กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี - บทที่ 566 ผู้ชายเลวที่นอกใจเด็กสาว
บทที่ 566 ผู้ชายเลวที่นอกใจเด็กสาว
เมื่อเห็นเซี่ยชิงหยวนเกิดหน้ามืดขึ้นมาต่อหน้าต่อตาตัวเองอีกครั้ง เผ่ยเยว่ก็อดที่จะพูดขึ้นมาไม่ได้
เธอมองไปยังเซี่ยชิงหยวนด้วยท่าทางเห็นอกเห็นใจ “พี่สาวชิงหยวน ฉันไม่คาดคิดเลยว่าชีวิตของพี่ที่นี่จะลำบากยากเข็ญถึงเพียงนี้”
เอ่ยจบ ดวงตาของเธอก็พลันแดงก่ำ “อากาศที่นี่ดี แค่สภาพนั้นแย่ไปเสียหน่อย นอกจากอาหารที่มีพอกินแล้ว ทุกอย่างที่เหลือก็ไม่สามารถเทียบกับในเมืองได้เลยสักนิด”
ไม่เพียงแต่ไม่มีไฟฟ้าและน้ำประปา นี่เรียกว่าแทบจะเหมือนกับยุคดึกดำบรรพ์เสียด้วยซ้ำไป
เซี่ยชิงหยวนแสร้งทำเป็นเหนื่อยอ่อน พลางลูบมือเผ่ยเยว่เบา ๆ แล้วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “การได้อยู่กับพ่อของลูก ไม่ว่าจะที่ไหนฉันก็ยอมลำบากไปกับเขา”
เผ่ยเยว่ส่ายหน้า “ไม่ค่ะ พี่สาวชิงหยวน คุณแค่ปลอบฉัน ที่นี่นั้นสิ่งใดที่ต้องการล้วนแล้วแต่ไม่มี ไหนเลยจะยังหวานชื่นได้ล่ะ?”
เมื่อพูดเอ่ยถึงจุดนี้ หญิงสาวก็พลันแค้นเคืองต่อความไม่เป็นธรรม ”หากไม่ใช่เพราะคนแซ่ไป๋นั่น พวกพี่จะตกอยู่ในสภาพนี้ได้ยังไง? ฉันเกลียดที่เซี่ยจื่ออี้ปล่อยให้ตัวเองตกต่ำ หันหลังให้กับพ่อของเธอเอง และแต่งงานกับไป๋อวิ๋นหลี่ ชายที่จิตใจเหี้ยมโหดราวหมาป่าคนนั้นจริงๆ”
สำหรับเซี่ยชิงหยวนแล้ว หากจะบอกว่าไม่กระวนกระวายใจก็คงไม่จริง
หญิงสาวเหงื่อแตกพลั่ก รู้สึกราวกับว่าตัวเองนั้นเป็นชายชั่วที่หลอกลวงความรู้สึกของสาวน้อย
เธอคล้อยตามถ้อยคำของเผ่ยเยว่ “นี่คือเส้นทางที่เซี่ยจื่ออี้เลือกเอง หากวันข้างหน้ายากลำบากยิ่งขึ้นไปกว่านี้ หล่อนก็ต้องเดินไปให้สุดทางให้ได้แม้ว่าจะต้องล้มลุกคลุกคลานก็ตาม”
แววตาของเธอพลันฉายชัดถึงความไม่แยแส “เธอแค่คอยดูก็พอ ยังมีเวลาอีกมากที่หล่อนจะต้องร้องไห้”
เผ่ยเยว่พยักหน้า “อย่าพูดถึงคนที่เฮงซวยพวกนั้นเลยค่ะ”
เธอระบายยิ้ม “ฉันแอบฟังคนที่บ้านพูดมาว่าการที่ผู้อำนวยการเสิ่นสามารถบรรลุเป้าหมายมาถึงระดับนี้ได้ในระยะเวลาอันสั้นนั้นเป็นความสำเร็จที่หาได้ยากอย่างยิ่ง แม้ว่าในอีกสองสามปีข้างหน้า พื้นที่รอบ ๆ อำเภอรุ่ยจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากนัก แต่นี่ก็จะไม่ส่งผลกระทบต่อการเลื่อนตำแหน่งของเขาแม้แต่น้อย กลัวก็แต่ว่าหลังจากอยู่ที่เมืองเอกของมณฑลได้สักปีหรือสองปี ก็ต้องย้ายไปอยู่ที่เมืองหลวง ขอให้พี่อดทนต่อไปอีกสองหรือสามปี และสิ่งที่รอคอยพวกคุณอยู่ จะเป็นเพียงหนทางอันราบรื่นและไร้ที่สิ้นสุดค่ะ”
เมื่อฟังถ้อยคำปลอบโยนอย่างจริงใจของเผ่ยเยว่ เซี่ยชิงหยวนก็แทบจะไม่สามารถเงยหน้าขึ้นได้
หญิงสาวเบนสายตาไปอีกทาง พลางเอ่ย “ฉันได้ยินมาว่าช่วงนี้สถานการณ์ที่ชายแดนนั้นไม่ค่อยสงบเท่าไหร่นัก หากเธอต้องการรวบรวมข้อมูล ก็สามารถไปเดินเล่นรอบ ๆ หมู่บ้านดูก่อนได้นะ เหมือนว่าเด็ก ๆ ที่โรงเรียนจะเป็นผู้ให้สัมภาษณ์ที่ดีทีเดียว”
เธอหันไปหาเผ่ยเยว่เพื่อกล่าวบอกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในครอบครัวของเหม่ยลี่เมื่อวันก่อน โดยเอ่ยว่า “สิ่งที่แห้งแล้งไร้ปุ๋ยที่นี่ไม่ใช่แค่สภาพเศรษฐกิจ แต่ยังรวมถึงหัวใจของผู้คนด้วย ด้วยพละกำลังความสามารถของพวกเรา แม้ยากจะเปลี่ยนแปลงทุกอย่างที่นี่ ทว่าจริง ๆ แล้วก็เป็นน้ำแก้วหนึ่งกับรถขนฟืนที่ไฟไหม้*[1] เธอเองใช้ชีวิตอยู่ที่ต่างประเทศมาหลายปี ความคิดความอ่านย่อมก้าวหน้ากว่ามาก ถ้าหากว่าเธอพอมีเวลา ก็เข้าไปสอนเด็ก ๆ ที่โรงเรียนได้นะ ถ้าไม่อย่างนั้นก็เมื่อถึงเวลาที่เราจัดชั้นเรียนเผยแพร่ความรู้ ทางเราจะเชิญเธอไปบรรยายให้ชาวบ้านฟังสักหน่อยดีไหม?”
เผ่ยเยว่เมื่อได้ยินวาจาของเซี่ยชิงหยวนก็พลันรู้สึกสะเทือนใจอย่างยิ่ง หญิงสาวเอ่ยตอบอย่างไม่ลังเลว่า “ไม่มีปัญหาค่ะ ปล่อยให้เรื่องนี้เป็นหน้าที่ของฉันได้เลย”
เซี่ยชิงหยวนจึงถอนหายใจด้วยความโล่งอกได้ในที่สุด เมื่อเห็นว่าเผ่ยเยว่ตอบตกลง
ไม่อย่างนั้นแล้ว เธอก็ไม่รู้เช่นกันว่าจะหาเหตุผลอะไรเพื่อมาหยุดยั้งเผ่ยเยว่เอาไว้ไม่ให้ไปยังชายแดนอีก
เธอยังไม่แน่ใจว่าจะทำอย่างไรต่อไปในอนาคต แต่หากเธอสามารถยืดเวลาออกไปได้หนึ่งวัน เธอก็จะทำ อย่างน้อยก็ปล่อยให้ฉีจิ่นจือได้ตั้งมั่นยืนหยัดอยู่ที่นั่นก่อนที่ทั้งสองจะได้พบกันอีกครั้ง แบบนี้จึงจะดีสำหรับทุกฝ่าย
…
ไม่กี่วันต่อมา เผ่ยเยว่ก็มาพักอยู่ที่โรงเรียน ทั้งยังทำงานเป็นคุณครูสอนแทนด้วย
เธอสอนสิ่งต่าง ๆ ให้กับเด็ก ๆ บอกเล่าสิ่งที่น่าสนใจที่ตนเคยไปทำมาจากทั่วโลก และในขณะเดียวกันก็จรดปากกาคอยจดบันทึกเรื่องราวของพวกเด็ก ๆ ไว้ด้วย
เธอเตรียมตัวมาอย่างดี ไม่ว่าจะรูปภาพ หนังสือพิมพ์ นิตยสาร หรืออะไรก็ตาม หญิงสาวล้วนมีทั้งสิ้น
เด็ก ๆ มองดูสิ่งที่เธอนำมาด้วย ก่อนที่นัยน์ตาของพวกเขาจะยิ่งเปล่งประกาย ความปรารถนาของพวกเขาที่มีต่อโลกภายนอกนั้นยิ่งถูกเร่งเร้ามากขึ้น อีกทั้งยังสร้างคลื่นแห่งการเรียนรู้เล็ก ๆ ในหมู่นักเรียนอีกด้วย
เซี่ยชิงหยวนเห็นเผ่ยเยว่ค่อย ๆ วางเรื่องการป้องกันชายแดนลง และมุ่งความสนใจไปยังสิ่งที่ตนทำ
หญิงสาวจึงจัดการแยกเอกสารกองหนาใส่ซองสีเหลืองแล้วนำไปที่เมือง
เธอต่อสายหาอาเซียงเพื่ออธิบายให้ฟังถึงสิ่งที่เธอตระเตรียมการ “อาเซียง วันนี้พี่จะส่งแบบร่างไปให้เธอ เมื่อได้รับแล้วให้นำไปให้เหล่าไต้ พร้อมกล่าวบอกเขาว่าให้ตัดเย็บเสื้อผ้าตามแบบข้างต้น และจะต้องเสร็จเรียบร้อยก่อนเดือนพฤศจิกายนนะ นี่เป็นชุดที่ใช้ในการแข่งขัน ต้องระมัดระวังและรอบคอบให้มาก เข้าใจไหม?”
ในตอนนี้เอง เธอหวนนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ในชีวิตก่อนของเธออย่างละเอียด และทันใดนั้นก็นึกขึ้นได้ว่างานแฟชั่นโชว์จะจัดขึ้นที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศสในเดือนธันวาคมนี้
แฟชั่นโชว์นี้เปิดให้ผู้หลงใหลในเสื้อผ้าจากทั่วทุกมุมโลก โดยมีบริษัทเสื้อผ้าที่ทรงพลังและเพียบพร้อมด้วยกำลังทรัพย์ รวมถึงนักออกแบบแฟชั่นที่มีความสามารถ
เธอจำได้ว่าหนึ่งในผู้นำในอุตสาหกรรมแฟชั่นเข้าร่วมงานแฟชั่นโชว์ในตอนนั้นด้วย เขาค่อนข้างชอบเสื้อผ้าที่มีลักษณะเฉพาะประจำชาติของแต่ละประเทศเป็นอย่างมาก และในเวลานั้นเขาก็เสียใจอย่างสุดซึ้งที่ไม่มีเสื้อผ้าที่โดดเด่นเช่นนี้ในช่วงสัปดาห์แฟชั่น
เซี่ยชิงหยวนพลันคิดกับตัวเองว่าหากเธอขอให้เหล่าไต้และอาเซียงนำเสื้อผ้าที่เธอออกแบบไว้ไปเข้าร่วมในงานนี้ด้วย ไม่แน่ว่าเธออาจจะโชคดีพอที่จะมีโอกาสได้รับการยอมรับชื่นชม
หากเสื้อผ้าได้รับการยอมรับ แม้ว่าร้านยามต้องมนต์จะไม่สามารถก้าวสู่สากลได้ในช่วงเวลาสั้น ๆ แต่ก็เพียงพอที่จะได้รับความนิยมในแผ่นดินจีนแล้ว
และเธอก็สามารถใช้ประโยชน์จากเปลวเพลิงแห่งความนิยมนี้เพื่อผลักดันร้านยามต้องมนต์ให้ก้าวไปย่างยิ่งใหญ่ได้อีกหนึ่งก้าว
ทันทีที่อาเซียงได้ยินว่าเธอกำลังจะลงแข่งขัน เด็กสาวก็มีชีวิตชีวาขึ้นมาโดยพลัน
และเมื่อได้ยินเซี่ยชิงหยวนกล่าวบอกว่า ‘ต้องระมัดระวัง’ เธอย่อมไม่กล้าที่จะสะเพร่า “พี่สาวเซี่ย โปรดวางใจ ฉันจะทำหน้าที่นี้อย่างดีแน่นอนค่ะ”
เซี่ยชิงหยวนอธิบายเพิ่มเติมอีกเรื่องหนึ่งว่า “คาดว่าเจ้าของทั้งสองคนของเฟิงหวงจะมีความขัดแย้งครั้งใหญ่ภายในช่วงสองเดือนนี้ อย่างไรเธอช่วยบอกให้เหล่าไต้ติดตามความคืบหน้าของเรื่องนี้อย่างใกล้ชิดในช่วงเวลานี้ด้วยนะ เจ้าของสองคนมีข้อคิดเห็นที่ไม่ตรงกัน หากเรารู้เหตุผลเฉพาะเจาะจง ก็จะทำให้ยิ่งจัดการเรื่องนี้ได้ดีขึ้น”
หญิงสางเงียบลงครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยต่อ “เวลาที่ดีที่สุดในการเข้าซื้อกิจการของเฟิงหวงคาดว่าน่าจะเป็นในช่วงเวลานี้เหมือนกัน”
ในชาติที่แล้ว เมื่อครั้งที่เธอทำงานอยู่ที่โรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าหมานต๋า เธอเองได้มีส่วนร่วมในการพัฒนาเฟิงหวงด้วย
ในความเป็นจริง เมื่อสองหรือสามปีที่แล้ว ซึ่งก็คือในช่วงเวลานี้ เจ้าของทั้งสองได้ตัดสินใจขายกิจการเฟิงหวงเป็นครั้งแรก ว่าจะขายมันออกไป โดยที่ทั้งสองต่างคนต่างแยกกันไปพัฒนากิจการของตัวเอง
เพียงแต่หลังจากนั้นด้วยเหตุผลอื่นบางประการ เรื่องนี้จึงถูกหน่วงเหนี่ยวให้ล่าช้าลง
และด้วยความล่าช้านี้ ทำให้เฟิงหวงไม่ได้รับการปรับโครงสร้างใหม่หรือการพัฒนาที่ดีขึ้น ซ้ำยังต้องประคับประคองให้รอดไปวัน ๆ
ต่อมา ก็มีผู้คนมากขึ้นเรื่อย ๆ ที่เข้ามาสอบถามราคาเข้าซื้อกิจการของเฟิงหวง เจ้าของทั้งสองคนนั้นรอให้ราคาสูงแล้วจึงค่อยขาย ทำให้จากราคาขายกิจการเฟิงหวงเดิมอยู่ที่สองแสนหยวน เป็นขายที่สองแสนแปดหมื่นหยวน
เธอไม่มีเวลารอจนถึงสองสามปีข้างหน้า ทั้งยังไม่มีทางที่เธอจะเข้าซื้อเฟิงหวงซึ่งจำเป็นต้องปรับโครงสร้างและทำการซ่อมแซมในราคาสองแสนแปดหมื่นหยวน
อาเซียงซึ่งอยู่อีกฝั่งหนึ่งของโทรศัพท์บันทึกสิ่งที่เซี่ยชิงหยวนกล่าวบอกอย่างละเอียก “ได้ค่ะ พี่สาวเซี่ย ฉันจำได้แล้ว”
หลังจากที่เซี่ยชิงหยวนจัดการเรื่องต่าง ๆ เสร็จสิ้นแล้ว เธอก็เอ่ยถามอีกครั้งว่า “ช่วงนี้เธอกับเฮ่ออวี้เฟิงเป็นยังไงบ้าง?”
เมื่อเอ่ยถึงเฮ่ออวี้เฟิง อาเซียงก็ครึ่งสุขใจครึ่งโศกเศร้า “ก็แม้ว่าเราจะอยู่ด้วยกัน แต่ฉันยังไม่กล้าบอกพ่อแม่เลยค่ะ”
ประการแรก ทั้งสองอายุต่างกัน และเมื่อประกอบกับเรื่องที่เฮ่ออวี้เฟิงเป็นคนเมืองหนานเฉิง ซึ่งอยู่ห่างไกลกับมณฑลอวิ๋นค่อนข้างมาก จึงมีความเป็นไปได้ที่ครอบครัวจะไม่เห็นด้วย
แม่ของเธอยังพอพูดคุยกันได้ แต่พ่อของเธอนั้นถือทิฐิอย่างยิ่ง เธอจึงเกรงว่านี่จะกลายเป็นความทุกข์ทรมานอีกระลอก
เซี่ยชิงหยวนเอ่ยปลอบใจเธอ “คุณลุงคุณป้าเองต่างก็รู้เหตุรู้ผล เมื่อพวกเขารู้ว่าเฮ่ออวี้เฟิงดีแค่ไหน พวกเขาก็จะไม่คัดค้านอีกแน่นอน”
ในทันใดนั้นเอง สายตาของเธอพลันเหลือบมองไปยังมุมถนนฝั่งตรงข้าม แล้วก็ต้องตกตะลึง
[1] น้ำแก้วหนึ่งกับรถขนฟืนที่ไฟไหม้ เปรียบว่า น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ มีพละกำลังน้อยกว่า ก็มักจะพ่ายแพ้สิ่งที่มีกำลังมากกว่า