กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี - บทที่ 580 พวกเขาคือวีรบุรุษของเรา
บทที่ 580 พวกเขาคือวีรบุรุษของเรา
ถ้อยคำของฉีหยวนซานเป็นสิ่งที่เซี่ยชิงหยวนคาดไม่ถึงโดยสิ้นเชิง
เขาพูดว่าอะไรนะ?
ฉีจิ่นจือชอบเธองั้นเหรอ?
ชอบมาโดยตลอด?
จะเป็นไปได้ยังไง?
เซี่ยชิงหยวนไม่ทันได้เตรียมใจ ทำให้สีหน้าตกตะลึงซึ่งฉายชัดบนใบหน้าของเธอชั่วขณะหนึ่งนั้นสายเกินไปที่จะซ่อน ดังนั้นมันจึงตกอยู่ภายใต้สายตาของฉีหยวนซาน
ปฏิกิริยาของเธอเป็นสิ่งที่ฉีหยวนซานคาดการณ์ไว้แล้ว
เขาพูดออกมาไม่ได้ว่ารู้สึกอย่างไรที่ลูกชายปกป้องผู้หญิงด้วยวิธีแบบนี้
เขาส่งเสียงในลำคอเสียงเย็น ก่อนเอ่ยว่า “เขาเป็นพวกที่เมื่อได้หลงรักแล้วก็รักจนโงหัวไม่ขึ้น”
“ผมสงสัยมาอย่างยาวนานว่าเขามีคบชู้อะไรทำนองนั้นกับเสิ่นอี้โจว ผมพูดคุยกับเขาเรื่องนี้อยู่หลายครั้ง ซึ่งเขาก็ไม่ได้ปฏิเสธโดยตรง”
“แต่ผมไม่เคยคิดเลยว่าการที่เขาทำให้ผมสับสนแบบนี้ก็เพียงเพื่อปกป้องคุณ”
เขามองเซี่ยชิงหยวนตั้งแต่หัวจรดเท้า พลางกล่าว ”ดูดีมากทีเดียว แต่น่าเสียดายที่บุคลิกลักษณะแข็งแกร่งไปเสียหน่อย ไม่ตรงตามเงื่อนไขในการเป็นลูกสะใภ้ตระกูลฉีของผมเลยสักนิด”
“แต่หากเขาชอบคุณจริง ๆ ผมก็จะไม่คัดค้าน”
“ผมรับรองกับคุณได้เลยว่าหากคุณแต่งงานเข้าตระกูลฉีของเรา ชีวิตในอนาคตของคุณจะไม่ด้อยไปกว่าการติดตามเสิ่นอี้โจวอย่างแน่นอน”
ในความเห็นของฉีหยวนซาน เป็นไปได้ที่จู่ ๆ ฉีจิ่นจือก็ได้เลือกเดินบนเส้นทางการเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจปราบปรามยาเสพติดนั้นเป็นเพราะรักไร้วาสนา ไม่อาจเคียงคู่กับเซี่ยชิงหยวนได้
มาตอนนี้ฉีจิ่นจือนอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยในโรงพยาบาล จะเป็นหรือตายก็ยังไม่แน่ชัด ตนในฐานะพ่อต้องทำอย่างนี้เพราะบางทีอาจเป็นหนทางเดียวที่เหลืออยู่ที่จะเติมเต็มความปรารถนาของลูกชายได้
ก็แค่ผู้หญิงคนหนึ่ง ไหนเลยจะมีความสำคัญเท่ากับลูกชายคนเดียวของเขาได้ยังไง?
ขอเพียงแค่เขาฟื้นขึ้นมา แล้ว… ยกโทษให้ตนก็พอ
เซี่ยชิงหยวนอดไม่ได้ที่หัวเราะด้วยความโมโหกับคำพูดของฉีหยวนซาน
หญิงสาวเอ่ยว่า “ผู้อำนวยการฉีคะ ฉันไม่รู้ว่าคุณกำลังพูดถึงอะไร ฉีจิ่นจือกับฉันมีมิตรภาพอันดีต่อกันมาโดยตลอด ไม่เคยมีคำพูดหรือการกระทำใด ๆ ที่เกินเลยไม่เหมาะสม ฉันไม่ทราบจริง ๆ ว่าอะไรทำให้คุณคิดแบบนี้ หากมีสิ่งใดที่เข้าใจผิด ฉันคิดว่าฉันสามารถอธิบายได้ค่ะ”
ฉีหยวนซานสบเข้าที่ดวงตาสุกใสของเซี่ยชิงหยวน การแสดงออกของเธอมีนัยยะของการเหน็บแนม ซ้ำยังดูไม่เหมือนว่าเธอแสร้งทำเป็นไร้เดียงสาเลยแม้แต่น้อย
เขาอดไม่ได้ที่กุมหน้าผากของตัวเองอีกครั้ง
สรุปแล้วคือไม่ใช่รักที่ไม่อาจครองคู่ แต่เป็นรักข้างเดียวอย่างนั้นเหรอ?
เขาหยิบบางอย่างออกมาจากกระเป๋า แล้วโยนมันเข้าที่อ้อมแขนของเซี่ยชิงหยวนโดยตรง “คุณดูเอาเองแล้วกัน”
เซี่ยชิงหยวนหยิบสิ่งที่ฉีหยวนซานโยนใส่เธอขึ้นมา พบว่าเป็นผ้าผืนหนึ่งซึ่งดูคุ้นตา ทว่าถูกย้อมไปด้วยคราบเลือดแห่งกรังสีแดงเข้ม
หญิงสาวค่อย ๆ คลี่ผ้าผืนนี้ออกดูอีกครั้ง แล้วจึงเห็นว่าอันที่จริงมันคือผ้าพันคอผ้าไหม ซึ่งถูกย้อมเป็นสีแดงด้วยเลือด และผ้าเช็ดหน้าปักลายดอกฟู่หลาง!
ของทั้งสองสิ่งนี้เป็นของเธอ
มือของเซี่ยชิงหยวนซึ่งจับผ้าทั้งสองผืนอยู่เริ่มสั่นเทาจนแทบจะไม่สามารถจับสิ่งของอันเบาและนุ่มในมือของเธอไว้ได้
เป็นไปได้ยังไงกัน?
เมื่อฉีหยวนซานเห็นสีหน้าตกตะลึงของเซี่ยชิงหยวน ในใจของเขารู้สึกพอใจไม่น้อย แล้วเอ่ยขึ้นว่า “ผ้าพันคอผ้าไหมผืนนี้ เป็นผ้าพันคอที่คุณผูกแล้วแก้ออกมาเพื่อผูกห้ามเลือดให้จื่นจือเมื่อครั้งที่คุณออกไปท่องเที่ยวแถบชานเมืองใช่ไหม?”
“ส่วนผ้าเช็ดหน้านั่น หากผมเดาไม่ผิดก็คงจะเป็นของคุณอีกเหมือนกัน ท้ายที่สุดแล้ว มีใครในละแวกบ้านไม่รู้บ้างว่าคุณนายเสิ่นชอบดอกฟู่หลาง ไม่ว่าจะในลานบ้านของตัวเอง หรือทางเข้าร้านขายเสื้อผ้าทุกแห่งก็ปลูกต้นฟู่หลางไว้ทั้งนั้น”
เขามองไปยังเซี่ยชิงหยวนด้วยสายตาพินิจพิเคราะห์ “ในช่วงสองปีที่เขาจากไป เขาเก็บสองสิ่งนี้ไว้กับตัวเสมอ ไม่เคยให้ห่างกายแม้แต่วินาทีเดียว อย่างนั้นแล้วคุณช่วยอธิบายให้ผมฟังหน่อยสิว่ามีเหตุผลอื่นใดอีกที่ทำให้เขาดูแลสิ่งของของผู้หญิงคนหนึ่งแบบนั้น”
เมื่อได้ฟังวาจาของฉีหยวนซาน เซี่ยชิงหยวนรู้สึกเพียงว่าหูของเธออื้ออึง พร้อมกับสมองอันเชือนชา ครู่หนึ่ง หญิงสาวไม่รู้ว่าจะคิดยังไง
เธออ้าปากปิดปากอยยู่หลายครั้ง ทว่ากลับไม่สามารถพูดออกมาได้ครบเป็นประโยค
เธอคิดว่าตัวเองก็ต้องการคำอธิบายจากฉีจิ่นจือเช่นกัน
“ผู้อำนวยการฉี ผมไม่คิดว่าคุณควรถามภรรยาของผมเกี่ยวกับเรื่องนี้นะครับ”
ในขณะที่เซี่ยชิงหยวนตระหนกจนไม่รู้จะวางมือไม้ไว้ตรงไหน ทันใดนั้นเสิ่นอี้โจวก็ปรากฏตัวขึ้นที่ประตูทางเข้าหอผู้ป่วย
เขาก้าวขายาว ๆ เพียงสองสามก้าวก็มายืนเคียงข้างเซี่ยชิงหยวน แล้วโอบแขนของเขาไว้รอบเอวบางของผู้เป็นภรรยา เพื่อให้เธอมีแรงในการพยุงร่างกายของตัวเอง
ฉีหยวนซานเผยยิ้ม “ผู้อำนวยการเสิ่น ดูเหมือนว่าคุณจะรู้เรื่องนี้มานานแล้วนะ?”
พอได้ยินดังนั้น เซี่ยชิงหยวนพลันเงยหน้าขึ้นมองเสิ่นอี้โจวทันที
เสิ่นอี้โจวยกยิ้มเพื่อปลอบโยนเซี่ยชิงหยวนก่อน แล้วจึงเอ่ยกับฉีหยวนซาน “รู้นี่หมายถึงอะไรเหรอครับ? แล้วไม่รู้หมายถึงอะไร? หากผู้อำนวยการฉีหมายถึงการที่ได้ยินถ้อยคำจากปากของคุณเสี่ยวฉี เช่นนั้นผมย่อมไม่รู้ครับ”
“ผมเพียงคิดว่าทุกคนมีสิทธิ์ที่จะชื่นชมสิ่งสวยงาม รวมถึงผู้คนที่งดงามด้วย แม้คนที่ว่านั้นจะเป็นภรรยาของผมก็ตาม ตราบใดที่อีกฝ่ายแสดงออกตามอารมณ์และหยุดตามสมควร ผมเองจะมีสิทธิ์อะไรไปห้ามปราบล่ะครับ?”
มุมปากยกยิ้มจาง ๆ น้ำเสียงของเขาสงบสุขุม นัยน์ตาเปี่ยมด้วยความหนักแน่นมั่นคง ราวกับนักปราชญ์ผู้ปลงตก เห็นโลกตามความเป็นจริง ไม่มีท่าทีของสามีผู้หึงหวงเลย
ไม่ใช่แค่ฉีหยวนซาน แม้แต่เซี่ยชิงหยวนเองก็ยังตกตะลึง
เธอรู้ดีอยู่แล้วว่าเขาจะคอยเอ็นดูเอาใจและให้อภัยเธอเป็นพิเศษในชีวิตนี้ แต่ไม่คิดว่าในด้านนี้ที่ผู้ชายส่วนใหญ่มักหลีกเลี่ยง เขากลับเชื่อใจและสงบสติอารมณ์ของตัวเองได้มากถึงเพียงนี้
เธอรู้สึกว่าได้ว่ามือของตัวเองถูกจับไว้แน่นโดยฝ่ามือที่ใหญ่แสนอบอุ่น เป็นมือขนาดใหญ่ที่คอยมอบความรักและความแข็งแกร่งให้กับเธอในช่วงเวลาที่ทำอะไรไม่ถูกหรือสับสนนับครั้งไม่ถ้วน
ดวงตาของหญิงสาวพลันแดงก่ำขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่เธอจะเอ่ยเรียกออกมาด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “อี้โจว”
เสิ่นอี้โจวก้มศีรษะลงแล้วตอบเธอว่า “ผมอยู่นี่แล้ว”
ตราบใดที่ผมอยู่นี่ ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถมารังแกคุณได้ทั้งนั้น
แม้ว่าคุณจะเป็นฝ่ายผิดก็ตาม
เมื่อเห็นปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนทั้งสอง ฉีหยวนชานก็รู้ว่าการพยายามยุแยงตะแคงรั่วของเขาในวันนี้นั้นล้มเหลว
เขากล่าวโดยปราศจากความโกรธและไร้รอยยิ้มว่า “ความใจกว้างของผู้อำนวยการเสิ่นน่าชื่นชมมาก”
เอ่ยจบ ก็สะบัดแขนเสื้อจากไป
เสิ่นอี้โจวมองไปยังแผ่นหลังของฉีหยวนซานขณะที่เขาเดินจากไป แล้วเอ่ยกับเซี่ยชิงหยวน “เข้าไปคุยกับเขาสิ เดี๋ยวผมรอคุณข้างนอกนะ”
“อี้โจว?” เซี่ยชิงหยวนลังเลเล็กน้อย
หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ หากเป็นเรื่องจริง เธอเองก็ไม่รู้ว่าจะปฏิบัติต่อฉีจิ่นจืออย่างไรไปสักพัก
เสิ่นอี้โจวระบายยิ้ม “หมอบอกว่าในช่วงนี้ ศิษย์พี่ใหญ่ต้องการกำลังใจจากคนรอบข้างเพื่อให้เขาฟื้นขึ้นมา”
เขาลูบปอยผมของเธอ “ไปเถอะ”
เมื่อเซี่ยชิงหยวนได้ยินคำว่า ‘ศิษย์พี่ใหญ่’ รอยยิ้มที่สดใสก็ปรากฏบนใบหน้าของเธอ
เธอพยักหน้า “ค่ะ รอฉันนะ”
เอ่ยจบ หญิงสาวก็เดินเข้าไปในห้องพักผู้ป่วยเบา ๆ
ฉีจิ่นจือนอนนิ่งอยู่บนเตียงผู้ป่วย ใบหน้าของเขาขาวซีด แก้มตอบลง ดูราวกับว่าเขาหลับอยู่เท่านั้น
เซี่ยชิงหยวนคิดกับตัวเองว่าครั้งสุดท้ายที่เธอเดินเข้าห้องผู้ป่วยวิกฤตคือเมื่อครั้งที่เสิ่นอี้โจวเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล
เธอดึงเก้าอี้ข้างเตียงออกมาแล้วนั่งลง มองดูใบหน้าหล่อเหลาของฉีจิ่นจือซึ่งได้รับการดูแลอย่างดี แล้วเอ่ยออกมาว่า “ศิษย์พี่ใหญ่”
เธอวางผ้าพันคอและผ้าเช็ดหน้าที่ฉีหยวนซานโยนให้เธอเมื่อครู่กลับคืนสู่มือของเขา ช่วยให้เขาจับมันไว้ก่อนกล่าวต่อ “ตำรวจได้ช่วยตามหาร่างของถ่าลี่ ทำการเผาศพ และส่งเถ้ากระดูกกลับไปยังบ้านเกิดของเธอแล้วนะคะ”
“ส่วนชุนไจ่นั้นถูกฝังอยู่ในสุสานวีรบุรุษผู้สละชีพเพื่อชาติ สำหรับทั้งคู่ นี่ถือว่าเป็นการเติมเต็มสิ่งที่พวกเขาปรารถนาแล้วล่ะ”
เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ ปลายจมูกของเซี่ยชิงหยวนก็พลันหน่วงขึ้นมา
อันที่จริง สิ่งที่เธอไม่ได้บอกฉีจิ่นจือก็คือตำรวจใช้เวลาสามวันเต็มเพื่อค้นหาศพของถ่าลี่
ร่างของเธอส่วนใหญ่ถูกพบอยู่ในกรงสิงโต โดยมีบางส่วนกระจัดกระจายอยู่ใต้อาคารไม้ไผ่ในฐานที่มั่น
ในตอนที่ไปพบ สิ่งที่เหลืออยู่คือโครงกระดูก พร้อมศีรษะที่ถูกแทะไปกว่าครึ่ง
ส่วนฟู่ชุนไจ่ ในตอนที่ตำรวจส่งตัวเขากลับ ตัวของชายหนุ่มแข็งทื่อ ยังอยู่ในท่ากอด ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยรูกระสุน ร่างของเขาบอบช้ำจนกลายเป็นตะแกรงที่มีรูพรุน
เธอสะอึกสะอื้นพลางเอ่ย “พวกเขาคือวีรบุรุษของเรา”