กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี - บทที่ 559 ความตึงเครียด
บทที่ 559 ความตึงเครียด
ขณะที่เสิ่นอี้โจวและเซี่ยชิงหยวนกำลังปรึกษาหารือเรื่องโรงเรียนกับเจ้าหน้าที่ของศูนย์บรรเทาความยากจน พวกเขาก็เห็นคนจากหน่วยรักษาความปลอดภัยรีบรุดเข้ามา บทสนทนาจึงหยุดลง “มีอะไรรึเปล่าครับ?”
ทหารหนุ่มกล่าวว่า “มีชาวบ้านได้รับบาดเจ็บครับ คุณหมอไช่บอกว่ามีบาดแผลที่เกิดจากมีดและกระสุนปืนครับ”
เมื่อสิ้นเสียงประโยคนี้ ใบหน้าของทุกคนก็พลันเปลี่ยนไป
ทุกคนล้วนพอเดาออกว่านี่อาจหมายถึงอะไร
เซี่ยชิงหยวนเอ่ยขึ้นว่า “พวกคุณคุยกันต่อเถอะค่ะ ฉันขอตัวกลับก่อน”
เสิ่นอี้โจวพยักหน้าพร้อมจับมือเธออีกครั้ง “ไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็มีพวกเราอยู่ด้วย คุณไม่ต้องกลัวนะ”
เซี่ยชิงหยวนมองย้อนกลับไปที่เขาอย่างลึกซึ้ง “คุณเองก็ต้องระวังตัวและดูแลตัวเองด้วยนะคะ”
ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา เธอเองก็ได้ยินเรื่องความขัดแย้งระหว่างชาวบ้านที่นี่กับผู้คนจากประเทศพม่ามาบ้าง แต่หลัก ๆ แล้วก็เป็นเรื่องว่าเธอเข้ามาในที่ดินครอบครัวของฉัน ใครขโมยผักไป อะไรทำนองนั้นเสียส่วนใหญ่
เป็นเพียงเรียกเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่ได้มีความขัดแย้งใหญ่โตอะไร
ทว่าครั้งนี้กลับดูแตกต่างออกไป
หัวใจของเซี่ยชิงหยวนหนักอึ้ง หญิงสาวหันกลับไปมองศูนย์บรรเทาความยากจนซ้ำ ๆ ในทุกย่างก้าวที่สาวเท้าออกมา
…
ทันทีที่เซี่ยชิงหยวนออกไปก็มีผู้ชายจำนวนไม่น้อยเข้ามารวมตัวกัน
และหลังจากหารือเรื่องนี้แล้ว เสิ่นอี้โจวกล่าวว่า “ก่อนอื่นให้ส่งคนไปแจ้งหัวหน้าหลิงที่หน่วยป้องกันเขตแดน ส่วนที่เหลือให้รอชาวบ้านที่ได้รับบาดเจ็บฟื้นก่อน จากนั้นจึงสอบถามเขาว่าเกิดอะไรขึ้น”
ในความเป็นจริง สถานการณ์เช่นนี้ทุกคนล้วนพอคาดเดาเรื่องราวคร่าว ๆ ออกแล้วทั้งนั้น แม้ในใจจะตกอยู่ในความตระหนก แต่พวกเขาก็พยายามทำตัวให้พึ่งพาได้อย่างสุดความสามารถ
ไม่นานนัก ไช่จิ้งกั๋วก็มายังศูนย์บรรเทาความยากจนด้วยเช่นกัน เขาเอ่ยว่า “ชาวบ้านที่ได้รับบาดเจ็บฟื้นแล้วครับ พวกคุณเข้าไปหาเข้าได้เลย”
ด้วยเหตุนี้ ทั้งคณะจึงเดินทางไปยังสถานีอนามัย
ชาวบ้านที่ได้รับบาดเจ็บนอนอยู่บนเตียง บาดแผลถูกพันไว้ด้วยผ้าพันแผล และร่างกายของเขายังอ่อนแรงอยู่เล็กน้อย
เมื่อเห็นพวกเสิ่นอี้โจว เขาก็ซาบซึ้งเสียจนน้ำตารื้น “ขอบคุณพวกคุณมากเลยครับ ถ้าไม่ใช่เพราะพวกคุณ เกรงว่าชีวิตของผมคงจบสิ้นลงที่นี่แล้ว”
เขาเอ่ยแล้วพยายามลุกขึ้นมาโค้งคำนับพวกเขา
เสิ่นอี้โจวรีบก้าวเข้าไปแล้วกดตัวเขาไว้ “นี่คือหน้าที่ของพวกเรา เป็นสิ่งที่สมควรทำอยู่แล้วครับ ทางเราเองมีคำถามบางอย่างที่ต้องการสอบถามคุณเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย”
ได้ยินดังนั้น ชาวบ้านก็เดาได้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น สีหน้าของเขาพลันจริงจังขึ้นมาทันที “พวกคุณถามมาได้เลยครับ ผมจะบอกทุกอย่างที่ผมรู้อย่างแน่นอน”
ทันใดนั้น มีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งเดินเข้ามาพร้อมสมุดในมือ แล้วเอ่ย “คุณได้รับบาดเจ็บได้อย่างไร เกิดอะไรขึ้นบ้าง คุณพอจะจำได้ไหมครับ?”
ชาวบ้านเล่าว่า “วันนี้ผมพาภรรยาไปเยี่ยมบ้านแม่ยาย ส่วนผมนั้นกลับมาคนเดียว ระหว่างทางกลับพลันเห็นไก่ป่าตัวหนึ่ง ไก่ป่าตัวอ้วนท้วน ทั้งยังดูเหมือนจะเดินกะเผลกเล็กน้อยจนผมคิดอยากจะลองดูว่าจะจับมันได้หรือไม่ อย่างที่พวกคุณรู้ ไก่ป่านั้นวิ่งเร็วมาก ทันทีที่หลบเข้าไปในภูเขาได้ ก็ไม่เห็นมันแล้ว แต่ยังดีที่ไก่ป่าตัวนี้ขาเจ็บ เวลาวิ่งและกระพือปีกจึงไม่ได้ถือว่าเร็วนัก”
เมื่อรู้ว่าตนพูดเรื่องไร้สาระไปเสียแล้ว ก็รู้สึกเก้อเขินเล็กน้อย เขาจึงเอ่ยเสริมว่า “ผมเพียงวิ่งตามไก่ตัวนั้นไป แล้วก็ได้ยินเสียงพูดคุยของชาวพม่า ผมมองลงไปตามเนินเขาก็รู้ได้ทันทีว่าตัวเองแย่แล้ว ผมวิ่งเข้าไปในดินแดนของคนอื่นเข้า ผมจึงไม่กล้าชักช้า รีบหันหลังวิ่งกลับทันทีครับ”
เมื่อเล่าถึงตรงนี้ ใบหน้าของเขาแสดงท่าทีหวาดกลัว “ที่ไหนได้กลับถูกพวกเขาพบเข้า ผมรีบวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต ไม่รู้ว่าทางไหนเป็นทางไหน รู้ตัวอีกทีก็เห็นดอกไม้สีแดงขนาดใหญ่แล้ว ผมรู้จักดอกไม้นั้น มันคือดอกฝิ่นแบบเดียวกับที่คุณพูดถึงตอนที่คุณสอนในหมู่บ้านของเรา”
เมื่อเล่ามาถึงตรงนี้ ร่างกายของเขาก็พลันเกร็งขึ้น “พวกคุณทายสิว่าผมเห็นอะไร? พวกเขาล้วนแล้วแต่ปลูกเจ้าดอกไม้นี่กันทั้งนั้น โดยพื้นฐานแล้วทุกครอบครัวก็ปลูกมัน!”
เมื่อชาวบ้านเล่าเรื่องที่พบเจอมาจบ ทุกคนในห้องต่างพากันนิ่งเงียบ
เจ้าหน้าที่ที่จดบันทึกถามอีกครั้งว่า “คุณกำลังจะบอกว่าคุณวิ่งไปฝั่งประเทศพม่า ถูกคนของพวกเขาพบเข้า จากนั้นจึงได้รับบาดเจ็บเหรอครับ?”
ชายคนนั้นโบกมือด้วยท่าทางเจ็บปวด “ถ้าเป็นอย่างนั้น เกรงว่าผมคงไม่มีชีวิตกลับมาแล้วครับ สถานที่สุดท้ายที่ผมวิ่งไปคืออาณาบริเวณของประเทศเรา ผมสามารถบอกได้จากคำพูดและการแต่งกายของพวกเขา เมื่อผมลองมาคิดดูแล้ว ผมเคยไปที่เที่ยวเล่นที่นั่นเมื่อครั้งที่นัดพบกับภรรยา คนที่ปลูกดอกฝิ่นในพื้นที่ขนาดใหญ่นั้นเป็นชาวพม่า แต่คนที่ปลูกดอกไม้ไว้ทั้งด้านหน้าและด้านหลังบ้านทุกครอบครัวนั้นเป็นคนของประเทศของเราอย่างแน่นอน”
เมื่อพวกเสิ่นอี้โจวได้ยินสิ่งนี้ สีหน้าของพวกเขาก็ยิ่งฉายชัดถึงความหนักใจ
ดูเหมือนเรื่องจะร้ายแรงกว่าที่คิดไว้มาก
หากเป็นชาวพม่าที่แอบลักลอบข้ามแดนเข้ามาทำสิ่งผิดกฎหมาย การเสริมกำลังการลาดตระเวนและการจัดการที่เข้มงวดสามารถแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม หากประชาชนถูกหลอกใช้โดยกลุ่มอาชญากรชาวพม่า และมีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติด หรืออาจจะถึงขั้นเป็นคนกลาง ปัญหาก็ยากจะแก้ไข้มากขึ้นไปอีก
อีกทั้งเรื่องที่ชาวบ้านที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ถูกชาวพม่าล่อลวงให้ปลูกดอกฝิ่นนั้นถูกเปิดเผยแล้ว จึงมีแนวโน้มสูงที่พวกเขาจะเคลื่อนไหว
ทันใดนั้น เสิ่นอี้โจวก็พลันนึกถึงฉีจิ่นจือที่ไม่ได้เจอมาเกือบสองปีขึ้นมา
เขาอยู่ที่นั่นอย่างปลอดภัยไหม หรือเขาได้รับความไว้วางใจแล้วนะ?
เสิ่นอี้โจวเคาะนิ้วลงบนโต๊ะ แล้วเอ่ยขึ้น “ผมจะไปที่หน่วยป้องกันเขตแดน”
หัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยเอ่ยตาม “ผมจะไปด้วยครับ”
เสิ่นอี้โจวพยักหน้ารับ “ให้จัดการตามนี้ก่อนนะครับ ให้ระดมกำลังทุกคน รวมถึงในหมู่บ้านข้างเคียงด้วย เพื่อคอยเฝ้าพิทักษ์รักษาผู้คนไว้เป็นพิเศษ รวมถึงให้ออกจากบ้านให้น้อยลง”
แม้ว่าถนนที่สามารถใช้เดินทางไปข้างนอกนั้นถูกเปิดใช้แล้ว ทว่าที่นี่ก็ถูกล้อมรอบด้วยภูเขาทุกด้าน และหากชายแดนโกลาหลวุ่นวาย ก็เท่ากับว่ามีอันตรายอยู่ทุกหนแห่ง
หัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยตอบเสียงดัง “ผมจะไปจัดการเดี๋ยวนี้ครับ!”
…
เย็นวันนั้น เป็นไปดั่งที่เซี่ยชิงหยวนคาด เสิ่นอี้โจวไม่ได้กลับมา
เจ้าหน้าที่จากศูนย์บรรเทาความยากจนเข้ามาแจ้งให้ทราบว่าเสิ่นอี้โจวได้เดินทางไปยังหน่วยป้องกันเขตแดนแล้ว
เจ้าหน้าที่เอ่ยกำชับ “ผู้อำนวยการเสิ่นบอกว่าในช่วงสองสามวันนี้พวกเราต้องระมัดระวังตัวให้มาก ทางที่ดีที่สุดคือไม่ขึ้นไปบนภูเขาเลยครับ”
ก่อนจะกล่าวเสริม “แต่พวกคุณเองไม่ต้องกลัวนะครับ ไม่ว่าอย่างไรคุณจะมีพวกเราและทหารรักษาชายแดนคอยปกป้องอยู่ข้างหน้า”
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้าพลางยกยิ้ม “ฉันทราบแล้วค่ะ ขอบคุณนะคะ พวกคุณระวังตัวด้วย”
เมื่อเจ้าหน้าที่กลับไป หลินตงซิ่วก็ออกมาจากบ้านไม้ไผ่ทันที
เธอถามว่า “สถานการณ์รุนแรงมากเลยเหรอ?”
เธอเองก็ผ่านอะไรกับเสิ่นอี้โจวและเซี่ยชิงหยวน สองสามีภรรยาคู่นี้มาไม่น้อย จึงทำให้ไม่เป็นผู้หญิงชนบทที่ทำได้เพียงร้องไห้เหมือนเมื่อครั้งที่อยู่ที่หมู่บ้านซีสุ่ยอีกต่อไป
เธออาจจะยังอ่อนแอ แต่ก็ไม่กลัวสิ่งใดอีก ถึงขั้นสามารถแบกท้องฟ้าครึ่งหนึ่ง*[1] ให้เซี่ยชิงหยวนได้ในเวลาที่เสิ่นอี้โจวไม่อยู่บ้าน
เรื่องอาการบาดเจ็บของชาวบ้านนั้นไม่สามารถปกปิดได้ จึงทำให้คนในหมู่บ้านต่างรู้เรื่องนี้ และความรู้สึกตึงเครียดอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนก็แพร่กระจายไปทั่วหมู่บ้าน
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้ารับ “เดาว่าอย่างนั้นค่ะ ตอนนี้อี้โจวคงไปหาหัวหน้าหลิงแล้ว”
หัวใจของหลินตงซิ่วพลันรัดแน่น ก่อนเธอจะกล่าวว่า “อย่างนั้นเราพักผ่อนกันแต่หัวค่ำเถอะ ปิดประตูให้ดีนะ”
เซี่ยชิงหยวนเอ่ยตอบ “ค่ะ”
จากนั้นแม่สามีและลูกสะใภ้จึงแยกย้ายกันเข้าห้อง
เด็กสามคนในบ้านยังคงนั่งเล่นอยู่บนพื้นบ้านไม้ไผ่ โดยเซี่ยชิงหยวนได้ปูผ้าห่มผืนหนาไว้ จึงทำให้อบอุ่นอย่างยิ่ง
เสิ่นอี้หลินเองก็ได้ยินเรื่องนี้มาจากเพื่อนของเขา แต่เขาไม่ได้เซ้าซี้ถามอะไรมากมาย เพียงช่วยผู้ใหญ่เก็บข้าวของเท่านั้น
ตอนนี้เขาอายุสิบปีแล้ว รูปร่างจึงเริ่มเหมือนเด็กหนุ่ม
เวลาที่เสิ่นอี้โจวออกไปลาดตระเวนในเวลากลางคืน เขาจะรับบทเป็นลูกผู้ชายในบ้าน โดยบอกตัวเองว่าจะต้องปกป้องผู้หญิง คนชรา และเด็ก ๆ ในบ้านเอง
เซี่ยชิงหยวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะนำของบางอย่างที่อยู่นอกบ้านไม้ไผ่กลับมา ส่วนเล้าไก่และเล้าเป็ดนั้นก็ถูกปิดไว้อย่างแน่นหนาเช่นกัน
หลังจากที่อาศัยอยู่ที่นี่มากว่าครึ่งปี มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ถูกตกแต่งอย่างประณีตงดงาม บ่อยครั้งที่ผู้คนมักจะกล่าวบอกว่าบ้านของพวกเขาได้รับการตกแต่งอย่างเอาใจใส่ เมื่อมองจากไกล ๆ ก็ให้ความรู้สึกหรูหราอยู่ทีเดียว
บ้านไม้ไผ่หลังนี้นั่นตั้งอยู่บนที่สูง จึงเป็นที่สะดุดตานัก
…
เมื่อเสิ่นอี้โจวไปถึงหน่วยป้องกันเขตแดน หลิงเยี่ยก็บังเอิญออกไปข้างนอกพอดี
และเมื่อเขากลับมา ใบหน้าของทหารหนุ่มก็หนักอึ้งไม่แพ้กัน
เขาแปลกใจเล็กน้อยที่เห็นเสิ่นอี้โจวมาเยือน ก่อนที่จะเรียกชายหนุ่มเข้าไปในห้องทำงานของตนพลางกระซิบว่า “วันนี้ผมเห็นใครบางคนตอนที่ผมนำลูกน้องไปป้องกันชายแดนด้วยครับ”
[1] แบกท้องฟ้าครึ่งหนึ่ง หมายถึง มีศักยภาพ สามารถทำได้ทุกอย่าง