กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี - บทที่ 569 คนแรกที่พบ
บทที่ 569 คนแรกที่พบ
ฉีจิ่นจือแต่งกายด้วยชุดธรรมดา พลางเอนตัวพิงอยู่กับต้นไม้ รัศมีความเยือกเย็นซึ่งแผ่ซ่านอยู่รอบตัวทำให้เขาโดดเด่นท่ามกลางผู้คนที่สัญจรไปมา
ในช่วงเวลาราวหนึ่งปีกว่านี้ เขาผอมลงเล็กน้อยและผิวของเขาก็เข้มขึ้นกว่าเดิม
เมื่อเขาก้มศีรษะลง ผมจึงปรกลงที่หน้าผาก ปิดกั้นความมืดมิดในดวงตาของเขา ก่อนที่ความเงียบจะมาเยือนอีกครั้งเมื่อเขาเห็นฟู่ชุนไจ่
ชายหนุ่มปัดผมหน้าที่ปรกอยู่ออกจากหน้าผากพลางมองไปยังฟู่ชุนไจ่ “เมื่อกี้นายไปไหนมา?”
ฟู่ชุนไจ่จะกล้าพูดความจริงได้ยังไงกัน?
เขาหัวเราะเบา ๆ “ไปเดินเล่นแถว ๆ นี้มาครับ”
สีหน้าของฉีจิ่นจือไม่แปรเปลี่ยน “บอกความจริงมา”
“ลูกพี่!” ใบหน้าของฟู่ชุนไจ่พลันเศร้าสร้อยราวกับจะร้องไห้ “ผมแค่ไปเดินเล่นรอบ ๆ มาจริง ๆ!”
ยังไงซะเขาก็ไม่มีทางยอมรับว่าตนมีความคิดที่จะกำจัดเซี่ยชิงหยวนแน่ แต่กลับถูกเธอจับเอาไว้ได้แทน
ฉีจิ่นจือนิ่งงันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะไม่แยแสแล้วเอ่ยว่า “ไปกันเถอะ”
ฟู่ชุนไจ่เมื่อเห็นว่าตนรอดพ้นจากหายนะมาได้แล้วจึงถอนหายใจอย่างโล่งอกอยู่ข้างหลังฉีจิ่นจือ โชคดีจริง ๆ
เขาดึงระบายยิ้มออกมาทันที พร้อมตอบอย่างร่าเริงว่า “ครับผม!”
จากนั้นจึงสาวเท้าตามไป
เขาเดินตามหลังฉีจิ่นจือครึ่งก้าว พลางสังเกตสีหน้าของชายหนุ่ม “ลูกพี่ วันนี้เป็นยังไงบ้าง? ได้พบใครบ้างไหม?”
ฟู่ชุนไจ่พาลูกน้องไปทำงาน ในขณะที่ฉีจิ่นจือไปพบหัวหน้ากองหนุน ทุกคนแบ่งงานกัน
สายตาของฉีจิ่นจือเหม่อลอย พร้อมเอ่ยว่า “จัดการแล้ว”
ดูจากท่าทีแล้วอารมณ์ของเขาจะไม่ค่อยดีนัก
ฟู่ชุนไจ่ตระหนักได้ว่ากาไหนน้ำไม่เดือด ตนหยิบกานั้น*[1] ไปเสียแล้ว เขาจึงแลบลิ้นออกมาเงียบ ๆ และไม่กล้าถามอะไรอีก
ฉีจิ่นจือและฟู่ชุนไจ่เดินตามกันเข้าไปในตรอกแห่งหนึ่ง
นับตั้งแต่เริ่มดำเนินโครงการบรรเทาความยากจน ซึ่งมีเสิ่นอี้โจวเป็นผู้นำ และใช้อำเภอรุ่ยเป็นสถานที่นำร่องโครงการ เขาก็พอได้ยินข่าวคราวมาบ้าง
ใครกันคาดคิดว่า ครั้งหนึ่งเขาจากไปเพราะอดีตอันดำมืดและจิตใจที่น่ารังเกียจของเขา ทว่าหลังจากหมุนเวียนเปลี่ยนผ่าน โชคชะตากลับเชื่อมโยงพวกเขาเข้าด้วยกันอีกครั้ง
เสิ่นอี้โจวอยู่ที่อำเภอรุ่ย แล้วเซี่ยชิงหยวนล่ะ?
พวกเขารักกันมากถึงเพียงนั้น แน่นอนว่าย่อมต้องติดตามกันไป
ไม่คาดคิดเลยว่าหลังจากสองปีผ่านไป คนแรกที่เขาได้พบไม่ใช่สามีภรรยาคู่นั้น แต่เป็นเผ่ยเยว่
…
การเรียนการสอนบนภูเขานั้นไม่กับเหมือนในเมือง
ทุกวันศุกร์หลังมื้อกลางวัน ครูจะพาเด็ก ๆ เดินไปยังเชิงเขาเพื่อเก็บฟืนด้วยกัน
ด้วยทางโรงเรียนจะเตรียมอาหารเช้าและกลางวันโดยใช้ฟืนที่เด็ก ๆ เก็บมา
โรงเรียนไม่ต้องการฟืนมากนัก เด็กหนึ่งคนจึงเก็บฟืนเพียงหนึ่งจิน
หลังจากเก็บรวบรวมฟืนได้เพียงพอแล้ว เด็ก ๆ ก็ขนฟืนที่เหลือกลับบ้าน
วันนี้เด็กหญิงวัยแปดขวบคนหนึ่งยกเก็บไม้ฟืนหนักรวมสี่สิบจินขึ้นมาพร้อมบอกว่าจะนำกลับบ้าน
เมื่อเผ่ยเยว่เห็นท่าทางเหนื่อยหนักของเด็กหญิง จึงแนะนำว่า “เธอสามารถเอาบางส่วนไปไว้ในห้องเรียนก่อนได้นะ แล้วที่เหลือค่อยมาเอาไปพรุ่งนี้”
เด็กหญิงตัวน้อยสั่นศีรษะอย่างมุ่งมั่น “พ่อบอกว่าหากวันนี้หนูเก็บฟืนได้ไม่มากพอ พอกลับบ้านไป พ่อจะหักขาค่ะ”
เผ่ยเยว่ “!”
เมื่อได้ยินถ้อยคำจากปากของเด็กหญิงตัวน้อย ในใจของเผ่ยเยว่ก็พลันเดือดดาล “พ่อของเธอทำไมถึงเป็นแบบนี้? เขา…”
เมื่อคิดว่านี่คือพ่อของเด็กหญิง เธอจึงไม่อยู่ในฐานะที่จะแสดงความคิดเห็นต่อหน้าเด็กน้อยได้มากไปกว่านี้ หญิงสาวจึงเอ่ยว่า “บ้านของเธออยู่ที่ไหน? เดี๋ยวคุณครูจะไปส่งนะ”
เด็กหญิงชี้ไปทางภูเขาทางทิศตะวันตก “บ้านของหนูอยู่ทางนั้น ใช้เวลาเดินทางประมาณหนึ่งชั่วโมงกว่าค่ะ”
ใบหน้าเล็ก ๆ ของเธอฉายชัดถึงความซาบซึ่งอย่างยิ่ง “คุณครูเผ่ย ถนนหนทางนั้นแย่มาก ครูไม่ต้องไปส่งหนูหรอกค่ะ”
เธอชั่งน้ำหนักฟืนบนตัวและแสร้งทำเป็นผ่อนคลาย “เบามาก หนูแบกไปเองได้ค่ะ”
เมื่อเห็นว่าเด็กหญิงตัวน้อยนั้นรู้ความถึงเพียงนี้ เผ่ยเยว่ก็ยิ่งอดรนทนไม่ไหวที่จะปล่อยให้เธอแบกฟืนกลับบ้านด้วยตัวเอง
หญิงสาวกล่าวว่า “ไม่เป็นไร เมื่อก่อนเวลาที่ครูทำงาน จะถนนหนทางแบบไหนก็เคยผ่านมาหมดแล้ว”
เธอพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ศูนย์บรรเทาความยากจนเล็กน้อย แล้วแบ่งฟืนส่วนใหญ่มาจากเด็กหญิง พร้อมนำกล้องติดตัวไปด้วย จากนั้นทั้งสองก็เดินไปด้วยกัน
ในตอนที่เผ่ยเยว่ส่งเด็กหญิงตัวน้อยกลับถึงบ้าน พ่อแม่ของเธอยังทำงานอยู่ในทุ่งนาจึงยังไม่กลับมา
เด็กหญิงวางฟืนลงแล้วเอ่ยกับเผ่ยเยว่ว่า “คุณครูเผ่ย พ่อแม่ของหนูยังไม่ได้กินข้าวกลางวัน หนูต้องไปทำกับข้าว ครูอยู่กินข้าวกลางวันที่บ้านของหนูนะคะ”
เผ่ยเยว่รู้ดีว่าสำหรับที่นี่อาหารนั้นมีค่าแค่ไหน และแน่นอนว่าเธอจะไม่กินข้าวที่บ้านของเด็กหญิงคนนี้
หญิงสาวย่อตัวลงครึ่งหนึ่งแล้วลูบปอยผมของเด็กหญิง พลางเอ่ย “คุณครูเผ่ยต้องกลับไปกินข้าวที่บ้านจ้ะ คงไม่ได้อยู่กินข้าวที่บ้านเธอนะ”
เธอเห็นว่าฟ้ายังสว่างโร่อยู่ จึงตั้งใจจะถือโอกาสนี้ถ่ายภาพการใช้ชีวิตของเด็กหญิงตัวน้อย
เธอหยิบกล้องออกมาแล้วพูดว่า “เธอทำอาหารไปตามปกตินะ แต่คุณครูของถ่ายภาพเก็บไว้ได้ไหม?”
เด็กหญิงพยักหน้ารับ “ค่ะ”
เด็กหญิงเริ่มจากการก่อฟืนก่อน จากนั้นหามันฝรั่งสองสามลูกมา แล้วจุดไฟเผามันฝรั่งในกองขี้เถ้า
เมื่อจัดการตรงนี้เสร็จ เธอก็ไปเก็บผักจำนวนหนึ่งมาจากแปลง ก่อนจะหั่นเป็นชิ้นแล้วนำไปเลี้ยงไก่ของครอบครัว
รอจนได้กลิ่นหอมของมันฝรั่ง อาหารเย็นมื้อนี้ก็เป็นอันเสร็จ
เธอสูดหายใจเข้าแรงและยิ้มอย่างพึงพอใจ “คุณครูเผ่ย อาหารเย็นของครอบครัวหนูเสร็จเรียบร้อยแล้วค่ะ”
ตอนนี้เป็นเวลาเกือบบ่ายสามโมงแล้ว แต่พ่อแม่ของเธอยังทำงานอยู่ในเทือกสวนไร่นา ยังไม่ได้กลับบ้าน ด้วยสภาพครอบครัวที่ลำบากยากเข็ญถึงเพียงนี้ ทำให้ในใจของเผ่ยเยว่พลันรู้สึกเศร้าขึ้นมา ดูเหมือนว่าเธอจะไม่สามารถตำหนิพ่อที่ยังคงยืนกรานที่ให้ลูกไปโรงเรียนได้อีก
ดวงตาของหญิงสาวพลันแดงขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะยกยิ้มแล้วเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นเธอก็ไปล้างมือ แล้วเตรียมกินข้าวเถอะ”
เธอเก็บกล้องแล้วกล่าวลาเด็กหญิงตัวน้อย “คุณครูเผ่ยต้องขอตัวกลับก่อน ไว้เจอกันใหม่นะจ้ะ”
เด็กหญิงเดินมาส่งเผ่ยเยว่ที่ทางเข้าหมู่บ้านอย่างมีความสุข “แล้วพบกันใหม่ค่ะคุณครูเผ่ย”
เธอชี้ไปอีกฟากหนึ่งอีกครั้ง “พ่อกับแม่บอกว่าที่นั่นอันตราย คุณครูอย่าเดินไปผิดทางนะคะ”
เผ่ยเยว่มองไปทางทิศตะวันตกแล้วก็เข้าใจได้ในทันที
หญิงสาวพยักหน้ารับ “ครูจะระวังจ้ะ ลาก่อน”
เอ่ยจบ เธอก็เดินต่อไปตามเส้นทางที่สูงชัน และเมื่อเดินผ่านป่าก็ได้ยินเสียงคนพม่าพูดคุยกันอยู่ไกล ๆ
หัวใจของเธอพลันกระตุก แค่แวะไปดูสักหน่อยคงไม่เป็นไรหรอกใช่ไหม?
ได้ยินมาว่ามีทหารชายแดนคอยลาดตระเวนชายแดนจีน-พม่าอยู่เป็นครั้งคราว คงไม่อันตรายจนเกินไป อีกอย่างในฐานะนักข่าว เธอย่อมเป็นคนที่กล้าเสี่ยงภัยอยู่พอตัว
เธอจึงหันปลายเท้าไปอีกทางแล้วมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก
เดินตามป่าไปทางทิศตะวันตก ภูมิประเทศนั้นสูงชันขึ้นเรื่อย ๆ และเมื่อไปถึงไหล่เขา ก็สามารถมองเห็นบ้านเรือนชาวพม่าที่อยู่ฝั่งตรงข้ามได้ราง ๆ
เผ่ยเยว่หยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูป
ทันใดนั้นเธอก็ได้ยินเสียงใครบางคนกระซิบอย่างไม่ปะติดปะต่อกันนัก ราวกับไม่ใช่เรื่องจริง
เผ่ยเยว่เดินทางไปทั่วโลก ไม่เพียงแต่เชี่ยวชาญในหลายภาษา แต่ยังสามารถเข้าใจบทสนทนาง่าย ๆ ได้อีกด้วย
ดังนั้นเมื่อเธอค่อย ๆ ขยับเข้าไปใกล้มากขึ้น จึงสามารถจับคำว่า ‘สินค้า’ ‘ตำรวจปราบปรามยาเสพติด’ ‘ถูกฆ่าแล้ว’ และ ‘ขนส่งสินค้า’ ได้ ซึ่งพอได้ยินดังนั้นหญิงสาวพลันเบิกตากว้าง
เธอบังเอิญพบเข้ากับจุดนัดพบในการค้าขายอย่างนั้นเหรอ?
เหตุผลบอกเธอว่าควรออกไปทันที แต่หน้าที่การงานทำให้เธอก้าวไปข้างหน้าอีกก้าว
ท่ามกลางการต่อสู้ทางอุดมการณ์ เธอกัดฟัน ก้มตัวลง และเดินต่อไป
บังเอิญมีก้อนหินที่สูงราวครึ่งตัวคนอยู่ตรงหน้า หญิงสาวจึงหมอบลงและซ่อนตัวอยู่ข้างหลังก้อนหินนั้น
เธอโผล่หัวเล็ก ๆ ออกมาแล้วยกกล้องขึ้นเพื่อบันทึกข้อมูลที่เป็นประโยชน์
กล้องเคลื่อนที่ไปตามการเคลื่อนไหวของเผ่ยเยว่ ก่อนจะหยุดทันทีเมื่อโฟกัสไปยังร่างผอมแกร่งของชายคนหนึ่ง
ลมหายใจของเธอพลันสะดุด พร้อมกะพริบตา พยายามจะมองให้ชัด
เป็นไปอย่างที่คิด นั่นคือฉีจิ่นจือ!
[1] กาไหนน้ำไม่เดือด หยิบกานั้น เป็นสำนวน หมายถึง ทำในสิ่งที่ไม่ควรทำหรือพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูด