กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี - บทที่ 498 ทำในส่วนของตัวเองให้ดี
บทที่ 498 ทำในส่วนของตัวเองให้ดี
ตงวั่งชุนชูเอกสารในมือขึ้นพลางยกยิ้ม “มีข้อมูลบางอย่างในนี้ที่ต้องได้รับการยืนยันจากเลขาธิการเสิ่นน่ะค่ะ”
ฉู่ซิงอวี่ลุกขึ้นจากที่นั่งและยื่นมือไปหาเธอ “ตรงไหนที่มีปัญหา ขอผมดูก่อน”
ตงวั่งชุนอดไม่ได้ที่จะกำเอกสารในมือแน่น รอยยิ้มของเธอเริ่มแข็งทื่อ “ไม่ต้องหรอกค่ะ ข้อมูลส่วนนี้มีเพียงฉันและเลขาธิการเสิ่นเท่านั้นที่รู้ อย่างไรคงต้องถามจากเขาอยู่ดี”
ฉู่ซิงอวี่หรี่ตาลง แววตาของเขาจ้องมองมาอย่างมีนัย “ข้อมูลทั้งหมดของเลขาธิการเสิน ผมล้วนเป็นคนตระเตรียมทั้งสิ้น”
ตงวั่งชุนรู้สึกราวกับว่าเธอถูกเปลื้องผ้าชิ้นสุดท้าย แก้มของหญิงสาวแดงก่ำอย่างควบคุมไม่ได้ ในใจรู้สึกอับอายไม่น้อย
เธอก้าวต่อไปทีละก้าว ๆ ด้วยความยากลำบากอย่างยิ่ง ก่อนจะส่งเอกสารในมือให้ฉู่ซิงอวี่
ฉู่ซิงอวี่รับเอกสารมาแล้วนั่งลง นิ้วเรียวยาวของเขาพลิกหน้ากระดาษพลางเหลือบมองเธอ รอให้หญิงสาวชี้จุดที่มีปัญหาให้ดู
ตงวั่งชุนรีบอ่านผ่าน ๆ ข้อมูลบนหน้ากระดาษอย่างรวดเร็ว แล้วชี้ไปยังจุดที่ดูเหมือนว่ามีข้อมูลสถิติจำนวนมาก “ตรงนี้ค่ะ”
ฉู่ซิงอวี่มองตามปลายนิ้วของเธอแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย จากนั้นจึงหยิบกระดาษและปากกาขึ้นมา “นั่งลง ผมจะอธิบายให้ฟัง”
ตงวั่งชุนนั่งลงอย่างเลื่อนลอย มองดูฉู่ซิงอวี่ที่อธิบายถึงวิธีคำนวณให้เธอฟัง แต่ก็ไม่อาจจะสงบใจได้
เมื่อเธอดึงสติกลับมา ฉู่ซิงอวี่ก็เขียนอธิบายไปกว่าครึ่งหน้ากระดาษแล้ว และเขากำลังมองเธออยู่
หัวใจของตงวั่งชุนตื่นตระหนกขึ้นมาอย่างไม่รู้ตัว
เธอรีบพยักหน้ารับ “เข้าใจแล้วค่ะ ขอบคุณผู้ช่วยพิเศษฉู่มากค่ะ”
ฉู่ซิงอวี่คืนเอกสารให้เธอ ราวกับว่าเขาเข้าใจในทุกอย่างอย่างชัดเจน และเอ่ยว่า “ในฐานะผู้ช่วย เรามีหน้าที่เพียงทำในส่วนของเราให้ดี เข้าใจไหม?”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น ตงวั่งชุนก็เบิกตากว้างขึ้นทันที
เธอต้องการถามฉู่ซิงอวี่ว่าเขารู้อะไรหรือไม่ ทว่าก็ไม่ได้เอ่ยหยั่งเชิงอะไร หากว่าเธอคิดมากไปเองล่ะ?
เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนที่อ่อนโยนที่สุดในสำนักเลขาธิการ แต่ทำไมจู่ ๆ เขาถึงแปลกไปถึงขนาดนี้?
เธอไม่กล้าคิดเรื่องนี้อีกเลย
….
เสียงเคาะโต๊ะพลันดังขึ้น ตงวั่งชุนจึงดึงความคิดของเธอกลับมา ก่อนจะมองไปยังคนที่ยืนอยู่หน้าโต๊ะ
พบว่าเป็นเซี่ยเจิ้งซึ่งถือกระเป๋าเอกสารไว้ในมือ เขางอนิ้วแล้วเคาะบนโต๊ะ พร้อมมองมาที่เธออย่างสุภาพ
ตงวั่งชุนลุกขึ้นจากที่นั่งและโค้งคำนับเซี่ยเจิ้งทันที “ผู้อำนวยการเซี่ย”
เซี่ยเจิ้งไม่ได้ถือสาอาการเหม่อลอยของเธอ “เสี่ยวเสิ่นอยู่ที่นี่หรือเปล่า?”
ตงวั่งชุนเอ่ยตอบ “อยู่ค่ะ”
เซี่ยเจิ้งพยักหน้ารับแล้วจึงเดินเข้าไป
เมื่อเห็นเซี่ยเจิ้งเข้ามาไปในสำนักงานแล้ว ตงวั่งชุนก็ลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอกอย่างเงียบ ๆ
ในปีนี้ เซี่ยเจิ้งอายุยังไม่ถึง 50 ปี ทว่าผมตรงขมับของเขาเริ่มเปลี่ยนเป็นสีดอกเลาแล้ว แต่อุปนิสัยเฉพาะตัวของเขานั้นยังคงสง่างาม อีกทั้งรูปร่างของเขาก็ได้รับการดูแลอย่างดี ไร้ซึ่งกลิ่นอายและร่องรอยแห่งความชราของคนในวัยนี้
ตงวั่งชุนอดไม่ได้ที่จะหวนนึกถึงค่ำคืนอันนับไม่ถ้วนที่ถูกชายผู้ได้ชื่อว่าเป็นพ่อบุญธรรมที่ปืนขึ้นมาตัวเธอ ฟันของเขาเหลือง ผิวหย่อนคล้อยเต็มไปด้วยจุดด่างดำ ตลอดจนกลิ่นไม่พึงประสงค์ที่ไม่อาจปกปิดเอาไว้ได้
ความรู้สึกรังเกียจอย่างไม่มีที่สิ้นสุดกระจายออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจของตงวั่งชุน เธอเกลียดแสนเกลียดเสียจนหักดินสอในมือ
ความเจ็บปวดแสบร้อนเกิดขึ้นบนฝ่ามือของเธอ หญิงสาวจึงตระหนักได้ว่าเธอถูกดินสอแทงเข้าที่มือแล้ว
เธอโยนดินสอลงถังขยะด้วยความรังเกียจ แล้วจึงลุกขึ้นไปเข้าห้องน้ำเพื่อล้างเลือดออกจากมือ
เธอใช้ฝ่ามือรองน้ำขึ้นมาล้างหน้า ก่อนจะมองดูใบหน้าที่บอบบางของตัวเองในกระจก
เห็นได้ชัดว่าเธอยังเด็กมาก แล้วทำไมบุปผาดอกนี้ทั้งที่ยังไม่ได้ผลิบานแต่กลับเหี่ยวเฉาเสียแล้ว?
เหตุใดบางคนจึงเกิดมาภายใต้แสงแดดอันแผดเผา ทั้งยังต้องตกนรกทั้งเป็นตั้งแต่อายุยังน้อย?
ไม่ยุติธรรม!
สักวันหนึ่งเธอจะเป็นอิสระจากเรื่องนี้ให้ได้!
…
ในที่สุด เสิ่นอี้โจวก็เลือกแม่บ้านใหม่เป็นหนึ่งในสองคนนั้น ก่อนจะกล่าวบอกให้เธอไปพบเซี่ยชิงหยวนที่บ้านตระกูลเสิ่น
แม่บ้านที่เสิ่นอี้โจวเลือกนั้นชื่อว่าพี่สาวเอ๋อ เธออายุสี่สิบต้น ๆ พื้นเพเป็นคนมณฑลอวิ๋น แต่งงานมีลูกชายและลูกสาวอย่างละหนึ่งคน ลูกสาวคนโตทำงานในโรงงานสิ่งทอ ลูกชายคนเล็กยังเรียนอยู่ในระดับมัธยมต้น
ผิวของพี่สาวเอ๋อนั้นขาวกว่าคนในท้องถิ่นในมณฑลอวิ๋นเล็กน้อย เธอค่อนข้างสูง ไม่อวบอ้วน ทว่าแข็งแรงนัก ทั้งยังพูดอย่างสุภาพและเป็นมิตร
เซี่ยชิงหยวนชอบเธอตั้งแต่แรกเห็น
หญิงสาวเอ่ยถามพี่สาวเอ๋อเพิ่มเติมอีกเล็กน้อยก็ให้ผ่าน
เซี่ยชิงหยวนกล่าวว่า “อย่างที่คุณทราบค่ะ ครอบครัวของฉันมีลูกสองคน ปกติฉันเองก็มีภาระงานที่ต้องจัดการ ดังนั้นเวลาส่วนใหญ่คุณต้องเป็นคนดูแลค่ะ”
ก่อนหน้านี้ เซี่ยชิงหยวนได้พูดคุยกับป้าอู๋ไว้แล้วว่าหลังจากปี่เหลาซานและคนอื่น ๆ ออกเดินทาง เธอจะเป็นคนดูแลลูก ๆ พร้อมกับพี่สาวเอ๋อ โดยจะให้เงินเดือนเพิ่มอีก 40 หยวนต่อเดือน
ในระหว่างวัน หากเซี่ยชิงหยวนอยู่ที่บ้าน ป้าอู๋จะยังคงทำงานของเธอตามเดิม แต่หากเซี่ยชิงหยวนไม่อยู่ที่บ้าน พวกเธอแต่ต้องหาข้าวปลากินเองและดูแลเด็ก ๆ ให้ดีเพียงเท่านั้น
ส่วนในตอนกลางคืน พี่สาวเอ๋อจะต้องอยู่ที่บ้านนี้ด้วย และมีวันหยุดสัปดาห์ละหนึ่งวัน
พี่สาวเอ๋อยิ้มแล้วตอบว่า “เป็นไปตามที่ควรแล้วค่ะ คุณนายวางใจได้”
แม้ว่าจะต้องดูแลเด็กสองคน แต่ตระกูลเสิ่นก็เสนอเงินเดือนให้ถึง 100 หยวน!
ทั้งยังได้ยินมาว่าเด็กคนพี่นั้นเลี้ยงง่ายอย่างยิ่ง ดังนั้นก็เพียงต้องใช้พลังงานส่วนใหญ่ไปกับการดูแลคนน้องเท่านั้น
ปี่เหลาซานซึ่งอยู่ข้าง ๆ เอ่ยติดตลกกับเซี่ยชิงหยวนว่า “ตอนนี้มีคนคอยดูลูกให้แล้ว เธอรีบไปทำงานเร็ว”
เซี่ยชิงหยวนเองไม่ได้บอกปัด หญิงสาวส่งลูกไปให้ปี่เหลาซานอุ้ม ก่อนจะมองไปยังพี่สาวเอ๋อที่อุ้มลูกชายคนเล็กของเธอเอาไว้พร้อมกับปลอบโยนเขา
น่าแปลกที่เสิ่นทิงอวิ๋นไม่ร้องไห้ แต่กลับนอนเงียบ ๆ ในอ้อมแขนของพี่สาวเอ๋อ พลางมองสำรวจเธออย่างสงสัย
ตอนนี้เซี่ยชิงหยวนรู้สึกโล่งใจอย่างยิ่ง หญิงสาวหันหลังกลับเพื่อขึ้นไปชั้นบน
มีภาพร่างเครื่องแต่งกายฤดูหนาวอีกสองแบบที่ต้องทำ เธอต้องรีบทำให้เสร็จภายในวันนี้
ตอนนี้เธอยังเอ่ยบอกให้เหล่าไต้คอยมองหาคนที่มีความสามารถด้านการออกแบบที่พอจะจ้างมาฝึกฝนให้ดีได้
มิฉะนั้น เมื่อทั้งสองคนมีโรงงานขนาดใหญ่ในอนาคต มันคงเป็นการยากที่เถ้าแก่ทั้งสองช่วยกันร่างแบบเสื้อเหมือนดั่งเก่า
…
วันนี้เมื่ออาเซียงกลับมาจากด้านนอก ทันทีที่ก้าวเข้าประตู เธอก็ได้ยินเสียงหยอกล้อและเสียงหัวเราะดังมาจากข้างใน
อาเซียงรู้สึกเบิกบานใจไม่น้อย ในใจคิดว่าแขกแบบไหนกันนะที่มาเยี่ยมเยียนตระกูลเฮ่อ
ไหนเลยจะรู้ว่าเมื่อเดินเข้าไปใกล้ก็พลันได้ยินผู้หญิงคนหนึ่งพูดว่า “ฉันได้คนมาทำนายดูแล้ว ผู้หญิงคนนี้คือเนื้อคู่ที่สมบูรณ์แบบของอวี้เฟิงเลยล่ะ! เมื่อถึงเวลานั้น รับรองว่าจะเป็นครอบครัวที่เจริญรุ่งเรือง ทั้งยังจะมีลูกภายในสามปีหลังแต่งงานด้วย!”
อาเซียง “!”