กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี - บทที่ 572 ตกน้ำ
บทที่ 572 ตกน้ำ
ความตระหนกพลันปรากฏขึ้นในแววตาของเสิ่นอี้หลิน “ทำของเหรอ?”
ในฐานะคนจากมณฑลอวิ๋น เสิ่นอี้หลินจึงเคยได้ยินเรื่องการทำของมาบ้าง
เขาได้ยินมาว่าการทำของหรือฟางไตนั้นเป็นวิชาไสยศาสตร์พื้นบ้านชนิดหนึ่ง ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับความเชื่อท้องถิ่นของพวกเขาด้วย โดยจะส่งต่อกันเฉพาะผู้หญิงเท่านั้น ไม่ถ่ายทอดให้ผู้ชาย
การถูกทำของไตใส่นั้น แม้จะไปโรงพยาบาลก็ไม่สามารถรักษาให้หายดีได้ วิธีการที่จะทำให้หายกลับมาเป็นปกติคือ ต้องให้คนที่ทำของให้ผักดองหรือของอื่น ๆ ที่ทำในบ้านของเธอ
เมื่อครั้งเป็นเด็ก เสิ่นอี้หลินเคยเห็นอันธพาลสองคนในหมู่บ้านมักจะไปขโมยพืชผลที่ชาวไตครอบครัวหนึ่งปลูกเอาไว้ ทำให้เจ้าของพืชผลโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ จึงทำของใส่คนที่จะมาขโมยพืชผักในที่ดินของคน และเมื่อมีข่าวลือเกี่ยวกับเรื่องนี้ออกไปก็สร้างความหวาดกลัวให้กับโจรที่มาขโมยผัก
ทว่าอันธพาลทั้งสองนั้นไม่เชื่อเรื่องอัปมงคลเช่นนี้ จึงไปขโมยอีก และเป็นดั่งคาด เขาถูกคุณไสยทำให้เปื่อยเน่าพุพองไปทั้งตัว แม้ว่าจะไปโรงพยาบาลอยู่เป็นเวลานานแต่ก็รักษาไม่หาย
อันธพาลเดาว่าตนคงถูกคุณไสยเข้าแล้ว แต่เขาไม่กล้าบอกคนอื่นว่าเขาทำอะไรไป จึงทำได้เพียงกัดฟันอดทนต่อความเจ็บปวดทรมานเท่านั้น
ต่อมาหญิงชราชาวไตคนหนึ่งรู้เรื่องนี้ เมื่อหญิงชราเห็นว่าเขาได้รับบทเรียนแล้ว จึงเป็นฝ่ายมอบผักดองที่เธอทำที่บ้านให้เขากิน
หญิงชราทำเช่นนี้ โดยไม่มีใครบอกว่าเธอทำไม่ถูก
แม้จะไม่ใช่ช่วงขาดแคลนอาหาร แต่คุณขโมยของจากผู้คน ก็ย่อมต้องได้รับบทเรียน
โดยปกติแล้ว ผู้หญิงชาวไตจะไม่ตัดผมเลยตลอดชีวิต ถึงกระทั่งที่ว่าผมยาวจนถึงเอวหรืออาจยาวระพื้นเสียด้วยซ้ำไป พวกเธอจะถักเปียไว้รอบศีรษะเพื่อให้ดูสวยงาม
ผู้หญิงที่อยู่ข้างหน้าเด็กชายในตอนนี้ก็แต่งกายด้วยเสื้อผ้าแบบมาตรฐานของสตรีชาวไต โดยมีกระโปรงพันรอบร่างอวบ ทว่าสีหน้าของเธอนั้นฉายชัดถึงความเดือดดาลอย่างยิ่ง
เมื่อเสิ่นอี้หลินเห็นดังนั้น ใบหน้าเล็กของเขาก็พลันหวาดกลัวขึ้นมา
เป็นธรรมชาติที่เด็ก ๆ จะมีความเคารพยำเกรงและเกรงกลัวต่อสิ่งเหล่านี้มาตั้งแต่วัยเยาว์
เขามองไปยังหลี่หมิงเทียน “หมิงเทียน พวกเราออกไปอย่างเงียบ ๆ กันดีไหม?”
หลี่หมิงเทียนพยักหน้ารับ “ดี”
จากนั้นทั้งสองจึงหันหลังและเดินจากไปโดยอุ้มเด็กน้อยไว้ในอ้อมแขน
บางทีเสิ่นทิงหลานอาจสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่ตึงเครียด ดวงตากลมโตทั้งสองของเธอเบิกกว้างไม่กะพริบ พร้อมจ้องมองไปยังทิศทางที่ผู้หญิงคนนั้นอยู่
ส่วนเสิ่นทิงอวิ๋นกลับตะโกนอย่างตื่นเต้น “วิ่ง วิ่ง วิ่ง!”
ทันทีที่เสิ่นทิงอวิ๋นตะโกนออกมา เสิ่นอี้หลินและหลี่หมิงเทียนก็ยิ่งกลัวจึงเร่งฝีเท้า
ในขณะที่ทั้งสองคนกำลังข้ามคูน้ำ หลี่หมิงเทียนซึ่งตามหลังมาพลันสะดุด ส่งผลให้ก้าวได้อย่างไม่มั่นคงนัก และลื่นไถลเล็กน้อยจนทำให้เสิ่นทิงหลานหลุดออกจากอ้อมแขน
ตู้ม!
เสียงหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับการตอบสนองของเขา แต่เสิ่นทิงหลานตกลงไปในน้ำแล้ว
แม้ว่าจะเป็นคูน้ำเล็ก ๆ ทว่ากระแสน้ำเชี่ยวกราก แขนขาของเสิ่นทิงหลานกางออก ลอยตัวอยู่บนผิวน้ำ และเพียงชั่วพริบตาเดียวก็ถูกซัดซาออกไปราวหนึ่งหรือสองเมตร
หลี่หมิงเทียนรีบร้องตะโกน “ทิงหลาน!”
เสิ่นอี้หลินหันกลับมาพร้อมกับความรู้สึกร้อนอกร้อนใจอย่างยิ่ง
เขาส่งเสิ่นทิงอวิ๋นให้หลี่หมิงเทียนด้วยความรวดเร็ว ก่อนจะกระโดดลงคูน้ำเล็ก ๆ นั่นอย่างไม่คิด
น้ำในคูน้ำเล็ก ๆ ลึกถึงหน้าอกของเสิ่นอี้หลิน เด็กชายพยายามว่ายน้ำไปในทิศทางที่เสิ่นทิงหลานถูกพัดพาไป
โชคดีที่เป็นทิศทางที่ไหลไปตามกระแสน้ำ หลังจากเสิ่นอี้หลินไล่ตามไปไม่กี่เมตร ในที่สุดก็สามารถคว้าเข้าที่เท้าของเสิ่นทิงหลานและอุ้มเธอขึ้นจากน้ำได้ในคราวเดียว
เขาอุ้มเสิ่นทิงหลานไว้แน่นพลางตบหลังเด็กหญิงเบา ๆ “ทิงหลานไม่ต้องกลัว ไม่กลัวนะทิงหลาน”
เสิ่นทิงหลานเมื่อถูกเสิ่นอี้หลินตบหลัง จึงสำลักน้ำออกมาเล็กน้อย ใบหน้าของเด็กน้อยซีดขาว ปากเล็ก ๆ เบะลง อยากร้องไห้แต่ไม่ร้อง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความกลัวหรือเพราะอะไร
หลี่หมิงเทียนซึ่งอุ้มเสิ่นทิงอวิ๋นเอาไว้รีบพุ่งไปหาเสิ่นอี้หลิน แล้วยื่นมือไปทางเขา “อี้หลิน รีบขึ้นมาเร็ว”
เสิ่นอี้หลินจับมือของหลี่หมินเทียนไว้แน่น ก่อนจะออกแรงปีนขึ้นไปบนร่องน้ำ
“อี้หลิน ทิงหลาน”
ทันทีที่เสิ่นอี้หลินปีนขึ้นไปบนฝั่ง ก็มีน้ำเสียงอันเปี่ยมไปด้วยความกังวลดังขึ้นเหนือศีรษะของเขา เด็กชายมองไปยังรองเท้าผ้าของผู้หญิงที่คุ้นเคยตรงหน้า ก่อนจะมองไล่ตามรองเท้าขึ้นไปและพบว่าเป็นเซี่ยชิงหยวนจริง ๆ
เสิ่นอี้หลินรู้สึกประหม่าขึ้นมาโดยทันที
เขาส่งเสิ่นทิงหลานซึ่งอยู่ในอ้อมแขนให้เซี่ยชิงหยวนโดยไม่รู้ตัว ใบหน้าเล็ก ๆ ของเขาแปรเปลี่ยนเป็นสีแดง “พี่สะใภ้ ผมขอโทษครับ…”
หลี่หมิงเทียนเองก็เอ่ยออกมาอย่างตะกุกตะกัก “คุณครูเซี่ย”
“ลุกขึ้นก่อนเถอะ” ใบหน้าของเซี่ยชิงหยวนนั้นดูไม่ออกว่าอารมณ์ปกติดีหรือโกรธ เธออุ้มเสิ่นทิงหลานขึ้นมาด้วยมือข้างหนึ่ง และช่วยเสิ่นอี้หลินด้วยมืออีกข้าง
เธอสำรวจร่างกายของเสิ่นทิงหลานก่อน เมื่อเห็นว่าเด็กหญิงไม่ได้มีปัญหาร้ายแรงใด ๆ จึงลูบปอยผมของเสิ่นอี้หลิน “ไม่เป็นไรนะ เรื่องนี้ไม่กล่าวโทษนายหรอก”
หญิงสาวเอ่ยชมเชยว่า “เมื่อกี้นายกล้าหาญมากนะ”
ทันทีที่เสิ่นอี้หลินได้ยินถ้อยคำของเซี่ยชิงหยวน น้ำตาที่พยายามอดกลั้นไว้มาโดยตลอดก็เอ่อล้นออกมาอย่างรวดเร็ว
เขากลัวจับจิตในตอนที่เห็นว่าเสิ่นทิงหลานตกลงไปในน้ำ
เขากลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเสิ่นทิงหลาน ทั้งยังก็กลัวว่าผู้ใหญ่จะตำหนิตนด้วย
โชคดีช่วยชีวิตเสิ่นทิงหลานไว้ได้ และพี่สะใภ้ของเขาก็ไม่ได้กล่าวโทษเขาแต่อย่างใด
เซี่ยชิงหยวนทำตามที่กล่าวบอกหลินตงซิ่วโดยออกมาตามหาเด็กทั้งสามคน และเมื่อเธอเห็นพวกเขาจากไกล ๆ ก่อนที่จะทันได้ตะโกนเรียกพวกเขา หญิงสาวก็เห็นว่าเด็กชายทั้งสองวิ่งหนีพร้อมอุ้มเด็กน้อยสองคนไว้ในอ้อมแขน ราวกับว่าพวกเขาเห็นสิ่งที่น่าสะพรึงกลัว
เธอคิดว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นก็กลัวมาก จึงรีบวิ่งมาหาพวกเขา
หลังจากออกวิ่งไปได้เพียงไม่กี่ก้าว เธอก็เห็นเสิ่นทิงหลานซึ่งอยู่ในอ้อมแขนของหลี่หมิงเทียนร่วงลงไปในคูน้ำ
เธอกลัวเสียจนใจหายใจคว่ำ
ความกลัวและความกังวลเต็มล้นอยู่ในอกของหญิงสาว แต่เธอรู้ว่าไม่สามารถตำหนิเสิ่นอี้หลินสำหรับเรื่องทั้งหมดนี้ได้
เสิ่นอี้หลินเองก็ยังเป็นเด็กอยู่ การปล่อยให้เด็กดูแลเด็กด้วยกันเองนั้นไม่ใช่เรื่องที่สามารถมั่นใจได้จริง ๆ แต่ภายใต้เงื่อนไขของยุคนี้ก็เป็นเช่นนี้
ด้วยเหตุนี้ เธอจึงไม่ได้ตำหนิเสิ่นอี้หลิน แต่เอ่ยให้กำลังใจเขาแทน
เซี่ยชิงหยวนกังวลว่าจะมีบางอย่างที่ตนไม่สังเกตเห็นบนตัวของเสิ่นทิงหลาน เธอจึงพาเสิ่นทิงหลานกับเสิ่นอี้หลินกลับบ้านเพื่ออาบน้ำอุ่นและเปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นจึงพาเด็ก ๆ ไปยังสถานีอนามัยของไช่จิ้งกั๋วพร้อมกับเสิ่นอี้โจว
ไช่จิ้งกั๋วเองก็ได้ยินว่ามีคนสองคนตกลงไปในน้ำ หลังจากตรวจสุขภาพพวกเขาแล้ว ชายหนุ่มก็เอ่ยว่า “สำหรับตอนนี้ ดูเหมือนจะไม่มีปัญหาอะไรครับ”
เขาเหลือบมองไปยังเสิ่นทิงหลาน ซึ่งยังคงอ่อนเพลียมาจนถึงตอนนี้ แล้วกล่าวว่า “ทิงหลานยังเล็ก เมื่อกลับบ้านไปแล้วต้องใส่ใจเธอให้มากนะครับ ผมเกรงว่าเธออาจจะตกใจและมีอาการป่วยขึ้นมาในเวลากลางคืน”
เมื่อได้ยินดังนั้น หัวใจของเซี่ยชิงหยวนพลันรัดแน่น
เมื่อเทียบกับเสิ่นทิงอวิ๋นที่อ่อนแอ ร่างกายของเสิ่นทิงหลานนั้นนับว่าดีกว่ามาก อีกทั้งตอนนี้อายุก็เกินหนึ่งขวบแล้ว ทว่าเด็กหญิงแทบไม่เคยป่วยเลย
หากแต่เด็กที่เป็นเช่นนี้ เมื่อได้ป่วยขึ้นมาแล้ว อาการจะยิ่งรุนแรง
หลังจากเสิ่นอี้โจวได้ยืนยันเรื่องการรักษาเพิ่มเติมกับไช่จิ้งกั๋วแล้ว ชายหนุ่มก็กล่าวขอบคุณเขา ก่อนจะพาเซี่ยชิงหยวนและเด็ก ๆ กลับบ้าน
…
กลางดึกคืนนั้น เสิ่นทิงหลานก็เริ่มมีไข้จริง ๆ
วัดไข้ออกมาแล้วอยู่ที่ 38.8 องศาเซลเซียส
สองสามีภรรยาจึงเช็ดตัวเพื่อลดไข้ให้เธอก่อน แต่อุณหภูมินั้นไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด แต่กลับเพิ่มขึ้นเป็น 39.3 องศาเซลเซียส
ในตอนแรกเสิ่นทิงหลานยังสามารถลืมตาพร้อมร้องเรียก ‘แม่’ ได้ ก่อนที่ต่อมาเธอจะหลับตาลงแล้วหลับไปอย่างไม่รู้สึกตัว
เซี่ยชิงหยวนรีบนำยาซึ่งเตรียมไว้ก่อนแล้ว ป้อนให้เสิ่นทิงหลานตามปริมาณที่เหมาะสม
หลังจากเสิ่นทิงหลานได้กินยา เพียงไม่นานนัก ไข้ก็ลดลงในที่สุด
เซี่ยชิงหยวนและเสิ่นอี้โจวพลันถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก่อนจะนอนหลับไปข้างกายเสิ่นทิงหลาน
เช้าวันรุ่งขึ้น เสิ่นทิงหลานมีอาการซึม ทั้งยังไม่อยากอาหาร โดยอาการเหล่านี้เสิ่นทิงหลานเป็นอยู่ประมาณสองวัน
เมื่อเถียนกุ้ยฟางได้ยินว่าเสิ่นทิงหลานป่วย เธอจึงมาเยี่ยมที่บ้าน
เธอมองไปยังใบหน้าซูบตอบของเสิ่นทิงหลาน แล้วเอ่ยว่า “เห็นแบบนี้แล้วน่าสงสารนัก ปกติแล้วเธอจะคึกคักมีชีวิตชีวานะ”
ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยความลังเลว่า “เธอได้ลองเรียกขวัญเด็กกลับมาบ้างรึยัง?”