กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี - บทที่ 481 ไม่ได้ดื่มน้ำแกงยายเมิ่งสินะ?
- Home
- กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี
- บทที่ 481 ไม่ได้ดื่มน้ำแกงยายเมิ่งสินะ?
บทที่ 481 ไม่ได้ดื่มน้ำแกงยายเมิ่งสินะ?
เสิ่นอี้โจวปล่อยเธอ “ผมจะให้หมอฟ่านกลับมาตรวจคุณอีกครั้งนะ”
หลังพูดจบและเสิ่นอี้โจวก็เตรียมจะเดินออกไป
“เดี๋ยวก่อน” เซี่ยชิงหยวนเอ่ยเรียกเขาไว้
เธอชี้ไปที่ทารกตัวน้อยบนเปล “อุ้มลูกมาให้ฉันดูหน่อยสิ”
แม้จะเพิ่งซุกอยู่กับลูกสาวไปเมื่อครู่ ทว่ายังไม่รู้สึกถึงความเป็นแม่อย่างเต็มที่เลย
เสิ่นอี้โจวเหลือบมองลูกสาวที่กำลังหลับอยู่ พลางนึกถึงความน่ารักน่าเอ็นดูของเธอที่แสดงออกในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ก่อนจะเดินไปข้างเปล แล้วอุ้มลูกขึ้นมาอย่างอ่อนโยน
เสิ่นอี้โจววางลูกสาวลงข้างเซี่ยชิงหยวน แล้วห่มผ้าให้พวกเธอ
โชคดีที่ลูกสาวไม่มีทีท่าว่าจะตื่นเลย เขาจึงกล้าหายใจดังขึ้นอีกหน่อย
เซี่ยชิงหยวนมองไปยังเหตุการณ์ตรงหน้า มุมปากของเธอพลันยกขึ้น
เสิ่นอี้โจวแตะปลายจมูกของภรรยา “คุณยิ้มอะไร?”
รอยยิ้มของเซี่ยชิงหยวนไม่ได้จางลงแม้แต่น้อย “ก็ไม่คาดคิดว่าท่าอุ้มเด็กของคุณจะน่าประทับใจไม่น้อยเลยน่ะสิ”
เสิ่นอี้โจวรู้สึกภูมิใจในตัวเองเล็ก ๆ “หนังสือพวกนั้นในห้องของผมไม่ได้เปล่าประโยชน์หรอกนะ”
ด้วยเสียงที่ทั้งสองพูดกันนั้นใกล้หู เด็กหญิงตัวน้อยซึ่งอยู่ในผ้าห่อทารกก็ขมวดคิ้วแน่นราวกับว่าจะตื่นขึ้น ทำให้เซี่ยชิงหยวนตกใจ จึงปิดปากของเธอทันที ทั้งยังไม่กล้าขยับตัวแม้เพียงสักนิด
ร่างกายของเธอยังคงมีอาการเจ็บอยู่ โดยเฉพาะท่อนล่าง และเธอก็เขินอายเกินกว่าจะถามว่าแท้จริงแล้วลงมีดที่ตรงไหน หากว่าลูกร้องขึ้นมา หญิงสาวเกรงว่าจะไม่สามารถปลอบลูกได้ดีนัก
เสิ่นอี้โจวอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเมื่อเห็นใบหน้าราวกับเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจของผู้เป็นภรรยา
เมื่อกลับมาสังเกตลูกสาวอีกครั้ง เขาเห็นว่าเธอไม่ได้เคลื่อนไหวอะไรอีก ดูเหมือนว่าเด็กน้อยจะหลับไปอีกครั้ง ในใจของเขาพลันคิดว่าเธอคงแสดงความไม่พอใจที่พ่อแม่รบกวนการนอนของตัวเองสินะ
ดังนั้นเขาจึงเอ่ยกับเซี่ยชิงหยวนว่า “ผมจะรีบกลับมานะ”
จากนั้นเขาก็หันหลังออกจากห้องพักฟื้นไปพร้อมกับปิดประตูลง
การกระทำนั้นรวดเร็วมากจนเซี่ยชิงหยวนไม่มีโอกาสได้กลับคำ
ในห้องพิเศษขนาดใหญ่ เหลือเพียงแม่และลูกสาวเพียงสองคน มีเสียงร้องไห้แผ่วเบาของทารกผ่านเข้ามาทางช่องประตู สันนิษฐานว่าคือเสียงร้องไห้ของเด็กน้อยของคุณแม่อีกคนหนึ่ง
เมื่อลองตั้งใจฟัง ดูเหมือนที่ชั้นล่างจะมีเสียงร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวดจากผู้หญิงอีกคนหนึ่งอยู่เป็นพัก ๆ ด้วย แต่ก็ได้ยินไม่ค่อยชัดเท่าไหร่นัก
เซี่ยชิงหยวนคุ้นเคยกับเสียงครวญครางมากจนอดไม่ได้ที่จะสั่นเทิ้มไปทั้งร่างเมื่อได้ยินเสียงนี้
บางทีอาจเป็นเพราะสัมผัสได้ถึงความกลัวของเซี่ยชิงหยวน เด็กน้อยในอ้อมแขนจึงซุกตัวเข้าหา ก่อนจะส่งเสียงงอแงออกมาแล้วลืมตาตื่นขึ้น
ทันทีที่ดวงตากลมโตราวกับองุ่นลูกใหญ่ลืมขึ้น ดวงตาคู่นั้นก็จับจ้องไปยังร่างของเซี่ยชิงหยวนอย่างแม่นยำและสบตากับเธอ
เซี่ยชิงหยวนถูกเด็กน้อยจับจ้องตั้งแต่วินาทีแรกอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวเลยจริง ๆ
แม้ว่าเซี่ยชิงหยวนได้คิดสมมติไว้นับไม่ถ้วนก่อนที่ลูกจะคลอดออกมา แต่เมื่อเธอเผชิญหน้ากับสถานการณ์จริง มือเท้ากลับวางไม่ถูกขยับไม่ได้เสียอย่างนั้น
เธอตัวแข็งอยู่ที่เดิม ก่อนจะดึงสิ่งที่คิดว่าเป็นรอยยิ้มแห่งความรักขึ้นมาแล้วบีบเสียงของตัวเอง “สวัสดีลูกรัก นี่แม่เอง”
ใครกันจะคาดคิดว่าเด็กน้อยกลับไม่ซื้อมุกนี้แม้เพียงครึ่ง ปากเล็ก ๆ เบะลง กำลังจะร้องไห้ออกมา
เซี่ยชิงหยวนรีบกลับมาใช้เสียงเดิมของตัวเองอีกครั้ง แล้วเอ่ยอย่างสะเปะสะปะ “ลูกสาวแม่ อย่าร้องไห้ อย่าร้องไห้เลยนะ”
ไหนเลยจะรู้ว่าทันทีที่เอ่ยถ้อยคำนี้ออกไป เด็กหญิงตัวน้อยก็ส่งเสียงในลำคออันคลุมเครือออกมาว่า “แอะ” แล้วเบือนหน้าหนีไม่มองเธอ
เซี่ยชิงหยวน “…”
เด็กหญิงคนนี้เกรงว่าจะไม่ได้ดื่มน้ำแกงยายเมิ่งสินะ?
ไม่ทันที่เธอจะได้พินิจพิเคราะห์ เสียงเคาะประตูห้องสองครั้งพลันดังขึ้น ก่อนจะถูกผลักให้เปิดจากด้านนอก เป็นเสิ่นอี้โจวซึ่งเดินมาพร้อมกับหมอและพยาบาล
มีหมอสองคน คนหนึ่งเธอจำได้ว่าคือคุณหมอฟ่านที่ทำคลอดให้ ส่วนคุณหมออีกที่ดูเหมือนจะอายุราว 50 ปีนั้นเธอไม่คุ้นหน้าคุ้นตานัก ทั้งยังแน่ใจว่าไม่เคยเห็นเขามาก่อน
เสิ่นอี้โจวแนะนำเซี่ยชิงหยวนว่า “นี่คือผู้อำนวยการเล่ยที่ร่วมช่วยชีวิตคุณในวันนั้นน่ะ”
คุณหมอฮวงเป็นหมอประจำแผนกผู้ป่วยนอกและไม่ได้ก้าวเท้าเข้ามาในแผนกสูตินรีเวชหลายปีแล้ว
ในวันที่เซี่ยชิงหยวนคลอด เสิ่นอี้โจวก็เป็นคนที่ไว้วางใจไปเชิญเธอมา
ในระหว่างที่เซี่ยชิงหยวนอยู่ในอาการโคม่า คุณหมอฮวงได้มาเยี่ยมเธอครั้งหนึ่ง เมื่อได้ยินว่าหญิงสาวพ้นขีดอันตรายแล้วจึงจากไปด้วยความสบายใจ
ผู้อำนวยการเล่ยยิ้มให้เธอ ในรอยยิ้มของเขานั้นเผยให้เห็นถึงความโล่งใจ “ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้วครับ”
คุณหมอฟ่านยังกล่าวหยอกเย้าว่า “นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้เห็นคนที่ยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อให้กำเนิดลูกน้อยแบบคุณเลยค่ะ”
แน่นอนว่าไม่นับพวกผู้หญิงที่ตั้งใจจะสืบทอดเชื้อสายครอบครัวให้กับสามี และไม่ได้ถือว่าชีวิตของตัวเองเป็นของตัวเอง
เพราะเซี่ยชิงหยวนไม่ได้อยู่ในสถานการณ์เดียวกับคนพวกนั้นอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อนึกย้อนกลับไปถึงเหตุการณ์ในห้องคลอด เซี่ยชิงหยวนนั้นเต็มไปด้วยความกล้าหาญและเด็ดเดี่ยวจริงๆ
เธอยิ้มด้วยความเขินอาย “ขอบคุณหมอทั้งสองท่านที่ช่วยชีวิตฉันนะคะ”
ขณะเดียวกัน เด็กหญิงตัวน้อยซึ่งกำลังเล่นคนเดียวก็พบว่าไม่มีใครสังเกตเห็นว่าตัวเองตื่นแล้ว จึงส่งเสียงออกมา “แอะ…” พร้อมกับเตะขาเล็ก ๆ ของเธออย่างตื่นเต้น
ในตอนนี้เองทุกคนจึงตระหนักได้ว่าเด็กน้อยตื่นแล้ว
นางพยาบาลที่ดูแลเธอมาหลายวันแล้วเดินเข้ามาอุ้มขึ้นจากเตียงอย่างชำนาญ ใบหน้ากลม ๆ ของเด็กน้อยไม่อาจซ่อนความรักของแม่ที่มีให้ได้เลย “ยัยหนูตื่นแล้วเหรอ? อึแล้วหรือยังเอ่ย? หรืออยากจะกินนมหรือเปล่า? เดี๋ยวอีกสักพักเราไปอาบน้ำกันดีไหมน้า?”
วิธีการพูดของพยาบาลทำเอาคุณหมอฟ่านอดรนทนไม่ไหวจึงเอ่ยว่ากลั้วหัวเราะ “คุณอายุเท่าไหร่แล้วคะเนี่ย คำนึงถึงการกระทำบ้างสิ”
นางพยาบาลยิ้มอย่างเขินอาย “ขอโทษทีค่ะ ฉันลืมตัวไปน่ะ”
เสิ่นอี้โจวแนะนำเซี่ยชิงหยวนอีกครั้ง “นี่คือหัวหน้าพยาบาลที่ดูแลลูกสาวของเรา พวกเราเรียกเธอว่าพี่สาวคังน่ะ”
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้าพลางยกยิ้มให้พี่สาวคัง “ช่วงนี้ต้องรบกวนพี่สาวคังแล้วค่ะ”
ส่วนเรื่องที่ว่าเพราะอะไรการดูแลลูกสาวของเธอเองถึงต้องรบกวนคนในระดับหัวหน้าพยาบาล หญิงสาวตัดสินใจว่าจะถามสามีของเธอในภายหลัง
คุณหมอฟ่านและผู้อำนวยการเล่ยทำการตรวจร่างกายพื้นฐานให้เซี่ยชิงหยวน พร้อมเอ่ยถามถึงร่างกายของเธอสองสามข้อ จากนั้นการตรวจเยี่ยมผู้ป่วยก็สิ้นสุดลง
คุณหมอฟ่านกล่าวว่า “ในกรณีของคุณ ต้องพักอยู่ที่โรงพยาบาลอีกสองสามวัน จากนั้นจะทำการตรวจร่างกายอย่างละเอียดอีกครั้งก่อนจะพิจารณาเรื่องออกจากโรงพยาบาลนะคะ”
เมื่อเห็นว่าเซี่ยชิงหยวนอึกอักอยากจะพูดอะไรบางอย่าง ผู้อำนวยการเล่ยก็เอ่ยขึ้นมาว่า “ถึงยังไงคุณก็มีอาการตกเลือดอย่างรุนแรง ดังนั้นจึงควรระมัดระวังในการดูแลหลังคลอดให้มากขึ้นเพื่อหลีกเลี่ยงอาการป่วยในอนาคตด้วยนะครับ”
เมื่อได้ยินคำพูดของผู้อำนวยการเล่ย เซี่ยชิงหยวนจึงตระหนักได้ในที่สุดว่าเธอมีอาการตกเลือดด้วยงั้นเหรอ?
หญิงสาวมองไปยังเสิ่นอี้โจวด้วยความประหลาดใจ และสามีก็พยักหน้าให้เธอ
เซี่ยชิงหยวนตะลึงงันไปเล็กน้อย ปรากฏว่าการคลอดของเธอในตอนนั้นน่าหวาดเสียวจนถึงวินาทีนี้เลยสินะ
คุณหมอฟ่านกล่าวว่า “คุณยังอยู่ระหว่างการรักษาตัว ดังนั้นในช่วงระยะนี้ ให้เด็กกินนมผงไปก่อนนะคะ เมื่อออกจากโรงพยาบาลและกลับบ้านไปพักฟื้นสักระยะหนึ่งแล้ว ค่อยให้นมลูกอีกครั้งก็ยังไม่สายค่ะ”
เธอชี้ไปยังเด็กหญิงตัวน้อยที่ผล็อยหลับไปในอ้อมแขนของพี่สาวคังอีกครั้ง รอยยิ้มพลันอ่อนโยนขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว “เธอเป็นเด็กน้อยที่งดงามและเป็นเด็กดีมากที่สุดเท่าที่เราเคยเห็นมาเลย คนจากแผนกอื่น ๆ ต่างก็แอบพากันมาหาเธอกันทั้งนั้น หากไม่ใช่เพราะมีพี่สาวคังอยู่ด้วย เดาว่าธรณีประตูของแผนกเราคงทรุดไปแล้วค่ะ”
ถ้อยคำนี้อธิบายได้ชัดเจนว่าทำไมการดูแลทารกจึงต้องใช้หัวหน้าพยาบาลของแผนกทารกแรกเกิด
พวกเขาทักทายกันอีกเล็กน้อย ก่อนที่เสิ่นอี้โจวจะเดินไปส่งคุณหมอทั้งสองคนที่หน้าประตู ส่วนพี่สาวคังก็อุ้มเด็กน้อยไปให้นมด้วยเช่นกัน
เมื่อเสิ่นอี้โจวกลับมา เขานั่งลงข้างเซี่ยชิงหยวนแล้วพูดว่า “คุณมีอะไรอยากจะถามผมใช่หรือเปล่า?”
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า “เรื่องที่ฉันตกเลือด…”
ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเธอถึงรู้สึกราวกับว่าร่างกายนั้นเป็นตะแกรง มีอากาศรั่วไหลไปทั่ว ทั้งหนาวเย็นและอ่อนแอ
เสิ่นอี้โจวพยักหน้ารับ “อื้ม ใช่”
เดิมทีเขาต้องการรอให้เซี่ยชิงหยวนดีขึ้นก่อนที่จะบอกเธอถึงเรื่องนี้
เขาเงียบลงครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยต่อ “ในธนาคารเลือดของโรงพยาบาลมีเลือดไม่เพียงพอสำหรับคุณ เลือดแปดร้อยซีซีที่ได้มาในภายหลังนั้นแม่เป็นคนบริจาคให้น่ะ”
เขามองตรงเข้าไปในดวงตาของเซี่ยชิงหยวน “แม่ของคุณ”