กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี - บทที่ 579 คนที่เขาชอบมาตลอดก็คือคุณ
บทที่ 579 คนที่เขาชอบมาตลอดก็คือคุณ
ตามคำสั่งของซางคุน ลูกน้องคนหนึ่งของเขาเข้ายึดหางเสือ ในขณะที่อีกสองคนหันปลายกระบอกปืนไปยังฉีจิ่นจือ
ฉีจิ่นจือเฝ้าดูเรือของซางคุนค่อย ๆ แล่นออกจากฝั่ง แล้วหลับตาลงอย่างว่าง่าย ปล่อยให้เป็นไปตามโชคชะตา
เขาไม่สามารถถ่วงเวลาเพื่อรอการมาถึงของตำรวจได้ และสุดท้ายก็จำต้องปล่อยซางคุนไป…น่าเสียใจจริง ๆ
อาจารย์ ศิษย์น้อง และ… ศิษย์น้องหญิง ลาก่อน
ชาติหน้า ขอให้ผมเป็นคนดีตั้งแต่ลืมตาดูโลกด้วยเถอะ
ปัง! ปัง! ปัง!
ปัง! ปัง!
เมื่อเสียงปืนหลายนัดดังขึ้น ความเจ็บปวดที่คาดการณ์เอาไว้กลับไม่เกิดขึ้น กลิ่นจาง ๆ ที่คุ้นเคยยังคงอยู่ที่ปลายจมูกของเขา ก่อนที่ดวงตาของฉีจิ่นจือจะเบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนก
ม่านตาของเขาเบิกกว้างขึ้นอย่างฉับพลัน ดวงตาของเขาฉายชัดถึงความเสียใจอย่างสุดซึ้ง “ชุนไจ่!”
ฟู่ชุนไจ่ตื่นขึ้นมาตอนไหนไม่อาจทราบ เขาตามมาจนพบฉีจิ่นจือ และไม่ลังเลที่จะพุ่งตัวเข้ามาบังฉีจิ่นจือในตอนที่เสียงปืนดังขึ้น
เลือดไหลออกมาจากมุมปากของเขา เขามีเวลาพอแค่เพียงยกยิ้มให้ฉีจิ่นจือจาง ๆ ก่อนที่เสียงปืนจะดังขึ้นอีกครั้ง
ปรากฎว่าคนของซางคุนเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น จึงรัวกระสุนปืมเพิ่มอีกสองสามนัดทันที
ฟู่ชุนไจ่ปกป้องฉีจิ่นจือไว้แน่นในอ้อมแขนของเขา โดยใช้ไหล่ที่ไม่กว้างมากนักเพื่อปกป้องชายหนุ่มจากกระสุนปืนจากด้านหลัง
ฉีจิ่นจือนั้นราวกับบ้าคลั่งไปแล้ว เขาพยายามดิ้นรนและตะโกนว่า “ชุนไจ่! ปล่อยฉัน! นายรีบหนีไปเร็ว ๆ! ไปซะ!”
ทว่าคำตอบที่เขาได้รับคืออ้อมกอดของฟู่ชุนไจ่ที่แน่นขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นการแสดงความตั้งใจผ่านการกระทำ
หัวใจของฉีจิ่นจือเจ็บปวดราวกับถูกมีดกรีด ด้วยการพยายามดิ้นรนอย่างสุดแรง ทำให้เชือกสีแดงจะครูดถูไปกับผิวหนังของเขาจนมีเลือดไหลซึม แต่เขาก็ไม่สามารถผลักฟู่ชุนไจ่ให้ออกไปได้แม้แต่น้อย
ทันใดนั้นก็มีเสียงปืนดังขึ้นอีกหลายนัด และนั่นคือเวลาที่กำลังเสริมมาถึง
เป็นเวลาเดียวกับที่อ้อมกอดของฟู่ชุนไจ่นั้นค่อย ๆ อ่อนแรงลงเรื่อย ๆ กระทั่งเขาล้มลงต่อหน้าฉีจิ่นจือ
เขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า เลือดไหลออกมาจากปาก ทำให้คาง คอ และปกเสื้อของเขาเป็นสีแดงฉาน
ตอนนั้นเองที่ฉีจิ่นจือตระหนักได้ว่าน้ำตาลูกผู้ชายของตนไหลพรั่งพราวดั่งสายฝน
เขาตะโกนว่า “ชุนไจ่! นายไม่ได้รับอนุญาตให้ตาย!”
ฟู่ชุนไจ่กระอักเลือดออกมาอีกครั้ง “ลูกพี่… แค่ก แค่ก…”
ตำรวจเข้ามาช่วยแก้มัดฉีจิ่นจือออกจากต้นไม้ พร้อมเอ่ยว่า “ลำบากพวกคุณแล้ว ซ่อนตัวให้ดีนะครับ” จากนั้นพวกเขาก็กลับเข้าสู่การต่อสู้ที่ยังไม่สิ้นสุด
ฉีจิ่นจือกลิ้งตัวและคลานมาหาฟู่ชุนไจ่ คุกเข่าลงแล้วโอบกอดเขาไว้ ลูบผิวหนังของเขาที่สูญเสียความอบอุ่นของอุณภูมิร่างกายไป พยายามถูมันให้เขาอย่างต่อเนื่อง “ชุนไจ่ อดทนไว้ก่อน อย่าหลับนะ!”
เปลือกตาของฟู่ชุนไจ่ปิดแล้วเปิดขึ้นอีกครั้ง รูม่านตาของเขาเริ่มสูญเสียการมองเห็น
สีหน้าของเขาเผยให้เห็นความเปราะบางอ่อนแอที่มีแต่ในวัยเยาว์ “ลูกพี่ ผมคิดถึงแม่จังเลย”
แตกต่างจากฉีจิ่นจือตรงที่ ในเวลานั้นน้องสาวของฟู่ชุนไจ่ป่วยหนัก พ่อแม่ของเขาไม่มีเงิน จึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากขายเขาให้กับครอบครัวที่มีฐานะร่ำรวยพร้อมสัญญาว่าอีกสองปีจะมาไถ่ตัวเขากลับไปอย่างแน่นอน
จริงอยู่ที่ครอบครัวนี้ร่ำรวยมาก ทว่าก็เป็นความจริงเช่นกันที่พวกเขาปฏิบัติต่อเด็กอย่างโหคดร้ายทารุณ
ในตอนที่ฟู่ชุนไจ่อยู่ในครอบครัวนั้น มีบ่อยครั้งที่เขามีข้าวกินมื้อนี้แต่ไม่รู้ว่ามื้อหน้าจะได้กินไหม ทั้งยังถูกทารุณทุบตี เขาจึงหลบหนีออกมา
เขาไม่กล้ากลับไปหาพ่อแม่เพราะกลัวว่าครอบครัวนั้นจะไปคิดบัญชีเอาคืนกับพวกท่าน ดังนั้นเขาจึงเตร็ดเตร่พเนจรไปทั่วด้วยตัวเอง ก่อนที่ต่อมาจะถูกลูกพี่เตาปาเก็บมาและได้พบกับฉีจิ่นจือ
เมื่อเขาติดตามฉีจิ่นจือหลังจากรอดพ้นเงื้อมมือของลูกพี่เตาปาแล้ว ฟู่ชุนไจ่จึงไปตามหาพ่อแม่ของเขา
ในเวลานั้น บิดาของเขาซึ่งทำงานอย่างหนักเพื่อหาเงินมาไถ่ตัวเขา ได้เสียชีวิตลงเพราะร่างกายเหนื่อยล้าเกินในบ้านที่เขาไปทำงานในปีถัดมาหลังจากที่ชายหนุ่มถูกขายไป อีกฝ่ายจ่ายเงินให้เรื่องนี้หนึ่งหยวน แล้วรีบเร่งไล่พวกท่านออก
ส่วนมารดาของเขารู้ว่าลูกชายได้ติดตามคนไปอยู่ในโลกใต้ดิน จะเป็นตายก็ไม่คิดยอมรับเขาอีก ทั้งยังก่นด่าเขาว่า “หากเรารู้ว่าแกจะเรียนรู้สิ่งไม่ดีแล้วกลายเป็นคนเลว พ่อของแกก็ไม่ควรยอมสละชีวิตตัวเองเพื่อไถ่แกเลย!”
ฟู่ชุนไจ่เองไม่ได้ฝืนใจผู้เป็นแม่ เขาทิ้งเงินหลายสิบหยวนที่เขาหามาได้แล้วจากไป
ฉีจิ่นจือรู้ว่าตลอดหลายปีที่ผ่านมาฟู่ชุนไจ่คิดถึงแม่ของเขา ครั้งตอนที่อยู่ในเมืองกว่างโจ่ว ชายหนุ่มยังเก็บสลักกุญแจทองแดงอันเป็นสิ่งของจากวัยเยาว์ไว้ก้นกล่อง
เมื่อฉีจิ่นจือได้ยินถ้อยคำของฟู่ชุนไจ่ ก็พลันหลั่งน้ำตาอาบหน้าของอีกฝ่าย และน้ำตานั้นก็ผสมไปกับเลือดของเขาที่ไหลออกมา
เขาเอ่ยอย่างสะอึกสะอื้น “ได้ ฉันจะพานายไปหาแม่ ฉันจะพานายไปหาแม่เดี๋ยวนี้เลย!”
ฟู่ชุนไจ่เงยหน้าขึ้นมองท้องนภา เขาพลันรู้สึกว่าท้องฟ้าก็มีสีแดงแต่งแต้มอยู่เช่นกัน
ชายหนุ่มเอื้อมมือไปเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้าของฉีจิ่นจือ แต่เพิ่งตระหนักได้ว่าตนไม่มีเรี่ยวแรงเหลืออีกแล้ว
เขาพูดอย่างอ่อนแรงว่า “ลูกพี่ มีบางอย่างที่ผมไม่ได้บอกพี่ ชั่วชีวิตนี้ของผม… มีเพียงสิ่งเดียวที่ผมซ่อนเอาไว้จากลูกพี่”
“ตอนที่เข้าไปในเมือง ผมเจอ…หรูฮวา แต่เธอบอกว่า…เธอแต่งงานแล้ว แต่มันไม่สำคัญหรอกว่าเธอจะ……แต่งงานแล้ว พี่ลูกพี่ของเราทั้งหล่อเหลาเก่งกาจ… ย่อมคว้าเธอกลับมาได้ในทุกนาที”
“เมื่อถึงเวลานั้น… ก็จะมีลูกที่จ้ำม่ำอวบอ้วน หากเป็นไปได้… ช่วยอุ้มเขาไปที่หลุมศพของผม… ให้ผมได้เห็นเขาสักหน่อยนะ”
ฟู่ชุนไจ่หอบหายใจอย่างแรง ดวงตาสูญเสียการมองเห็นครั้งสุดท้าย “หากว่าได้พบเจอ… แม่ของผม ช่วยบอกเธอว่า… ผมไม่ได้เป็น… คนเลว”
“ลูกพี่ ชีวิตนี้… ที่ได้ติดตามพี่… ผมไม่เสียใจเลย”
เอ่ยจบ หน้าอกของเขาก็ไม่ขยับขึ้นลงอีกต่อไปแล้ว
ดวงตาของเขายังคงมองดูท้องนภาสีฟ้าสดใส ราวกับเป็นแสงสว่างที่เขาโหยหาในบั้นปลายของชีวิต
หัวใจของฉีจิ่นจือแทบขาดวิ่น เขาตะโกนว่า “ชุนไจ่!!!”
ด้วยความเจ็บปวดรุนแรงในหัวใจ ทำให้เขากระอักเลือดออกมา แล้วหมดสติไป
…
ฉีจิ่นจือนอนอยู่ในห้องสังเกตการณ์ผู้ป่วยหนักของอำเภอรุ่ยมานานกว่าสองเดือนแล้ว
เขาอยู่ในอาการโคม่าเนื่องจากอาการบาดเจ็บสาหัส
เซี่ยชิงหยวนเดินเคียงข้างมากับเสิ่นอี้โจว พร้อมตะกร้าในมือ
ฉีหยวนซานนั่งอยู่ข้างเตียงผู้ป่วย จากเดิมที่มีเพียงจอนผมหงอกขาว ทว่าในเวลานี้ผมหงอกขาวนั้นกลับปกคลุมไปทั่วศีรษะ
เขาได้ยินเสียงฝีเท้าจึงหันมองไป และเมื่อเห็นว่าเป็นทั้งสองคน เขาก็พยักหน้าทักทาย
เซี่ยชิงหยวนและเสิ่นอี้โจวเอ่ยเรียกเขาเบา ๆ “ผู้อำนวยการฉี”
ฉีหยวนซานลุกขึ้นยืน “พวกคุณคุยกับเขาสักพักเถอะ ผมขออกไปข้างนอกสักหน่อย”
เอ่ยจบ เขาก็พยุงตัวลุกขึ้นด้วยไม้เท้า ก่อนจะเดินออกไปอย่างสั่นเทาอยู่เล็กน้อย
ขณะที่เขาเดินผ่านเซี่ยชิงหยวน เขาพลันเอ่ยขึ้น “คุณนายเสิ่น หากคุณไม่รังเกียจ ผมอยากจะขอคุยกับคุณหน่อย”
เซี่ยชิงหยวนและเสิ่นอี้โจวมองตากัน ก่อนหญิงสาวจะตามเขาออกไป
ฉีหยวนซานยืนอยู่บนทางเดินที่ว่างเปล่า พลางมองทิวทัศน์นอกหน้าต่าง และเมื่อรู้สึกได้ว่าเซี่ยชิงหยวนยืนอยู่ข้างเขา ก็เอ่ยด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “มาจนถึงตอนนี้ ผมเพิ่งตระหนักได้ว่าเป็นผมที่คิดฟุ้งซ่านไปเอง”
เขาหันกลับมา พลางมองไปยังเซี่ยชิงหยวนด้วยแววตาสดใส “ที่แท้ คนที่เขาชอบมาตลอดก็คือคุณ”