงค่ำ ไม่รบกวนพี่แน่นอน”
หลังจากที่เธอพูดจบก็มองไปยังแผ่นหลังของเฮ่ออวี้เฟิงอย่างหวาดหวั่นเพื่อรอคำตอบของเขา
ไม่นานนักก็ได้ยินเฮ่ออวี้เฟิงกล่าวว่า “ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น เพียงแต่…”
เป็นเวลานานมากแล้วที่ไม่ได้มีหญิงสาวมาที่บ้านของเขา คราวก่อนนั้นเซี่ยชิงหยวนและอาเซียงมาด้วยกัน จึงอาจกล่าวได้ว่าภรรยาของเพื่อมาเยี่ยม แต่คราวนี้จะพูดว่ายังไง?
การที่เธอมาอยู่ที่บ้านเขา เขาจะบอกคนอื่นว่ายังไง?
อาเซียงพลันเอ่ยขึ้น “แต่ฉันกลัวมากจริง ๆ …”
เมื่อเอ่ยประโยคนี้ออกมา อาเซียงผู้ซึ่งติดตามผู้ใหญ่ไปตัดฟืนและล่าสัตว์บนภูเขามาตั้งแต่เด็กก็อดตัวสั่นขึ้นมาไม่ได้
พี่เซี่ยกล่าวว่า ผู้หญิงต้องนุ่มนวลอ่อนโยน แต่ก็ต้องออดอ้อนให้เป็น เหล็กที่ถูกหลอมร้อยครั้งยังอ่อนนุ่มจนพันรอบนิ้วได้*[1]
เธอเห็นแก้มของเฮ่ออวี้เฟิงขยับ จากนั้นจึงพูดว่า “ก็ได้”
หากไม่ใช่เพราะเซี่ยชิงหยวนโทรมากำชับเขาเป็นพันเป็นหมื่นครั้งว่าให้ดูแลเธอให้ดี เขาก็อยากจะปฏิเสธเธอจริง ๆ
สายตาของคนอื่นก็เรื่องหนึ่ง แล้วกับแม่ของเขาจะอธิบายเรื่องนี้ได้ยังไง?
หากแต่เฮ่ออวี้เฟิงกลับต้องประหลาดใจ เมื่อแม่ของเขารู้ว่าอาเซียงมาถึงแล้ว นอกเหนือจากการต้อนรับเธออย่างอบอุ่น แม่ก็ไม่ได้พูดอะไรกับเธอแม้แต่คำเดียว
ถึงกระนั้น เฮ่ออวี้เฟิงก็อดถามออกไปไม่ได้ “แม่ครับ จะไม่ถามอะไรผมหน่อยเหรอ?”
คุณแม่เฮ่อหัวเราะ “คราวก่อนแม่ถามไปแล้วนี่ ลูกอายุมากกว่าเธอสิบปี อยากเป็นโคแก่กินหญ้าอ่อนงั้นรึ?”
เอ่ยกลั้วหัวเราะจบ หญิงชราก็คลำทางเข้าไปในห้อง “รีบไปช่วยเธอเก็บกวาดห้องไป แม่มองไม่เห็น”
อาเซียงชะโงกศีรษะของเธอออกมาจากห้อง “พี่เฮ่อ มีผ้าปูที่นอนไหมคะ?”
เฮ่ออวี้เฟิงถอนหายใจแล้วพูดว่า “เดี๋ยวฉันไปเอามาให้”
เขาก้าวผ่านประตูเข้าไปหยิบผ้าปูที่นอนและผ้าห่มออกจากตู้แล้วเอ่ย “ของพวกนี้เป็นของที่แม่ฉันเตรียมไว้ปีนี้ ซักทำความสะอาดแล้วเก็บใส่ตู้ไว้ ยังไม่ได้ใช้น่ะ”
จากนั้นเขาก็สะบัดผ้าปูที่นอนออกมา ผ้าปูที่นอนผืนนี้มีสีครีมซึ่งมีลายดอกโบตั๋นสีแดงขนาดใหญ่
เฮ่ออวี้เฟิงก้มตัวลงเพื่อปูเตียงให้อาเซียง ก่อนจะหยิบผ้านวมออกจากตู้และนำปลอกผ้านวมมาใส่ เขาจัดการได้อย่างคล่องแคล่ว ทั้งยังไม่ใช่ทำแบบลวก ๆ
อาเซียงที่เดิมอยากจะแสดงฝีไม้ลายมือต่อหน้าเขาก็พลันทำอะไรไม่ได้ทันที “…”
เฮ่ออวี้เฟิงมีความสามารถมากพอ ๆ กับแม่ของเธอเสียด้วยซ้ำ
…
หลังจากมื้อกลางวัน ปี่เหลาซานก็ตะโกนเรียกเซี่ยชิงหยวน “ชิงหยวน ฉันวางแผนไว้ว่าจะออกเดินทางไปกับศิษย์น้องของเธอในอีกสองวันนะ”
เซี่ยชิงหยวนรู้สึกไม่อยากต้องแยกจากกันนัก “เร็วขนาดนี้เลยเหรอคะ?”
ปี่เหลาซานกล่าวว่า “ฉันตกปากรับคำกับลูกค้าไว้แล้วว่าจะไปส่งหยกให้เขาน่ะ ความจริงตั้งใจจะไปตั้งแต่วันขึ้นแปดค่ำแล้ว แต่ฉันเป็นห่วงเธอจึงอยู่ให้นานขึ้นอีกหน่อย”
ชายชรายกยิ้ม “ตอนนี้เด็กในท้องของเธอแข็งแรงดีแล้ว ศิษย์พี่ใหญ่ของเธอก็หาพบแล้ว อีกทั้งเขาเองก็สามารถหนุนหลังเธอได้ ฉันก็ไม่มีอะไรให้ต้องกังวลอีกแล้วล่ะ”
เขาตบไหล่เซี่ยชิงหยวนเบา ๆ “ท้ายที่สุดแล้ว ฉันก็ยังอยากจะขอบคุณเธอ…ตั้งแต่ได้พบเธอ ฉันคิดว่าความโชคดีของพวกเราล้วนเปลี่ยนไป”
ไม่ว่าจะเป็นการที่ปี่ฟู่หมานหลบเลี่ยงหายนะมาได้ก็ดี หรือการหาฉีจิ่นจือพบก็ดี สำหรับเขาแล้ว ทุกอย่างล้วนเป็นพรที่ได้รับจากเซี่ยชิงหยวน
เซี่ยชิงหยวนตาแดงระเรื่อพลางสั่นศีรษะ “ถ้าไม่ใช่เพราะอาจารย์ ก็คงไม่มีฉันในวันนี้ค่ะ”
หากปี่เหลาซานไม่รับเธอเป็นศิษย์และมอบสร้อยข้อมือหยกให้ในชาติที่แล้ว จะมีเธอและเสิ่นอี้โจวในชาตินี้ได้อย่างไรกัน?
ปี่เหลาซานเองก็มีสีหน้าโศกเศร้าเช่นกัน เขาลูบไหล่เซี่ยชิงหยวนแล้วพูดว่า “อีกไม่กี่เดือน อาจารย์ก็จะกลับมาพร้อมกับศิษย์น้องของเธอแล้ว วางใจเถอะ อาจารย์จะมาทันเธอคลอดศิษย์หลานอย่างแน่นอน”
เรื่องระหว่างเซี่ยชิงหยวนและครอบครัวของเธอนั้นยังวุ่นวายไม่จบสิ้น และเขาไม่รู้ว่าเมื่อถึงเวลานั้น ครอบครัวของเธอจะมาเยี่ยมเยียนหรือเปล่า ดังนั้นเพื่อความสบายใจ เขาจึงควรกลับมาด้วยตนเอง
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า “ทั้งอาจารย์และศิษย์น้องต้องระมัดระวังตัวอย่างดีในทุกฝีก้าวนะคะ”
จากนั้นเธอพลันนึกขึ้นได้ถึงเงินที่เธอเก็บเอาไว้ จึงเอ่ยขึ้น “อาจารย์คะ ฉันมีเงินอยู่สองสามหมื่นหยวน อาจารย์เอาเงินส่วนนี้ไปใช้จ่ายนะคะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น ปี่เหลาซานพลันเอ่ยกลั้วหัวเราะ “มีใครเหมือนเธอบ้าง? พูดถึงเงินหลายหมื่นได้อย่างไม่สนใจอะไร เหมือนพูดถึงเงินไม่กี่หยวนอย่างไรอย่างนั้น”
เขาลูบเคราและรำพึงว่า “ฉันลองมาคิด ๆ ดูแล้ว เรื่องที่เธอบอกว่าจะเปิดร้านน่ะไม่เลวเลยทีเดียว เพียงแต่ประเทศนี้มีการพัฒนาเศรษฐกิจมาได้ระยะหนึ่งเท่านั้น และอุตสาหกรรมหยกก็ทำได้ไม่ง่ายนัก แต่หากเธอเชื่อใจฉัน เราสามารถใช้ประโยชน์จากราคาหยกที่ต่ำในปัจจุบันเพื่อกักตุนหยกได้มากขึ้น และเมื่อถึงเวลาอันเหมาะสมในอนาคตค่อยเปิดร้านก็ยังไม่สายเกินไป”
เซี่ยชิงหยวนไม่มีข้อโต้แย้งใดอยู่แล้วจึงเอ่ย “เชื่อฟังถ้อยคำของอาจารย์ทุกอย่างค่ะ”
ทุกวันนี้อาจกล่าวได้ว่าหยกมีอยู่ทุกหนแห่ง อย่างในซินเจียง มีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่พบหยกขาวเหอเทียนในระหว่างที่ไปเดินเล่นริมแม่น้ำ และเพราะไม่เหมือนกับคนในยุคหลัง เมื่อมาตรฐานการครองชีพของผู้คนได้รับการพัฒนาให้ดีขึ้น แนวคิดของการบริโภคก็ค่อย ๆ เปลี่ยนไป สินค้าฟุ่มเฟือยเช่นหยกจึงกลายเป็นสิ่งที่ผู้บริโภคเลือกจับจ่ายเป็นครั้งคราว
เมื่อเห็นเซี่ยชิงหยวนตกลง ปี่เหลาซานจึงเอ่ยต่อ “ฉันยังมีเงินเหลืออยู่สองหมื่นกว่าหยวน เธอให้ฉันแค่หนึ่งหมื่นหยวนก็พอ ที่เหลือก็เก็บไว้หมุนเวียนในธุรกิจเสื้อผ้าของเธอเถอะ ฉันได้ยินเธอคุยกับอาเซียงว่าจะเปิดโรงงานเสื้อผ้าไม่ใช่เหรอ? เรื่องพวกนี้จำเป็นต้องใช้เงินเยอะนะ”
เดิมทีเขามีมากกว่านั้น แต่หยกบางส่วนยังไม่ได้ขายออกไป เงินที่ลงไปจึงยังไม่ได้คืนทุนมา
เขาขยับเข้ามาใกล้เซี่ยชิงหยวนอีกครั้งพลางเอ่ยเสียงแผ่ว “ฉันเก็บรวบรวมหยกมาจากหลายที่เลย รอให้ฉันไปในครั้งนี้ก่อนนะ แล้วจะให้คนเอามาให้เธอ”
เซี่ยชิงหยวนตกตะลึง “อาจารย์…”
ปี่เหลาซานยกมือขึ้นเพื่อหยุดคำพูดของเธอ “เราเป็นศิษย์อาจารย์กัน ไม่ต้องบอกว่าเป็นคนอื่นคนไกล หลังจากเลี้ยงดูศิษย์พี่ใหญ่ของเธอและปี่ฟู่หมานมาตลอดชีวิต ฉันจึงเริ่มเก็บเงินอย่างจริงจังเพื่อให้มีชีวิตที่ดี ศิษย์พี่ใหญ่ของเธอไม่ต้องการให้ฉันทิ้งอะไรไว้ให้เขา ส่วนปี่ฟู่หมานก็ไม่สนใจ ทั้งยังไม่สามารถจัดการของพวกนี้ได้ เลยให้เธอเอาไว้ดีกว่า ไม่ว่าวันข้างหน้าจะเกิดอะไรก็ตามสิ่งนี้ก็ยังจะมีประโยชน์กับเธอ”
เมื่อเห็นว่าเซี่ยชิงหยวนยังคงปฏิเสธ ปี่เหลาซานจึงกล่าวว่า “เสี่ยวเสิ่นเป็นเด็กหนุ่มที่ยอดเยี่ยม แต่มีหลายคนที่รู้ว่าเขาโดดเด่น แม้ว่าเขาจะรู้รักษาเอาตัวรอดให้พ้นจากปัญหาได้ แต่ก็ไม่สามารถป้องกันไม่ให้คนอื่นเข้ามาหาเขาได้ ดังนั้นการรักษาของพวกนี้ไว้ให้เธอจึงเป็นสิ่งที่สมควรที่สุดแล้ว”
เรื่องสกปรกของครอบครัวร่ำรวยมีหน้ามีตาพวกนั้นเขาได้ยินมานักต่อนัก
ในอดีตนั้น การทำงานของแต่ละคนจะถูกควบคุมอย่างเข้มงวด แต่กระแสในตอนนี้ค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงไปแล้ว หากรักษาเอาไว้ไม่ได้ก็รังแต่จะถูกหาเรื่อง
เขามีศิษย์หญิงเพียงคนเดียวคือเซี่ยชิงหยวน แน่นอนว่าเขาย่อมต้องเป็นกังวลมากที่สุด
เซี่ยชิงหยวนสะอื้น ก่อนเอ่ย “ขอบคุณค่ะอาจารย์”
ปี่เหลาซานตบหลังมือของเธอ “เธอและเสี่ยวเสิ่นมีชีวิตที่ดี อาจารย์ก็พอใจแล้ว”
ปี่เหลาซานนั้นผ่านร้อนผ่านหนาวมาตลอดทั้งปี เขาในวัยหกสิบต้น ๆ นั้นดูแก่ชราราวกับอายุเจ็ดสิบ ใบหน้าเต็มไปด้วยริ้วรอยและจุดด่างดำแห่งวัย รวมถึงร่องรอยที่ถูกแดดเผา ทำให้เขายิ่งดูผ่านโลกมาอย่างโชกโชน
คำพูดเช่นนี้ควรออกมาจากปากพ่อแม่ของเธอ แต่กลับออกมาจากปากของเขาในตอนนี้ทำให้ความรู้สึกของเซี่ยชิงหยวนผสมปนเป
ในเรื่องของความสัมพันธ์ในครอบครัว เธอสูญเสียบางอย่างไปและได้รับบางอย่างมาจริง ๆ
เมื่อเห็นน้ำตาของเธอ ปี่เหลาซานจึงยิ้ม “เด็กโง่ ร้องไห้ทำไม?”
เขาพูดว่า “ก่อนที่เราจะออกเดินทาง เธอช่วยเชิญจิ่นจือมาที่บ้านให้หน่อยสิ ฉันมีเรื่องจะคุยกับเขา”
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้ารับ “ค่ะ”
…
ณ โรงพยาบาลประจำมณฑล
ภายในห้องพักผู้ป่วยของโรงพยาบาล ฉีหยวนซานนอนอยู่บนเตียง โดยมีฉีจิ่นจือนั่งไขว่ห้างอยู่ข้างเตียง และมีกล่องข้าวซึ่งปิดฝาไม่สนิทดีนักอยู่ข้าง ๆ
ฉีจิ่นจือตะคอกเบา ๆ “คุณอายุเท่าไหร่แล้ว เรียนรู้เรื่องอดอาหารประท้วงจากคนอื่นมารึไง?”
[1] หลอมเหล็กร้อยครั้งจนอ่อนนุ่มพันรอบนิ้ว เป็นการอุปมาว่าคนที่มีอารมณ์ร้อน คนแข็งกร้าวเปลี่ยนเป็นนุ่มนวลอ่อนโยน