กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี - บทที่ 435 มีเงินเสียอย่าง จะหาผู้ชายไม่ได้ได้ยังไง?
- Home
- กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี
- บทที่ 435 มีเงินเสียอย่าง จะหาผู้ชายไม่ได้ได้ยังไง?
บทที่ 435 มีเงินเสียอย่าง จะหาผู้ชายไม่ได้ได้ยังไง?
บทที่ 435 มีเงินเสียอย่าง จะหาผู้ชายไม่ได้ได้ยังไง?
เมื่อคำพูดของปี่เหลาซานจบลง น้ำตาของฉีจิ่นจือก็พลันรื้นคลอขอบตา
เขากลืนก้อนสะอื้นและเอ่ยว่า “อาจารย์” จากนั้นก็ไม่อาจเอื้อนเอ่ยอะไรออกมาได้อีก ด้วยเกรงว่าหากเปิดปากพูด น้ำตาจะไหลออกมา
มือชราที่มีรอยย่นของปี่เหลาซานลูบหัวของเขา พร้อมกับน้ำตาที่ไหลอาบหน้า “เด็กน้อย เธอคงทนทุกข์ทรมานมาตลอดหลายปีที่ผ่านมาสินะ”
ฉีจิ่นจือกัดริมฝีปากแน่นและสั่นศีรษะซ้ำ ๆ
นับตั้งแต่วินาทีแรกที่ได้พบกับเซี่ยชิงหยวน เขาก็หวนนึกถึงอดีตของตน จนกระทั่งเขาได้พบกับปี่เหลาซานอีกครั้ง เขาอยากย้อนกลับไปทำอดีตสิบสองปีที่ผ่านมานั้นเสียใหม่
ด้วยเกรงว่ามือที่เปื้อนเลือดของเขาจะไม่อาจยืนอยู่ท่ามกลางแสงแดดร่วมกับพวกเขาได้อีกต่อไป
แม้แต่ฉีหยวนซานยังพยายามทำทุกอย่างเพื่อลบอดีตของเขา
แต่วันนี้ชายหนุ่มได้รู้แล้วว่าปี่เหลาซานและศิษย์น้องของเขาไม่ได้สนใจอดีตเหล่านั้นเลย
พวกเขากังวลว่าเขาสบายดีหรือไม่และต้องทนทุกข์ทรมานเพียงใดมากกว่าสิ่งที่เขาเคยกระทำผิดไว้ในอดีต
ในตอนที่เขาถูกลูกพี่เตาปาพาตัวไปนั้นเต็มไปด้วยความทุกข์ทรมาน การถูกทุบตีและอดอยากเป็นเพียงเรื่องปกติธรรมดา พวกมันยังขังเขาไว้กับคนอื่น ๆ และปล่อยให้ฆ่ากันเอง ใครชนะก็จะได้รับอาหาร
เด็กชายอ่อนแออายุเพียงสิบสองปีเดิมทีไม่ได้อยู่ในสายตาใครเลย แต่เขาสามารถฆ่าและหาทางหลบหหนีได้ จึงได้รับความสนใจจากลูกพี่เตาปา
กระทั่งเขาค่อย ๆ สลายกองกำลังของลูกพี่เตาปาทีละขั้น จนในที่สุดก็ยึดอำนาจและเข้ามาแทนที่ได้
ก่อนที่ลูกพี่เตาปาจากโลกนี้ไป เขาให้คนควักดวงตาคู่นั้นของลูกพี่เตาปาออกมาและเอ่ยว่า “ดวงตาของอาจารย์ของฉันมีค่าที่สุด เขาพูดเสมอว่าหยกใด ๆ ก็ตามที่ผ่านสายตาของเขาเพียงเสี้ยววิ เขาก็สามารถรับรู้ได้ว่าหยกนั้นดีหรือไม่ แต่แกกลับควักลูกตาของเขาออก แกคิดว่าแกสมควรถูกลงโทษไหม?”
ตอนนี้เขาไม่จำเป็นต้องแบกเรื่องราวพวกนี้ไว้อีกต่อไป
ปี่เหลาซานจับมือของเขา เซี่ยชิงหยวน และปี่ฟู่หมานมาประสานกันไว้อีกครั้ง ก่อนพูดว่า “ในอนาคต เมื่ออาจารย์จากไปแล้ว อาจารย์หวังเพียงว่าพวกเธอทั้งสามคนจะคอยช่วยเหลือและสนับสนุนซึ่งกันและกัน จิ่นจือน่ะ อาจารย์ไม่กังวลเลย จากนี้ไปเราจะเป็นคนที่องอาจผ่าเผย ช่างเรื่องน่ารำคาญใจในอดีตไปซะ! ฟู่หมาน เจ้าเด็กนี่เป็นคนที่ใช้การได้ ในอนาคตเธอกับศิษย์น้องหญิงก็ช่วยกันดูแลให้เขาได้กินอิ่มก็พอ”
ชายชราขยับเข้ามาใกล้ทั้งสามอีกครั้งและพูดด้วยน้ำเสียงที่เขาคิดว่าเสิ่นอี้โจวไม่ได้ยิน ”เจ้าหนุ่มทั้งสองต้องจับตาดูสามีของเซี่ยชิงหยวนไว้ให้ดีนะ รูปร่างหน้าตาของเขานั้นล่อผึ้งเรียกผีเสื้อเหลือเกิน ทั้งยังเป็นข้าราชการตำแหน่งใหญ่ นี่ล้วนแล้วแต่เป็นเนื้อพระถัง*[1] ในสายตาของคนอื่นทั้งสิ้น!”
เนื้อพระถังเสิ่นอี้โจว “…”
เซี่ยชิงหยวนพลันหัวเราะไม่ออกร้องไห้ไม่ได้ “อาจารย์คะ!”
ปี่เหลาซานยกนิ้วขึ้นมา “ชู่ว อาจารย์จะบอกเธอไว้นะว่าอย่าดึงดัน ถ้าหากว่าเขากล้าไปมีคนอื่นนอกบ้าน เธอก็อย่าลังเล ทิ้งเขาไปเลย มีเงินอยู่กับตัวเสียอย่าง จะหาผู้ชายไม่ได้ได้ยังไง? จะเป็นคนสิบคนก็หาได้ทั้งนั้น!”
เขาชี้ไปที่ฉีจิ่นจือพลางเอ่ยกลั้วหัวเราะ “ถ้าหากว่าหามาแล้วใช้การไม่ได้อีก ศิษย์พี่ของเธอก็ไม่เลวนะ หน้าตาหล่อเหลาเอาการ”
เซี่ยชิงหยวนยกมือกุมหน้าผาก “อาจารย์ อย่าพูดอีกเลยค่ะ”
เธอยืนขึ้นแล้วพูดกับฉีจิ่นจือและปี่ฟู่หมานว่า “สองคนช่วยพาเขาเข้าไปข้างในหน่อยนะ”
เมื่อปี่เหลาซานเอ่ยถ้อยคำเหล่านั้น ดวงตาของฉีจิ่นจือพลันเปล่งประกายดั่งดอกไม้ไฟ ก่อนจะค่อย ๆ หม่นลงเมื่อพบว่าแววตาของเซี่ยชิงหยวนกลับไร้ซึ่งความเสน่หา
จู่ ๆ ความลังเลสั่นไหวในใจก็มั่นคงขึ้นในทันใด
เขาข่มตาลงเพื่อซ่อนอารมณ์ของเขาพลางเอ่ยกับปี่เหลาซาน “อาจารย์เมาแล้วนะครับ เข้าไปพักผ่อนด้านในเถอะ”
เสิ่นอี้โจวถือโอกาสดึงเซี่ยชิงหยวนเข้ามาหาเขาอย่างนุ่มนวล แล้วหัวเราะ “ภรรยาของผมที่แสนร่ำรวยกำลังวางแผนจะว่าทิ้งผมยังไงอยู่เหรอ?”
เซี่ยชิงหยวนยิ้มเจ้าเล่ห์ “ถูกต้อง ดังนั้นระวังฉันไว้ให้ดีล่ะ”
หลังจากนั้นทั้งสองก็ยิ้มให้กัน
…
สองวันต่อมา ปี่เหลาซานก็ออกเดินทางไปพร้อมกับปี่ฟู่หมาน
เซี่ยชิงหยวนเริ่มตระเตรียมของให้พวกเขาเมื่อหลายวันก่อน ทั้งอาหารการกินก็ดี เสื้อผ้าก็ดี ตั้งแต่หัวจรดเท้าล้วนไม่มีสิ่งใดตกหล่น
ปี่ฟู่หมานมองดูกระเป๋าเดินทางซึ่งใหญ่กว่าเดิมสองเท่าจากตอนที่เขามาถึง หางตาของเขาก็กระตุกขึ้น
เซี่ยชิงหยวนมองไปยังปี่ฟู่หมานด้วยความไม่พอใจนักพลางตบไหล่ของเขา “อย่ามาทำหน้าแบบนี้ใส่ฉัน รอให้นายไม่มีอะไรจะกินก่อนเถอะ เดี๋ยวก็โทรศัพท์มาร้องไห้กับฉัน ของร้อน ๆ นี่ค่อยไปกินบนรถไฟ ของที่เก็บไว้ได้นานก็ค่อย ๆ กินช้า ๆ ส่วนเสื้อผ้า ฉันแยกเสื้อผ้าของทั้งฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนไว้ให้เรียบร้อยแล้ว อย่าสวมถุงเท้าบาง ๆ ในช่วงที่อากาศหนาวอีกล่ะ”
เมื่อเทียบกับการดื้อรั้นหัวแข็งเมื่อเขาพบกับเซี่ยชิงหยวนครั้งแรก ปี่ฟู่หมานในเวลานี้เชื่อฟังเซี่ยชิงหยวนยิ่งกว่าลูกแมวเสียด้วยซ้ำไป นอกเหนือจากการพยักหน้าอย่างต่อเนื่องแล้ว ยังไร้ร่องรอยแห่งความใจร้อนไม่อดทนอีกด้วย
ปี่เหลาซานและฉีจิ่นจือซึ่งยืนดูอยู่ข้าง ๆ พากันหัวเราะไม่หยุด
เซี่ยชิงหยวนกำลังตั้งครรภ์ ปี่เหลาซานจึงไม่ให้เธอไปส่ง “ให้ศิษย์พี่ของเธอไปส่งฉันก็ได้ เธออยู่บ้านคอยดูแลลูกในท้องให้ดีเถอะ”
เสิ่นอี้โจวรีบรับช่วงต่อคำพูดที่เซี่ยชิงหยวนกำลังจะพูด “เดี๋ยวผมไปส่งอาจารย์และศิษย์น้องให้เอง มันก็เหมือนกับคุณไปส่งนั่นแหละ”
หลังเอ่ยจบ คนขับรถก็ขับรถมาจอดเทียบ ทุกคนขึ้นรถไปพร้อมโบกมือลาเซี่ยชิงหยวน
เธอเดินไปส่งพวกเขาจนถึงลานบ้าน แล้วจึงหันหลังกลับ
เมื่อเห็นใบหน้าที่เปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำตาของเธอ ป้าอู๋ก็ปลอบว่า “อีกไม่กี่เดือนท่านผู้เฒ่าก็กลับมาแล้วค่ะ เวลาผ่านไปเร็ว คนเก่าคนแก่ว่ากันว่าอย่าร้องไห้ตอนท้องจะเป็นการดีที่สุด ไม่งั้นลูกจะเกิดมาแล้วขี้แยนะคะ”
เซี่ยชิงหยวนตกใจมากจึงรีบเช็ดน้ำตา ไม่กล้าร้องไห้อีก
อายุครรภ์ของเธอตอนนี้สี่เดือนแล้ว ท้องจึงค่อย ๆ โตขึ้นให้เห็นชัดว่ากำลังตั้งครรภ์ และอาจเพราะเป็นลูกแฝด ท้องของเธอจึงใหญ่กว่าผู้หญิงตั้งครรภ์ทั่วไปอยู่บ้าง
เซี่ยชิงหยวนลูบท้องของเธอแล้วตามป้าอู๋เข้าไปในบ้าน
สำหรับเธอในตอนนี้ การดูแลลูกในครรภ์ให้ดีนั่นคือสิ่งที่สำคัญที่สุด
แต่เมื่อกลับเข้ามาในบ้านได้ไม่นาน เธอก็อดจะเอ่ยถามป้าอู๋ไม่ได้ “ป้าอู๋คะ ร้านที่ฉันขอให้อู๋ฟ่างไปช่วยดูให้ พอจะได้ข่าวอะไรมาบ้างไหมคะ?”
ป้าอู๋ตอบว่า “หลังปีใหม่จะมีร้านปล่อยให้เช่าอยู่หลายร้าน เพียงแต่ทำเลไม่ค่อยดีนัก ยังมีอีกหลายร้านที่จะค่อย ๆ ปล่อยให้เช่า เขากำลังคอยดูให้คุณนายอยู่ค่ะ”
หลังกลับจากตรุษจีน ผู้คนจำนวนไม่น้อยที่อาศัยอยู่ห่างไกลจากมณฑลอวิ๋นก็มาเยี่ยมชมร้านเพราะได้ยินชื่อเสียงอันเลื่องลือ ว่ากันว่าในช่วงตรุษจีนทุกคนไปเยี่ยมญาติและเพื่อนฝูงจึงรู้ว่ามีร้านขายเสื้อผ้าชื่อยามต้องมนต์อยู่ที่ทางตะวันออกของเมือง หลังตรุษจีนจึงมาตามหาร้านที่ว่า
เสียงตอบรับนี้ทำให้ความมุ่งมั่นของเซี่ยชิงหยวนที่จะขยายสาขาออกไปนั้นมีมากขึ้น ดังนั้นเธอจึงขอให้อู๋ฟ่างช่วยหาหน้าร้านที่ทางตะวันตกของเมืองให้
โดยทั่วไปผู้คนทางฝั่งตะวันตกของเมืองไม่ได้ร่ำรวยเท่ากับผู้ที่อยู่ทางฝั่งตะวันออก แต่ฐานะของพวกเขาก็ไม่ได้แย่ อีกทั้งค่าเช่าร้านค้าที่นั่นก็ถูกกว่า ซึ่งจะทำให้เธอประหยัดเงินไปได้หลายร้อยหยวนต่อปี
เธอหวังเพียงว่าอาเซียงจะสามารถลุกขึ้นยืนได้อย่างรวดเร็วจะได้ไปดูแลร้านค้าทางตะวันตกของเมืองให้กับเธอ
อาเซียงไปที่เมืองกว่างโจวหลายวันแล้ว นอกจากส่งข่าวมารายงานเธอว่าถึงที่นั่นอย่างปลอดภัยในวันนั้นแล้วก็ไม่มีข่าวคราวใดอีก ไม่รู้ว่าเด็กสาวเป็นยังไงบ้าง
ป้าอู๋ซึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ เมื่อเห็นเซี่ยชิงหยวนเหม่อมองอย่างล่องลอยอีกครั้ง ก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยกลั้วหัวเราะ “คุณนายไม่สามารถปล่อยเวลาทิ้งไปได้เลยจริง ๆ หยุดคิดเรื่องนี้ก่อนเถอะค่ะ เดี๋ยวลูกในท้องจะกลายเป็นตาเฒ่าตั้งแต่ยังเด็กนะคะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น เซี่ยชิงหยวนก็รีบขัดจังหวะความคิดที่พลุกพล่านของตน “ป้าอู๋พูดถูก ฉันไปเดินเล่นออกกำลังกายสักหน่อยดีกว่า”
ป้าอู๋ช่วยพยุงเธอให้ลุกขึ้น “รีบไปกันค่ะคุณนาย”
…
ตอนนี้เมืองกว่างโจวเพิ่งเข้าสู่เดือนมีนาคม แม้จะยังมีความหนาวเย็นหลงเหลืออยู่บ้าง แต่บรรยากาศรอบ ๆ ก็เต็มไปด้วยกลิ่นอายของฤดูใบไม้ผลิแล้ว
ขณะที่เซี่ยชิงหยวนเดินไปตามทาง จมูกของเธอได้กลิ่นในบ้านของใครสักคนกำลังทำอาหารรสเผ็ด กลิ่นฉุนอย่างยิ่ง
เธอหยุดฝีเท้าลงและสูดดมอย่างหนัก อืม ใช้พริกดองเสียด้วย
ความอยากอาหารในท้องของเซี่ยชิงหยวนเพิ่มขึ้น หญิงสาวพลันกลืนน้ำลาย
ทันใดนั้นเธอก็นึกถึงว่าเมนูอาหารที่เพิ่งเปิดตัวในร้านในตรอกเก่าสามารถทำอะไรได้บ้าง!
หญิงสาวปรบมืออย่างมีความสุข ก่อนจะหันหลังกลับ
ใครกันคาดคิดว่าเธอจะพบเข้ากับเผ่ยเยว่และเผ่ยอิ่งที่ออกมาเดินเล่นเช่นกัน
เซี่ยชิงหยวนกลอกตาของเธอในใจ
เธอไม่ค่อยอยากจะสนใจคนที่ใจร้ายกับศิษย์พี่ของเธอนัก
แต่ที่ยืนอยู่ข้างเผ่ยอิ่งนั้นคือเผ่ยเยว่ เธอเป็นหนี้บุญคุณหล่อนอยู่หนึ่งครั้ง และมีเพียงทางเดินเดียว เธอจึงไม่สามารถเมินเฉยได้
ใครจะรู้ว่าเธอยังไม่ทันได้เอ่ยอะไรออกไป เผ่ยอิ่งกลับเป็นฝ่ายพูดขึ้นมา “คุณนายเสิ่นช่างใจกว้างเสียจริงนะคะ”
[1] เนื้อพระถัง หรือ เนื้อพระถังซัมจั๋ง เป็นการอุปมาว่าเป็นสิ่งล้ำค่าที่ทุกคนต่างอยากได้