กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี - บทที่ 455 โลกโปรดอ่อนโยนกับเขาด้วย
บทที่ 455 โลกโปรดอ่อนโยนกับเขาด้วย
บทที่ 455 โลกโปรดอ่อนโยนกับเขาด้วย
เหล่าไต้โน้มตัวเข้าใกล้เซี่ยชิงหยวนยิ่งกว่าเดิมและลดเสียงของเขาให้เบาลง “อดีตลูกพี่ใหญ่ของเมืองกว่างโจว โจวจิ่นจือ!”
ดวงตาของเซี่ยชิงหยวนเบิกกว้างขึ้นทันทีหลังได้ยินประโยคนี้
เป็นเขานั่นเอง!
เหล่าไต้พูดต่อ “ฉันได้ยินคนพูดกันว่า คนพวกนั้นทำธุรกิจมืดน่ะ ฉากหน้าพวกเขากำลังขนส่งสินค้าแต่จริง ๆ แล้วพวกเขาซ่อนสิ่งผิดกฎหมายต่าง ๆ มากมายที่ประเทศห้ามไว้อย่างชัดเจนเลย”
“เคยมีคนรายงานด้วย แต่ฉันได้ยินมาว่าคนที่รายงานก็หายตัวไปพร้อมกับครอบครัวของเขาในวันรุ่งขึ้นทันที และไม่มีใครกล้าพูดถึงมันอีกเลย”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้เหล่าไต้ก็ดูเศร้าขึ้นมา “ตอนที่เขาเคยอยู่ที่เมืองกว่างโจว แม้ว่าจะเป็นนักเลงลูกพี่ใหญ่ของแก๊งก็ตาม แต่เขาก็ทำทุกสิ่งอย่างยุติธรรม ลูกน้องทุกคนถูกควบคุม และพวกเรานักธุรกิจต่างก็อยากเข้าหาเขาเวลามีปัญหา แต่ไม่คาดคิดเลยว่าหลังจากที่เขาหายตัวไปอย่างอธิบายไม่ได้ เขากลับไปที่ฮ่องกง และแม้แต่ทำเรื่อง…”
เมื่อพูดเรื่องนี้แล้ว เหล่าไต้ก็ถอนหายใจและไม่พูดอะไรอีก
สีหน้าของเซี่ยชิงหยวนเปลี่ยนไปครั้งแล้วครั้งเล่า และริมฝีปากของเธอก็ซีดลง เธอไม่มีสมาธิพอจะฟังสิ่งที่เหล่าไต้พูดในตอนท้ายแล้ว
แม้เธอจะคาดเดาอยู่ในใจเอาไว้แล้ว แต่ก็ยังไม่แน่ใจและทำได้เพียงเก็บงำความคิดของตัวเองไว้
เธอคิดเสมอว่าวันหนึ่ง ฉีจิ่นจืออาจจะกลับมาด้วยเหตุผลว่าเขาออกเดินทางไกลหรือมีภารกิจเร่งด่วนที่ไม่สะดวกที่จะพูดถึง
แต่เธอไม่คาดคิดเลยว่าเขาจะเริ่มต้นเส้นทางนี้จริง ๆ
ฉีจิ่นจือไม่เคยพูดถึงเรื่องราวของอดีตของเขาสักคำ แต่เธอสามารถบอกได้ว่าเขาเกลียดและอยากจะลืมอดีตของตัวเองอย่างยิ่ง
แต่ทำไมเขาถึงกลับไปอยู่ในนรกนั่นอีกครั้งล่ะ?
ทั้ง ๆ ที่ในที่สุดเขาก็ได้พบกับอาจารย์ และในที่สุดเขาก็ได้รับความอบอุ่นจากทุกคน…
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ ท้องของเซี่ยชิงหยวนพลันกระตุก เด็กๆ สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงในอารมณ์ของเธอและดิ้นเตะท้องสินะ
เธอรีบเอามือปิดท้องตัวเองแล้วตบเบา ๆ สองครั้งโดยไม่กล้าคิดอะไรอีก
เมื่อเหล่าไต้เห็นหญิงสาวตรงหน้าเป็นเช่นนี้ เขาจึงคิดว่าเธอตกใจมาก
เขาตบปากตัวเองและสบถ “ฉันพูดไร้สาระต่อหน้าเธอเกินไปแล้ว บ้าจริง ๆ”
เซี่ยชิงหยวนกำลังตั้งครรภ์ เขาจะรับผิดชอบได้ยังไงถ้าเธอเกิดกลัวจนหมดสติขึ้นมา?
เซี่ยชิงหยวนกลับมาสงบสติอารมณ์อีกครั้ง และยกมือขึ้นเพื่อแสดงว่าเธอสบายดี
เธอยังคงอดไม่ได้ที่จะถาม “คุณรู้ไหมว่าตอนนี้เขาอยู่ที่ไหน?”
เหล่าไต้ส่ายหัว “ฉันเดาได้เพียงว่าเขาไปมาทั้งสองฝั่งของฮ่องกงและเมืองเซินเจิ้นนะ แต่ส่วนใหญ่น่าจะอยู่ฝั่งฮ่องกง”
ทันใดนั้นเขาก็จำเรื่องที่เซี่ยชิงหยวนเหมือนจะมีความเกี่ยวข้องกับฉีจิ่นจือได้ เขาถามหญิงสาวอีกครั้ง “ถ้าเธออยากพบเขา ฉันสามารถขอให้ใครสักคนถามได้นะ บางทีอาจจะรู้อะไรบางอย่างในภายหลังด้วยก็ได้”
เซี่ยชิงหยวนส่ายหัว “ไม่ คุณจะต้องไม่ถามอะไรเกี่ยวกับเขาอีกหรอก”
การต้องการพบฉีจิ่นจือและถามเขาว่าเป็นยังไงบ้างไม่ได้มีผลดีอะไรเลยสำหรับเซี่ยชิงหยวน
เธอกังวลว่าเหล่าไต้จะไม่จริงจังกับคำเตือน ดังนั้นเธอจึงใช้น้ำเสียงจริงจังขึ้น “เหล่าไต้ คุณต้องฟังฉันนะ คุณจะต้องไม่ถามเกี่ยวกับเรื่องของเขาอีก ลองคิดดูสิ ผู้คนพวกนั้นไม่ใช่คนดีไปกว่าพวกที่อยู่ในเมืองกว่างโจว หากคุณสืบเสาะเรื่องของพวกเขา ฉันกลัวว่า… คุณจะมีชะตากรรมแบบเดียวกับคนที่เคยรายงานเรื่องของพวกเขาน่ะ”
เมื่อเหล่าไต้ได้ยินดังนั้น เขาก็เหงื่อแตกไปด้วย
เหตุผลที่เขาจับตาดูฉีจิ่นจืออย่างใกล้ชิดก็เนื่องมาจากตัวตนก่อนหน้านี้ของฉีจิ่นจือ หากเซี่ยชิงหยวนไม่พูดเตือน ในอนาคตเขาคงติดตามข่าวที่เกี่ยวข้องกับฉีจิ่นจือ และอาจจะถึงขั้นสืบถามคนอื่นให้ลึกขึ้นด้วยซ้ำ
เขาพยักหน้าซ้ำแล้วซ้ำอีก “ฉันเข้าใจ ไม่ต้องกังวล”
เซี่ยชิงหยวนยอมวางใจเมื่อเห็นเหล่าไต้พยักหน้าอย่างหนักแน่น
เธอไม่อยากพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นอีกต่อไป และยังไม่ได้กินอาหารเลย เธอจึงขอให้เหล่าไต้พากลับไปยังที่พัก
…
เมื่อเสิ่นอี้โจวกลับมาในตอนเย็น เขาก็เห็นเซี่ยชิงหยวนนอนอยู่บนเตียงด้วยท่าทางเศร้าหมอง
เขาก้าวไปข้างหน้าและประคองภรรยาให้ลุกขึ้นมาคุยกับเขา “อะไรทำให้คุณเศร้าเหรอ?”
เซี่ยชิงหยวนเหลือบมองประตูห้อง เช็คดูว่าปิดสนิทหรือยังก่อนจะกระซิบสิ่งที่เธอได้ยินจากเหล่าไต้ในวันนี้ให้เขาฟัง
เธอพูดอย่างจริงจังและระมัดระวังมาก ไม่กล้าเอ่ยชื่อของฉีจิ่นจือตรง ๆ เธอใช้เพียงคำว่า ‘เขา’ แทนตลอด
ในที่สุดเธอก็ถามเสิ่นอี้โจว “มีอะไรที่เราสามารถทำได้เพื่อช่วยเขาบ้างไหม?”
เสิ่นอี้โจวเงียบอยู่นานแล้วพูดว่า “แค่แกล้งทำเป็นว่าเราไม่เคยรู้จักเขาก็พอ”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ เซี่ยชิงหยวนก็รู้สึกเจ็บปวดในใจ
ในที่สุดอาจารย์ก็ได้พบศิษย์คนแรกของตัวเองอีกครั้งในชีวิตนี้ แต่ตอนนี้อาจารย์กลับต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่จะสูญเสียฉีจิ่นจือไปอีกครั้งเนี่ยนะ
เธอเริ่มกังวลถึงอนาคตในอีกไม่กี่เดือนที่จะคลอดลูกและอาจารย์จะกลับมาตามที่สัญญาไว้ เธอจะกล้าสู้หน้ากับอาจารย์ชราของตัวเองได้ยังไง?
แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม มันเป็นอย่างที่เสิ่นอี้โจวพูดนั่นแหละ การไม่ถามหรือพูดอะไรเลยเป็นการป้องกันที่ดีที่สุด
เธอกลั้นน้ำตาที่กำลังจะไหลและพิงเข้าไปในอ้อมแขนของเสิ่นอี้โจว “ฉันเข้าใจแล้ว”
เสิ่นอี้โจวถอนหายใจและกอดภรรยาไว้แน่น “นี่คือเส้นทางที่เขาเลือกและเราควรสนับสนุนเขา เขาเคยใช้ชีวิตอยู่แบบนั้นมาก่อน เขาจะอยู่ได้อย่างไม่มีปัญหาแน่”
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า “อื้ม”
เธอหวังเพียงว่าโลกจะอ่อนโยนกับ ‘เขา’ ก็เท่านั้น
…
ค่ำคืนนั้นมืดมิดราวกับถูกหมึกสาดและเสียงคลื่นกระทบโขดหินก็ดังก้องมาจากท่าเรือ เช่นเดียวกับเสียงครางต่ำของผู้ชาย
ครู่ต่อมามือใหญ่ที่เปื้อนเลือดสีแดงสดก็เกาะก้อนหินแล้วปีนขึ้นมา ปรากฏเป็นชายคนหนึ่งที่ร่างกายเปียกปอน
เขาลุกขึ้นยืนโซเซ มองไปรอบ ๆ ด้วยดวงตาสีพีชอย่างระแวดระวัง และในที่สุดก็เดินไปที่กระท่อมริมหน้าผา ซึ่งอยู่ไม่ไกล
ชายร่างเล็กที่เฝ้าดูอยู่หน้ากระท่อมเห็นเขาจึงตกใจ “พี่โจว!”
ชายคนนั้นพยักหน้าแล้วเข้าไปในบ้าน
กระท่อมที่ทำจากไม้ได้รับการตกแต่งอย่างเรียบง่าย มีโต๊ะไม้ เตียงเล็ก ๆ ที่ทำจากไม้ และตะเกียงน้ำมันก๊าดที่แขวนอยู่บนผนัง
ชายคนนั้นฉีกเสื้อผ้าที่เปียกแล้วของเขาออก เผยให้เห็นร่างกายส่วนบนที่มีรอยแผลเป็นและบาดแผลสดจากมีด ผิวหนังถูกน้ำทะเลเกาะเป็นสีขาวนวล
บนเอวและหน้าท้องของชายคนนั้นมีบาดแผลที่สะดุดตามาก
ชายร่างเล็กเดินตามเข้ามาและต้องตกใจเมื่อเห็นบาดแผลจากกระสุนปืนบนร่างกายของชายคนนั้น “พี่พบมันแล้วงั้นเหรอ?”
ชายคนนั้นพยักหน้า “ไม่ต้องห่วง ฉันจัดการกับไอ้นั่นแล้ว”