กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี - บทที่ 475 แพ้ยาชา
เซี่ยชิงหยวนแพ้ส่วนผสมของยาชา อาการนี้ถูกพบระหว่างที่เธอไปตรวจเลือดในช่วงที่สามของการตั้งครรภ์
ในเวลานั้นด้วยกลัวว่าความกังวลของเซี่ยชิงหยวนจะส่งผลต่อพัฒนาการที่ดีของทารกในครรภ์ ดังนั้นหมอฮวงจึงแนะนำว่าควรเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับต่อหญิงสาวก่อน
โชคดีที่การตรวจครรภ์เป็นไปอย่างราบรื่นและทารกในครรภ์อยู่ในตำแหน่งที่ดีตามเงื่อนไขของการคลอดตามธรรมชาติ หมอฮวงจึงแนะนำให้ทำการเบ่งคลอดตามธรรมชาติก่อน
เสิ่นอี้โจวพูดอย่างเคร่งขรึม “ขอบคุณสำหรับการทำงานหนักของคุณหมอฮวงมากนะครับ”
หมอฮวงพยักหน้าและกำลังจะเข้าไป แต่เสิ่นอี้โจวหยุดไว้
สีหน้าของเสิ่นอี้โจวเต็มไปด้วยความลังเล และด้วยการต่อสู้กันของสองความคิดในหัว ราวกับว่ามันยากมากที่จะตัดสินใจก่อนจะพูดว่า “หากมีเหตุฉุกเฉิน ความปลอดภัยของแม่คืออันดับแรกนะครับคุณหมอ”
แม้กว่าที่เซี่ยชิงหยวนจะท้องได้นั้นคือเรื่องยากมาก ๆ สำหรับพวกเขา แต่เมื่อเทียบกับการที่เซี่ยชิงหยวนเป็นอะไรไปขึ้นมา แล้วลูกจะไปมีความหมายอะไร?
หมอฮวงขมวดคิ้วและพูดว่า “ไม่ต้องกังวลค่ะ เราจะพยายามอย่างเต็มที่”
หลังจากพูดอย่างนั้น เธอก็เข้าไปในห้องรอคลอด
เสิ่นอี้โจวมองที่หน้าต่าง ข้างนอกยังมืดอยู่เหมือนกับหัวใจของเขา มันหนักหน่วงมาก
เมื่อเทียบกับความสุขที่รู้ว่ากำลังจะมีลูก อารมณ์เหล่านั้นล้วนหายไปหมดสิ้น ตอนนี้เขาคิดถึงแต่ความปลอดภัยของเซี่ยชิงหยวนเท่านั้น
หลินตงซิ่วกลับมาอย่างรวดเร็วหลังจากออกไปซื้ออาหาร เธอรีบวิ่งจนล้มลงขณะขึ้นบันได
โชคดีที่อาหารเช้าอยู่ในอ้อมแขนของเธออย่างดี และไม่เละไปเสียก่อน
เธอไม่สนใจต่อความเจ็บปวดของตัวเอง และลุกขึ้นจากพื้นแล้ววิ่งต่อ
เธอหอบเหนื่อยพลางวิ่งไปที่ประตูห้องรอคลอด และปี่เหลาซานก็กลับขึ้นมาหลังจากทำเรื่องเอกสารแล้ว
เมื่อเห็นสีหน้าของเสิ่นอี้โจวเปลี่ยนไป มันยิ่งทำให้หัวใจของหลินตงซิ่วเต้นรัว “มีอะไร? มีอะไรผิดปกติเหรอ?”
เสิ่นอี้โจวสงบลงอย่างรวดเร็วและพูดกับเธอว่า “แม่ ไม่มีอะไรหรอกครับ”
นางพยาบาลออกมาและเห็นหลินตงซิ่วซื้ออาหารเช้ามาแล้วพอดี เธอจึงรับอาหารเช้าไปแล้วยื่นเอกสารให้เสิ่นอี้โจว “สมาชิกในครอบครัวโปรดลงนามหลังจากอ่านสัญญาและเงื่อนไขข้างต้นด้วยนะคะ”
หลังจากนั้นนางพยาบาลก็กลับเข้าไปในห้องทำคลอดอีกครั้ง
เสิ่นอี้โจวก้มศีรษะลงและอ่านเอกสารในมืออย่างจริงจัง แต่ยิ่งเขาอ่านมากเท่าไร เขาก็ยิ่งหวาดกลัวมากขึ้นเท่านั้น และมือที่ถือปากกาก็สั่นเทา
เขาทำการบ้านมามากมายและฝึกฝนเป็นการส่วนตัวนับครั้งไม่ถ้วน แต่เมื่อเขาเจอมันจริง ๆ กลับพบว่าตัวเองไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้เลย
ปี่เหลาซานปลอบโยนเขา “โรงพยาบาลแค่บอกเราถึงสถานการณ์กรณีที่เลวร้ายที่สุด แต่ชิงหยวนเป็นคนโชคดีมาโดยตลอด เพราะงั้นมันคงไม่เกิดขึ้นหรอก”
เสิ่นอี้โจวพยักหน้าและพยายามดิ้นรนกับอารมณ์ตัวเองแล้วลงนามในเอกสาร
…
ภายในห้องทำคลอด เซี่ยชิงหยวนเปลี่ยนเสื้อผ้าและถูกพาขึ้นเตียง ในหัวของเธอสับสนเล็กน้อย
เธอไม่เคยคาดคิดว่าอาการปวดก้นกบจะเป็นอาการปวดท้องประเภทหนึ่ง และไม่มีวี่แววให้เห็นเลย
หญิงสาวไม่มีเวลาแม้แต่จะคำพูดใด ๆ กับเสิ่นอี้โจวด้วยซ้ำ
นางพยาบาลสาวนำอาหารเช้าที่หลินตงซิ่วซื้อเข้ามาให้เซี่ยชิงหยวนแล้วพูดว่า “มีซาลาเปาและเกี๊ยว คุณอยากกินอันไหนคะ?”
ความเจ็บปวดรวดร้าวเกิดขึ้นอีกครั้ง เซี่ยชิงหยวนกัดริมฝีปากของเธอก่อนจะตอบกลับ “รีบทำคลอดให้ฉันเลยได้ไหมคะ?”
นางพยาบาลส่ายหัว “เราต้องรอให้ช่องคลอดเปิดอีกสักสองสามนิ้วก่อนถึงจะทำคลอดได้ค่ะ”
อีกสิ่งหนึ่งที่เธอไม่ได้บอกคือหลังจากเข้าห้องคลอดแล้ว แม่ในห้องคลอดข้าง ๆ จะได้ยินเสียงคร่ำครวญหรือตะโกนมาอยู่เรื่อย ๆ ซึ่งจะกระทบหรือทำให้แม่คนอื่นกลัวไม่น้อย
เซี่ยชิงหยวนพูดได้เพียงว่า “งั้นฉันขอซาลาเปาก็แล้วกันค่ะ”
ตอนนี้ไม่ใช่แค่ความเจ็บปวดที่ก้นกบเท่านั้น ความเจ็บปวดดูเหมือนจะลามจากกระดูกก้นกบมายังช่องท้องด้วย จากนั้นก็ลามไปทั่วทั้งกระดูกสันหลัง
ความเจ็บปวดจะปะทุขึ้นเป็นระยะ ตอนไม่ได้เจ็บเธอสามารถกินได้ แต่ทุกครั้งที่ปวดท้อง เธอจะต้องหยุดกินและอดทนกับมัน
แม้ว่าเซี่ยชิงหยวนจะเหงื่อออกมากด้วยความเจ็บปวด แต่นางพยาบาลก็มอบอาหารให้เธอเรื่อย ๆ ในขณะที่ดูข้อมูลบนอุปกรณ์ข้างเตียง
นางพยาบาลปลอบใจว่า “กระบวนการคลอดของแม่ทุกคนแตกต่างกัน ต้องกินให้มากขึ้นในขณะที่ยังกินได้นะคะ ตอนนี้คุณต้องทนกับความเจ็บปวดไปก่อน แนะนำว่าอย่าตะโกน อย่าใช้แรงหรือยืดทั้งตัว ไม่อย่างนั้นจะส่งผลต่ออัตราการเต้นของหัวใจของทารกในครรภ์ได้ค่ะ”
เมื่อได้ยินแบบนั้น เซี่ยซิงหยวนจึงรีบผ่อนการเกร็งของมือที่กำลังจับราวข้างเตียงอยู่ทันที
ไม่สามารถตะโกนหรือออกแรงในขณะที่เจ็บได้ แบบนี้มันทรมานจริง ๆ
แต่ทำไมมันถึงแตกต่างจากที่เคยเห็นในภาพยนตร์นักล่ะเนี่ย? ในภาพยนตร์ผู้หญิงมักจะตะโกนเวลาคลอดบุตรไม่ใช่เหรอ?
เมื่อความเจ็บปวดรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ เซี่ยชิงหยวนรู้สึกราวกับว่ากระดูกทั้งหมดในร่างกายของเธอกำลังถูกทำลายและจัดระเบียบใหม่
ด้วยใบหน้าซีดเซียว เธอมองออกไปนอกหน้าต่างเห็นหมอสวมชุดกาวน์สีขาวเดินไปมา จึงพูดกับนางพยาบาลว่า “ช่วยฉันถามหมอหน่อยได้ไหมว่าสามารถผ่าคลอดได้รึเปล่า?”
เธอรู้ว่าการคลอดตามธรรมชาติจะเป็นผลดีกับทารก แต่ตอนนี้เธอรู้สึกเหมือนกำลังจะตายจากความเจ็บปวดเลยก็ว่าได้
ก่อนที่พยาบาลจะตอบ หมอฮวงก็เข้ามา
คุณหมอสวมเสื้อผ้าสำหรับการผ่าตัดแล้ว เธอเช็ดเหงื่อให้เซี่ยชิงหยวนและพูดด้วยใบหน้าที่อ่อนโยน “ตอนนี้คุณรู้สึกยังไงบ้างคะ?”
นางพยาบาลเอ่ยตอบแทน “ตอนนี้อาการปวดท้องเกิดขึ้นทุก ๆ สิบห้านาทีและคงอยู่ประมาณสิบวินาทีค่ะ”
หมอฮวงมองดูเวลาแล้วพูดว่า “อีกสักครู่ก็น่าจะเข้าห้องคลอดได้แล้วค่ะ”
เธอจับมือของเซี่ยชิงหยวน พูดด้วยเสียงที่ทั้งอ่อนโยนและหนักแน่น “ทารกจะออกมาพบคุณเร็ว ๆ นี้แล้ว อดทนอีกหน่อยนะคะ ตกลงไหม?”
ดวงตาของเซี่ยชิงหยวนแดงก่ำจากความเจ็บปวด แต่เธอก็พยักหน้าและพูดว่า “ได้ค่ะ”
หมอฮวงพูดเสริมว่า “ทุกครั้งที่ความเจ็บปวดปะทุนั้นจะเจ็บปวดมากจนเหมือนคุณไม่สามารถทนได้ เวลานั้นจงคิดเกี่ยวกับสิ่งดี ๆ ต่าง ๆ ให้มากขึ้น ตัวอย่างเช่นคุณจะมีลูกที่น่ารักสองคน คุณและสามีของคุณสามารถเล่นกับพวกเขาได้ในอนาคตและสอนสิ่งต่าง ๆ ให้พวกเขา…”
ความคิดของเซี่ยชิงหยวนล่องลอยไปตามคำพูดอันอ่อนโยนของหมอฮวง อนาคตที่เอ่ยถึง ภาพสวย ๆ ก็ก่อตัวขึ้นในใจ…
ในที่สุดเมื่อถึงเวลา 8 โมงเช้า ปากมดลูกก็ขยายเพียงพอแล้ว หมอฮวงพูดว่า “พาเธอเข้าห้องคลอดได้เลย”