กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี - บทที่ 503 เด็กที่หล่อที่สุดในหมู่บ้าน
บทที่ 503 เด็กที่หล่อที่สุดในหมู่บ้าน
เนื่องจากประเทศดำเนินนโยบายจำกัดประชากร นอกเหนือจากการกำหนดให้ผู้หญิงที่แต่งงานและมีลูกต้องเข้ารับการสวมห่วงคุมกำเนิดแล้ว ผู้ชายก็ยังได้รับการสนับสนุนให้ทำหมันอีกด้วย
แต่ด้วยแนวคิดปิตาธิปไตยที่หยั่งรากลึก จึงมีผู้ชายเพียงไม่กี่คนที่เต็มใจทำหมัน โดยเฉพาะในแถบชนบทที่มีแนวคิดล้าหลัง การทำหมันของผู้ชายก็ยิ่งถูกต่อต้านมากยิ่งขึ้น
หากชายคนใดทำหมัน เขาจะถูกมองว่าเป็นพวกแปลกแยกและจะถูกดูหมิ่น
เท่าที่เซี่ยชิงหยวนรู้ ในสังคมข้าราชการของมณฑลอวิ๋น มีเพียงภรรยาเท่านั้นที่ทำหมัน และเธอไม่เคยได้ยินว่ามีสามีคนไหนที่ทำหมันเลย
เซี่ยชิงหยวนคงโกหกถ้าบอกว่าเธอไม่รู้สึกซาบซึ้งกับการเสียสละของเสิ่นอี้โจวเพื่อเธอ
เมื่อเสิ่นอี้โจวเห็นว่าภรรยากำลังจะร้องไห้ เขาก็พูดติดตลก “การทำหมันสามารถช่วยรักษาทรัพยากรสาธารณะของประเทศได้ ซึ่งจริง ๆ แล้วนี่ก็ไม่เลวเลยนะ”
เซี่ยชิงหยวนหัวเราะออกมาทันทีหลังจากได้ยิน
เธอมองเขาและพยักหน้าอย่างจริงจัง “เอาตามนั้นก็ได้”
หลังจากพูดอย่างนั้น ทั้งสองก็จับมือกัน “กลับบ้านกันเถอะ”
ขณะที่ทั้งสองเดินไปตามถนน เซี่ยชิงหยวนพลันถอนหายใจ “ฉันพบว่าดูเหมือนทุกครั้งที่เราจับมือและกลับบ้านด้วยกัน มักจะเป็นตอนกลับจากโรงพยาบาลเสมอเลย”
เสิ่นอี้โจวยิ้มตอบ “ใช่แล้ว”
เขาจับมือเธอแน่นขึ้นแล้วพูดว่า “ในอนาคต เราจะพาเด็ก ๆ ออกไปข้างนอกให้มากขึ้น เมื่อไหร่ที่เรามีวันหยุด ไว้เราไปเดินเล่นกันนะ”
เซี่ยชิงหยวนตอบด้วยรอยยิ้ม “ตกลงค่ะ”
ทันทีที่ทั้งสองมาถึงมุมถนน พวกเขาก็มองเห็นคนคุ้นหน้าจากหางตา
ที่ทางแยกตรงตรอกไม่ไกลนัก ตงวั่งชุนกำลังถูกชายชราคนหนึ่งพยายามดึงเธอเข้าไปในตรอกลึก
เซี่ยชิงหยวนดึงแขนเสื้อของเสิ่นอี้โจว “ผู้ชายคนนั้นจะทำอะไรกับเธอรึเปล่าน่ะ?”
เธอพูดโดยต้องการก้าวไปข้างหน้าเพื่อจะช่วย
“เดี๋ยวก่อน” เสิ่นอี้โจวดึงภรรยาไว้ “ผู้ชายคนนั้นคือพ่อบุญธรรมของเธอ”
เซี่ยชิงหยวนหยุดทันที “พ่อบุญธรรม?”
ตอนที่ตงวั่งชุนมายังหน่วยเป็นครั้งแรก ชายคนนั้นก็มาด้วย และช่วยเธอทำเอกสารบางอย่าง
เสิ่นอี้โจวพยักหน้า “ใช่”
เซี่ยชิงหยวนรู้สึกงุนงง “แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะ…”
ก่อนที่เซี่ยชิงหยวนจะคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เธอก็เห็นชายคนนั้นพูดอะไรบางอย่างข้างหูของตงวั่งชุน ทำให้สีหน้าของหญิงสาวซีดลงก่อนจะยินยอมเดินตามชายคนนั้นเข้าไปในตรอกโดยไม่ขัดขืนอีก
เซี่ยชิงหยวนเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับตงวั่งชุนมาบ้าง
อีกฝ่ายเติบโตในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ได้รับการเลี้ยงดูจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เรียนต่อมหาวิทยาลัย และได้ทำงานในหน่วยงานราชการประจำมณฑล… ประสบการณ์ชีวิตของตงวั่ชุนแทบจะเรียกได้ว่าสามารถเป็นแรงบันดาลใจให้เด็กกำพร้าคนอื่น ๆ ได้
และพ่อบุญธรรมของเธอได้รับการพูดขานว่าเป็นคนที่ใจดีมาก แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาไม่ได้ใจดีอย่างข่าวลือเลย
สีหน้าของเสิ่นอี้โจวมืดลงและเขาพูดว่า “ผมจะถามเสี่ยวฉู่เมื่อถึงเวลาเอง เรากลับไปกันก่อนเถอะ”
แน่นอนว่าเซี่ยชิงหยวนไม่ได้ถามคำถามอะไรอีกต่อไปเมื่อเสิ่นอี้โจวตัดบทแบบนี้ และตามเขาจากไป
แต่เธอยังหันกลับไปมองทางเข้าตรอกอีกครั้ง
อาจเป็นเพราะสัญชาตญาณของผู้หญิง ดูเหมือนว่าเธอจะเห็นความอัปยศอดสูและความขุ่นเคืองในสายตาของตงวั่งชุน
แววตานั้นแวบขึ้นมา และเมื่อเธอต้องการจะมองให้ชัดอีกครั้ง ตงวั่งชุนก็หายตัวไปแล้ว
…
เมื่อเซี่ยชิงหยวนและเสิ่นอี้โจวกลับถึงบ้าน พวกเขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะอยู่ข้างใน
ทั้งสองมองหน้ากันและอดไม่ได้ที่จะเร่งฝีเท้า
เมื่อเดินเข้าไปในบ้าน ปรากฏว่าเสิ่นถิงอวิ๋นกำลังคว้าผมของปี่ฟู่หมานและตะโกนว่า “อ้า~~~” อย่างมีความสุข ในขณะที่ปี่ฟู่หมานกำลังยิ้มและปกป้องผมของเขา ไม่กล้าใช้กำลังดึงมือของเด็กน้อย
เสิ่นถิงหลานก็เล่นตามไปด้วย เธอคว้าเคราของปี่เหลาซานพลางอ้าปากเล็ก ๆ ของเธอที่ยังมีแต่เหงือกยิ้มอย่างมีความสุข
เมื่อเห็นสิ่งนี้เซี่ยชิงหยวนก็รีบไปช่วยเหลือเคราของปี่เหลาซานและเสิ่นอี้โจวก็เอื้อมมือไปงัดมือเล็ก ๆ ของเสิ่นถิงอวิ๋นออกจากปี่ฟู่หมานทันที
เมื่อเสิ่นถิงหลานเห็นว่าแม่ของเธอกลับมา เด็กสาวก็ร้อง “อื้ม” และยิ้มอย่างมีความสุขให้กับเซี่ยชิงหยวน และโดยที่ผู้เป็นแม่ไม่ต้องทำอะไรเลย เสิ่นถิงหลานก็ปล่อยเคราของปี่เหลาซานแล้ว
เซี่ยชิงหยวนอุ้มลูกสาวของเธอไป และกลิ่นนมอันเป็นเอกลักษณ์ของเด็กทารกก็อบอวลไปทั่วจมูก ทำให้หัวใจของเธออ่อนลง
เมื่อเปรียบเทียบกับพี่สาว เสิ่นถิงอวิ๋นนั้นซนกว่ามาก
เสิ่นอี้โจวพยายามงัดมือของเด็กชายออก แต่เขาไม่ยอมปล่อยและดึงแรงขึ้นอีก
ปี่ฟู่หมานเริ่มเจ็บและตะโกนว่า “เจ็บ เจ็บ มันเจ็บนะ!”
เสิ่นอี้โจวเลิกคิ้วขยับมุมปากแล้วกระแอมเบา ๆ ใส่ลูกชายคนเล็กของเขา “เด็กดื้อ ปล่อยอาของลูกเร็ว”
เมื่อเห็นว่าเสิ่นอี้โจวไม่ได้พูดเล่น เด็กน้อยก็แข็งค้างไป
ปากของเสิ่นถิงอวิ๋นแคบลงก่อนจะอ้าออก “ฮือ…” และเริ่มร้องไห้
เสิ่นอี้โจว “…”
ปี่ฟู่หมาน “…”
เซี่ยชิงหยวนยื่นเสิ่นถิงหลานให้กับเสิ่นอี้โจว จากนั้นเธอเอาเสิ่นถิงอวิ๋นออกจากอ้อมแขนของปี่ฟู่หมานและจ้องมองไปที่เสิ่นอี้โจวราวกับกำลังตำหนิ
เสิ่นอี้โจวม้วนริมฝีปากอย่างไร้เดียงสา “ที่รัก ผมไม่ได้ทำอะไรเลยนะ”
เซี่ยชิงหยวนลูบหลังลูกชายคนเล็กของเธอและเกลี้ยกล่อมเขา จากนั้นพูดกับเสิ่นอี้โจวว่า “คุณทำให้ลูกของเรากลัวด้วยใบหน้าที่เคร่งขรึมนั่นไง!”
ราวกับจะยืนยันคำพูดของเซี่ยชิงหยวน เสิ่นถิงอวิ๋นก็เม้มริมฝีปากของตัวเองและร้องไห้อย่างเสียใจ
เซี่ยชิงหยวนยกลูกชายขึ้นและปล่อยให้เขาแนบพิงไหล่ของเธอ “ถิงอวิ๋น ไม่เป็นไรนะ แม่จะให้นมลูกนะ”
หลังจากพูดอย่างนั้น หญิงสาวก็อุ้มเขาขึ้นไปชั้นบน
เสิ่นถิงหลานซึ่งอยู่ในอ้อมแขนของเสิ่นอี้โจวกำลังมองเขาด้วยตาโตและปากเล็ก ราวกับเธอกำลังคิดว่าตัวเองควรจะร้องไห้เหมือนกันไหม และดูว่าจะแย่งเซี่ยชิงหยวนกลับมาได้หรือไม่
ดูเหมือนว่าเสิ่นอี้โจวจะเดาได้ว่าลูกสาวของเขาต้องการทำอะไร จึงหยิบของเล่นกลองป๋องแป๋งจากด้านข้างขึ้นมาอย่างรวดเร็วแล้วเกลี้ยกล่อม “มาๆ ดูสิว่ามันคืออะไร?”
เสิ่นถิงหลานเหลือบมองกลองป๋องแป๋งก่อนจะมองที่เสิ่นอี้โจวด้วยแววตาที่เหมือนกำลังดูถูก แต่ทว่ามันก็เหมือนเธอยังคงมีมารยาทไว้หน้าพ่อของตัวเองก่อนจะหัวเราะ
เมื่อเห็นสิ่งนี้ คนอื่น ๆ ก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
นี่ยังเป็นเด็กน้อยที่อายุยังไม่สองเดือนได้ยังไง?
ช่างเจ้าเล่ห์สุด ๆ!
…
เหล่าไต้พบว่าอาเซียงกระสับกระส่ายในช่วงสองวันที่ผ่านมา
เขายื่นมืออันอ้วนท้วนออกแล้วโบกมือตรงหน้าเธอ “น้องสาว?”
“ฮะ?” อาเซียงช้าไปครู่หนึ่งก่อนที่เธอจะรู้สึกตัว “มีอะไรเหรอคะ?”
เหล่าไต้ยิ้ม “ฉันเพิ่งถามว่ามีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นกับเธอรึเปล่า สองวันที่ผ่านมาเธอดูผิดปกติจริง ๆ”
เมื่อได้ยินคำถามนี้อาเซียงก็ฝืนยิ้ม “ฉันสบายดีค่ะ ฉันแค่เหนื่อยนิดหน่อย”
แน่นอนว่าเหล่าไต้ไม่เชื่อ
เมื่อเห็นว่าใกล้จะถึงเวลาอาหารแล้ว เขาจึงพาอาเซียงเข้าไปในร้านน้ำชา
ขณะรินชาให้อาเซียง เขาพูดว่า “เธอเพิ่งมาที่กว่างโจวไม่กี่วันเอง และฉันก็ยังไม่ได้พาเธอไปทำงานหนักเลย ทำไมเธอถึงดูเหนื่อยขนาดนี้แล้วล่ะ? ตอนที่พวกเราสามคนวิ่งไปรอบ ๆ กว่างโจว แถมเธอยังช่วยพี่สาวเซี่ยของเธอแบกของมากมาย เธอยังไม่ดูเหนื่อยขนาดนี้เลย”
เขายิ้มคิดว่าตัวเองเป็นเหมือนพี่ชายที่สนิท แต่จริง ๆ แล้วขยิบตาให้อาเซียงในลักษณะที่ค่อนข้างเจ้าเล่ห์ “ถ้าเธอมีอะไรบอกพี่ไต้ของเธอมาได้เลยนะ บางทีฉันอาจช่วยได้ก็ได้”
อาเซียงมองเหล่าไต้ที่กำลังทำแววตาเป็นประกายตรงหน้าด้วยความสงสัย “คุณช่วยฉันได้จริงๆ เหรอ?”
เมื่อเหล่าไต้ได้ยินสิ่งนี้ เขาก็รู้ว่าตัวเองมาถูกทางแล้ว
เขาไม่สามารถซ่อนนิสัยซุบซิบของตนได้และพยักหน้าอย่างระมัดระวัง “นั่นเป็นเรื่องแน่นอนอยู่แล้ว แต่ก่อนฉันเป็นเด็กที่หล่อที่สุดในหมู่บ้านเลยนะ และผ่านร้อนผ่านหนาวมามากแล้วด้วย”
อาเซียงไม่สงสัยในคำพูดของเขาเลย และหลังจากลังเลใจจึงถามคำถามที่คาใจเธอมาหลายวันแล้วว่า “ฉันมีเพื่อนคนหนึ่ง เพื่อนของฉันคนนี้เป็นผู้หญิงและเธอก็มีเพื่อนชายอยู่คนหนึ่ง เพื่อนชายหลบหน้าเธอมาสองสามวันแล้ว คุณคิดว่าเพื่อนชายของเธอเกลียดเธอรึเปล่า?”
“อะไรนะ?” เหล่าไต้แคะหูของเขา รู้สึกสับสนกับคำว่า ‘เพื่อน’ ของอาเซียงที่คำก็ ‘เพื่อน’ สองคำก็ ‘เพื่อน’
เขาหยิบตะเกียบสามอันออกจากที่เสียบตะเกียบแล้วถามขึ้น “อธิบายความสัมพันธ์นี้ให้ฉันฟังอีกครั้งสิ ฉันยังไม่เข้าใจเท่าไหร่เลย”
จากนั้นเขาก็เอาตะเกียบอันแรกวางลงบนโต๊ะ “นี่คือเพื่อนคนแรกของเธอ…”
และวางตะเกียบอันที่สองไว้ข้างตัว “นี่คือเพื่อนคนที่สองของเธอ?”
ในที่สุดเขาก็ไม่แน่ใจ “นี่คือ…เพื่อนคนที่สามเหรอ?”
อาเซียงมองเขาด้วยความดูถูกอย่างไม่อาจปิดบัง “…”