กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี - บทที่ 573 ไว้ใจเขาจริง ๆ เหรอ?
บทที่ 573 ไว้ใจเขาจริง ๆ เหรอ?
“เรียกขวัญเหรอคะ?” เซี่ยชิงหยวนถาม
การเรียกขวัญเด็กเป็นสิ่งที่พบเห็นได้ทั่วไปในชนบท
เวลาที่เด็ก ๆ หวาดผวาตื่นตระหนกหรือเมื่อไม่สามารถรักษาให้หายจากการเจ็บป่วยได้ ผู้เฒ่าผู้แก่ในครอบครัวก็จะใช้วิธีนี้
วิธีการคือไปเรียกชื่อเด็ก ณ สถานที่ที่เขาหรือเธอมักจะเล่นเพื่อเรียกขวัญกลับบ้าน โดยแม่ของเด็กจะรออยู่ที่บ้านพร้อมอุ้มลูกไว้ในอ้อมแขน และเมื่อเธอได้ยินครอบครัวเรียกขวัญเด็กมาตลอดทางจนถึงบ้าน ผู้เป็นแม่ก็ตอบเสียงดังว่า ‘…กลับมาแล้ว!’
ด้วยวิธีนี้ เด็กบางคนจะมีอาการดีขึ้นอย่างน่าอัศจรรย์ ในขณะที่บางคนก็ไม่มีอาการอะไรเปลี่ยนแปลง
เถียนกุ้ยฟางพยักหน้ารับ “ใช่ เป็นสิ่งที่พวกเราที่นี่ทำกันน่ะ”
เซี่ยชิงหยวนยกยิ้มพลางส่ายหัว “ปกติแล้วทิงหลานไม่ค่อยเจ็บป่วยนัก แต่เมื่อป่วยขึ้นมา อาการก็จะรุนแรงกว่าเด็กคนอื่น ๆ ค่ะ อย่างที่เขาว่ากัน ความเจ็บป่วยมาเยือนเหมือนดินถล่ม แต่กลับจากช้าราวสาวไหม รักษาอีกไม่กี่วันเดี๋ยวก็หายดีแล้วค่ะ”
ไช่จิ้งกั๋วฉีดยาป้องกันให้เด็กน้อยแล้ว อีกทั้งเธอเองก็เตรียมใจพร้อมแล้วเช่นกัน
เมื่อเถียนกุ้ยฟางเห็นว่าเซี่ยชิงหยวนไม่เห็นด้วย เธอก็ไม่ได้พยายามจะเซ้าซี้อะไรอีก หลังจากบอกวิธีพื้นบ้านให้หญิงสาวฟังอีกสองสามวิธี เธอก็กลับบ้านไป
หลินตงซิ่วซึ่งกำลังทำงานบ้านอยู่ข้าง ๆ เมื่อได้ยินถ้อยคำของเถียนกุ้ยฟาง ก็อดไม่ได้ที่จะโน้มน้าวเซี่ยชิงหยวนขึ้นมาอีกครั้ง “ทำไมเราไม่ลองดูล่ะ?”
เซี่ยชิงหยวนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ลองดูอีกสักสองวันนะคะ หากว่ายังเป็นแบบนี้อยู่ จะลองอีกครั้งก็ไม่เสียหาย”
สถานะของเสิ่นอี้โจวที่นี่คือผู้อำนวยการศูนย์บรรเทาความยากจน หากครอบครัวของพวกเธอเป็นผู้นำในเรื่องไสยศาสตร์ จะกลายเป็นว่าก่อให้เกิดคำนินทาโดยไม่จำเป็นเอาได้
แม้เธอเองจะมีประสบการณ์ในการเกิดใหม่ ทว่าภายในจิตใต้สำนึกของเธอกลับเคารพวิทยาศาสตร์มากขึ้น
หลังจากคิดไปคิดมา หญิงสาวก็นำห้อยจี้หยกที่ปี่เหลาซานมอบให้ไว้ที่คอของเสิ่นทิงหลาน และท่องว่า “ขอให้สงบสุขและปลอดภัย”
…
สองวันต่อมา เซี่ยชิงหยวนพาเสิ่นทิงหลานไปหาไช่จิ้งกั๋วทุกวัน โดยใช้การแพทย์แผนจีนในการนวดทุยหนาและรมยาเป็นหลักในการรักษา หลังจากผ่านไปสองวัน ด้วยการดูแลอย่างดียิ่ง ในที่สุดอาการของเสิ่นทิงหลานก็ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
เด็กน้อยกินไข่ตุ๋นได้ครึ่งชาม ทั้งกินไปอีกโจ๊กเล็กน้อย ใบหน้าเริ่มกลับมามีเลือดฝาดเป็นสีชมพูจาง ๆ เล่นกับเสิ่นทิงอวิ๋นสักพักก่อนจะเข้านอน
เมื่อครอบครัวเห็นดังนี้ ในที่สุดหัวใจก็กลับสู่ที่เดิม
หลังจากจัดการลูกสาวเรียบร้อยแล้ว เสิ่นอี้โจวกล่าวบอกเซี่ยชิงหยวนถึงข่าวคราวบางอย่าง “เราจะจัดตั้งกองกำลังป้องกันตัวเองอีกครั้งก่อนที่จะหมดปีนะ”
เซี่ยชิงหยวนเอ่ยถาม “ทำไมคะ?”
เสิ่นอี้โจวกล่าวว่า “การปราบปรามยาเสพติดครั้งใหญ่ของตำรวจเมื่อเร็ว ๆ นี้คืบหน้าไปด้วยดี และขณะนี้มีการตรวจพบปฏิบัติการดังกล่าวอยู่ที่ชายแดนของอำเภอรุ่ยน่ะ เรากังวลว่าพวกเขาจะดำเนินการตอบโต้หรืออาจลงมือตอบโต้อย่างสุดชีวิตเหมือนหมาจนตรอก ดังนั้นทางองค์กรจึงตัดสินใจเพิ่มการเฝ้าระวังของทางเราด้วย”
การเพิ่มการเฝ้าระวังนั้นหมายถึงความต้องการกำลังคนและกำลังทหาร โดยแบบแรกต้องการผู้คน ส่วนแบบหลังต้องใช้เงิน
ด้วยเพราะทหารชายแดนและตำรวจมีจำนวนจำกัด จึงทำได้เพียงอาศัยการรวมตัวกันเองของประชาชน ซึ่งสิ่งนี้ได้กลายเป็นระเบียบปฏิบัติไปโดยปริยายในพื้นที่ชายแดนหลายแห่งของมณฑลอวิ๋น
เมื่อเห็นสีหน้ากังวลของเซี่ยชิงหยวน ชายหนุ่มก็รีบเอ่ยปลอบ “คุณไม่ต้องกังวล มีพวกเราอยู่ที่นี่จะไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างแน่นอน หากสถานการณ์เลวร้าย ผมจะส่งพวกคุณไปอยู่ที่ในตัวอำเภอ”
เซี่ยชิงหยวนต้องการจะปฏิเสธ แต่เมื่อหญิงสาวคิดถึงลูก ๆ ก็รู้ว่าตนไม่อาจเสี่ยงได้ จึงพยักหน้ารับพลางเอ่ย “ตกลงค่ะ เมื่อถึงเวลานั้นฉันจะทำตามที่คุณจัดการ”
ชายแดนประเทศพม่า
ภายในฐานที่มั่น ซางคุนเพิ่งมอบหมายภารกิจส่งสินค้าให้ฉีจิ่นจือ
“ฉี ลูกค้าคนนี้สำคัญมากสำหรับเรา นายต้องจัดการให้ดี”
ฉีจิ่นจือพยักหน้าเบา ๆ แล้วเอ่ยตอบ “ครับ ผมจะทำอย่างสุดความสามารถ”
ซางคุนมองใบหน้าหล่อเหลาของฉีจิ่นจือด้วยสีหน้าพินิจพิเคราะห์ “ตำรวจเข้าทำลายจุดส่งของของเราไปหลายแห่ง ซ้ำยังจับกุมคนไปได้ไม่น้อย นี่เป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน”
“ฉี คราวนี้นายต้องเตรียมพร้อมและตื่นตัวอย่างมาก อย่าได้ทำอะไรผิดพลาดโดยเด็ดขาด”
ใบหน้าของฉีจิ่นจือยังคงเรียบนิ่งไม่เปลี่ยนสี “ครับ”
เมื่อเห็นว่าเขาพูดไปพอควรแล้ว ซางคุนก็โบกมือ “เอาละ นายออกไปเถอะ”
เมื่อฉีจิ่นจือก้าวออกไปได้สองสามก้าว เขาก็เอ่ยรั้งชายหนุ่มเอาไว้ “จริงสิ ลูกน้องที่นายพาเข้ามาที่ชื่อชุนนั่นเป็นคนที่ใช้งานได้เลย สำหรับการจัดส่งครั้งนี้ นายควรมุ่งเน้นไปที่การฝึกฝนเขาด้วยนะ”
ดวงตาที่เหลือบมองต่ำของฉีจิ่นจือพลันสั่นไหวเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยตอบไปว่า “ครับผม”
เอ่ยจบ เขาก็ประสานมือคำนับซางคุน ก่อนจะก้าวออกไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากฉีจิ่นจือออกไป ต๋า ลูกชายของซางคุนซึ่งยืนอยู่ข้าง ๆ ก็เอ่ยขึ้น “พ่อครับ พ่อไว้ใจเขาจริง ๆ เหรอ?”
ในเวลาเพียงหนึ่งปีกว่า ๆ ที่ฉีจิ่นจือเข้ามาอยู่ในฐานที่มั่น ชายหนุ่มก็ได้รับความไว้วางใจให้ทำงานสำคัญ ๆ จากซางคุนแล้ว แม้จะมีความสามารถ ทว่าก็ยังมีสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน
ซางคุนมองไปทางประตูพลางเอ่ยเสียงเย็น “ฮึ่ม แกคิดว่าพ่อของแกโง่หรือไงกัน?”
เขาลูบคาง แล้วเอ่ยต่อ “เรื่องที่ว่าไว้วางใจได้หรือไม่ รอดูภารกิจคราวนี้ก็จะรู้ หากยังโดนตำรวจจีนตามเก็บอีก อย่างนั้นเขาก็… อยู่ที่นี่ต่อไปไม่ได้อีกแล้วนั่นแหละ”
เมื่อได้ยินดังนั้น ต๋าก็พลันเบิกบานใจ “แต่การที่พ่อใช้วิธีนี้ทดสอบเขาจะไม่เป็นการเสียเงินมากเกินไปหรอกเหรอ?”
ซางคุนหัวเราะ “แกคิดว่านั่นเป็นของจริงรึไง?”
ต๋าพลันตกตะลึง ก่อนจะรีบประสานมือโค้งคำนับซางคุน “ลูกชายยังมีเรื่องอีกมากมายนักที่ต้องเรียนรู้จากพ่อ!”
ซางคุนหัวเราะออกมาเสียงดัง “จริงอยู่ที่เยี่ยนเปียวเป็นลูกค้าคนสำคัญ แต่เขาก็เป็นศัตรูตัวฉกาจของเราเช่นกัน หากฉีเป็นสายลับจริง ๆ การใช้สินค้าปลอมจำนวนมากเพื่อจัดการคนสองคนในเวลาเดียวกัน นั่นถือเป็นการซื้อขายที่คุ้มค่าอย่างยิ่งสำหรับเราแล้ว”
เขามองไปยังลูกชายของตน “ต๋า แกเองมีความกล้า แต่สิ่งที่แกยังขาดคือกลยุทธ์ จำไว้ว่าอย่าโลภ อย่าก้าวไปข้างหน้าโดยไม่ดูตาม้าตาเรือ”
ต๋าโค้งคำนับด้วยความเคารพอีกครั้ง “ลูกชายคนนี้จะไม่ทำให้พ่อผิดหวังครับ!”
หน้าประตูอาคารไม้ไผ่ มีสาวสวยคนหนึ่งยืนอยู่พลางเบิกตากว้างทันทีที่ได้ยินการสนทนาระหว่างพ่อลูกที่อยู่ข้างใน
เธอหันหลังอย่างรวดเร็วและค่อย ๆ ก้าวเท้าลงบันได
ขณะที่เธอเดินผ่านทหารยามคนหนึ่ง ก็พลันเอ่ยขึ้น “ฉันเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ามีงานสำคัญที่ต้องไปจัดการ ไว้จะเข้ามาพบคุณพ่ออีกครั้งแล้วกัน หากคุณพ่อเอ่ยถามถึง ก็ไม่ต้องบอกท่านว่าฉันมานะ”
ถ่าลี่ เป็นลูกสาวบุญธรรมของซางคุน และซางคุนก็รักเธอสุดหัวใจ ดังนั้นปกติแล้ว ทหารยามจึงไม่สงสัยในถ้อยคำของเธอเลยแม้แต่น้อย เพียงกล่าวตอบว่า “ครับ คุณหนูถ่าลี่”
ถ่าลี่ก้าวเดินวนไปมาราวหนูติดจั่นอยู่ที่ชั้นล่างของอาคารไม้ไผ่อย่างกระวนกระวายใจ
เธอคิดว่าซางคุนชอบฉีจิ่นจือจริง ๆ และนั่นเป็นสาเหตุที่เขามอบหมายงานสำคัญให้ชายหนุ่ม แต่กลับกลายเป็นว่าทุกอย่างเป็นเพียงการทดสอบ
เช่นนั้นแล้วฉีจิ่นจือเป็นสายลับจริง ๆ เหรอ?
ในใจของเธอ ฉีจิ่นจือนั้นแตกต่างจากผู้ชายที่นี่มาก เขาไม่กระหายเลือด เขาไม่หลงระเริงกับเรื่องผู้หญิง ยิ่งไปกว่านั้นเขาไม่เคยจ้องมองหน้าอกหรือบั้นท้ายของเธอตาเป็นมันเหมือนคนอื่น
เมื่อครั้งที่ต๋าทำตัวรุ่มร่ามกับเธอ เขาก็เป็นคนยื่นมือเข้ามาช่วย
เธอค่อย ๆ เริ่มสนใจชายจากประเทศจีนคนนี้ทีละน้อย จากนั้นจึงแสดงออกถึงความรู้สึกชอบพอต่อเขา แต่ถูกชายหนุ่มปฏิเสธทั้งหมด
ทว่ายิ่งเป็นแบบนี้ ความปรารถนาที่จะพิชิตใจชายหนุ่มของถ่าลี่ก็ถูกปลุกเร้ามากขึ้น
เธอไม่เชื่อหรอกว่าจะมีผู้ชายคนไหนที่จะไม่หมอบราบคาบอยู่ใต้กระโปรงของสตรีเพศอย่างเธอ
แต่ตอนนี้สิ่งที่เพิ่งได้ยินมาทำให้หญิงสาวลังเล
เธอควรบอกฉีจิ่นจือถึงเรื่องนี้ไหม?
หากเขาเป็นสายลับจริง ๆ ก็เท่ากับว่าเธอคือคนที่ทรยศต่อพ่อบุญธรรมของตัวเอง
แต่หากเธอไม่พูด เธอย่อมไม่อาจอดรนทนเห็นผู้ชายที่เธอรักตายไปแบบนี้ได้เช่นกัน
หลังจากครุ่นคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถ่าลี่ก็หันเท้าของเธอและมุ่งหน้าไปยังทิศทางหนึ่งทันที