กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี - บทที่ 586 ขอให้มีแสงสว่างในหัวใจที่เพียงพอให้หัวใจของเขาอบอุ่น (จบ)
- Home
- กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี
- บทที่ 586 ขอให้มีแสงสว่างในหัวใจที่เพียงพอให้หัวใจของเขาอบอุ่น (จบ)
บทที่ 586 ขอให้มีแสงสว่างในหัวใจที่เพียงพอให้หัวใจของเขาอบอุ่น (จบ)
ตงวั่งชุนเพิ่งล่วงหน้าไปเมื่อครู่ แล้วตำรวจก็ตามมา ดูแล้วบังเอิญเกินไปเสียหน่อย
เซี่ยชิงหยวนคิดย้อนกลับไปถึงสีหน้าท่าทีของเสิ่นอี้โจวแล้วก็ค่อย ๆ เข้าใจความหมายที่แท้จริง
ดูเหมือนว่าเซี่ยจื่ออี้รู้ว่าไป๋อวิ๋นหลี่หมดอำนาจในมือแล้ว จึงต้องการใช้เขาเป็นตัวเลือกสุดท้ายเพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการแยกเซี่ยเจิ้งออกจากตงวั่งชุน แล้วตนนั้นจะได้กลับไปเป็นลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของผู้เป็นพ่อ
ทว่าน่าเสียดาย เซี่ยจื่ออี้เป็นคนฉลาดที่กลับตกเป็นเหยื่อความฉลาดของตนเอง
การที่เธอทำเช่นนี้ก็รังแต่จะทำให้เซี่ยเจิ้งผิดหวังในตัวเธอมากขึ้นเท่านั้น
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าตงวั่งชุนใช้วิธีใดในการทำให้เซี่ยเจิ้งช่วยกำจัดพ่อบุญธรรมของเธอ แต่เพราะเซี่ยเจิ้งเลือกที่จะยอมรับหญิงสาวแม้ว่าจะรู้ถึงอดีตของเธอแล้ว ด้วยเหตุนี้ เซี่ยจื่ออี้ย่อมไม่อาจทำลายงานแต่งงานของพวกเขาได้โดยง่าย
การที่ตำรวจมาถึงหลังตงวั่งชุนเพียงหนึ่งก้าวนั้น ไม่แน่ว่าอาจเป็นน้ำใจที่เสิ่นอี้โจวตั้งใจให้กับเซี่ยเจิ้ง ซึ่งบังเอิญว่าเซี่ยเจิ้งเองก็เต็มใจที่จะยอมรับความช่วยเหลือนี้
เห็นทีว่าตงวั่งชุนคงจะสะสมความโชคดีมาหลายชาติจริง ๆ จึงทำให้ได้มาพบกับเซี่ยเจิ้ง
ริมฝีปากของเซี่ยชิงหยวนพลันกระตุกขึ้นเบา ๆ “มีเรื่องสนุก ๆ ให้ชมแล้วค่ะ”
เฟิงหว่านรู้สึกงุนงง “คุณหมายถึงเซี่ยจื่ออี้และตงวั่งชุนงั้นเหรอ?”
เธอเบื่อที่จะดูละครที่พวกเธอสองคนแสดงในลานบ้านแบบวันเว้นวันนี่เสียเต็มกลืน
เซี่ยชิงหยวนเองไม่ได้ปฏิเสธ “ดูเถอะค่ะ”
เพียงสองนาทีต่อมา ก็มีเสียงตะโกนอย่างบ้าคลั่งดังลั่นออกมาจากบ้านของไป๋อวิ๋นหลี่ “พวกคุณจะมาจับกุมผมแบบนี้ไม่ได้! ผมต้องการพบกรรมการจิน!”
ระยะห่างระหว่างบ้านตระกูลเสิ่นและบ้านตระกูลไป๋นั้นอยู่ห่างกันเพียงสามสิบถึงสี่สิบเมตร เหตุการณ์วุ่นวายดังกล่าวทำให้แขกที่มาเฉลิมฉลองที่บ้านตระกูลเสิ่นอดรนทนไม่ไหวจนต้องออกมามองดู
ไม่นานนัก ไป๋อวิ๋นหลี่ก็ถูกตำรวจสองคนนำตัวไป
แก้มของเขาแดงก่ำอย่างผิดธรรมชาติ หนวดเครารกรุงรัง เสื้อผ้ายับยู่ยี่ เขาเดินโซซัดโซเซ ไร้ซึ่งความกระฉับกระเฉงและมีชีวิตชีวาดั่งเช่นที่ผ่านมา
ที่เดินตามเขาออกไปคือเซี่ยจื่ออี้ซึ่งมีนัยต์ตาแดงเรื่อ และตงวั่งชุนซึ่งมีสีหน้าผิดแปลกไป ไม่เป็นธรรมชาติ
เจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มผลักไป๋อวิ๋นหลี่ให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างเหยียดหยาม พร้อมเอ่ยว่า “นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว คุณยังหวังพึ่งพากรรมการจินอีกเรอะ? อย่าว่าแต่จะปกป้องใครเลย ตัวเขาเองยังเอาไม่รอด พวกคุณอาจารย์ลูกศิษย์ เตรียมตัวรอวันที่จะได้พบกันอีกครั้งในคุกเถอะ!”
เมื่อได้ยินถ้อยคำนั้น ใบหน้าของไป๋อวิ๋นหลี่ก็พลันซีดเผือดไร้สีเลือด
ดวงตาของเขาเบิกกว้างราวกับเป็นเรื่องยากมากที่จะยอมรับความจริงข้อนี้
ขณะที่เขาถูกพาไปที่รถ จู่ ๆ เขาก็สะดุ้งได้สติ
ชายหนุ่มหันกลับมาและคว้าตัวเซี่ยจื่ออี้ ซึ่งเดิมตามมาข้างหลังเอาไว้ แล้วเอ่ยขึ้นว่า “จื่ออี้ รีบกลับไปขอร้องผู้อำนวยการเซี่ยให้มาช่วยผมเร็ว!”
ในเวลานี้ เซี่ยจื่ออี้ต้องการเพียงขีดเส้นให้ชัดเจน ทั้งยังคาดหวังว่าเขาจะตายในคุก แล้วเธอจะช่วยเขาได้ยังไง?
แต่เนื่องจากมีผู้คนอยู่ในบริเวณนี้จำนวนไม่น้อย และไม่แน่ว่าเซี่ยเจิ้งอาจจะอยู่ท่ามกลางฝูงชนคอยเฝ้าดูเธอ หญิงสาวจึงไม่สามารถแตกคอกับเขาต่อหน้าทุกคนได้ เธอต้องปั้นภาพลักษณ์ของการเป็นเหยื่อขึ้นมา
ดังนั้นหญิงสาวจึงเริ่มจากการหลบไปอยู่ข้าง ๆ เจ้าหน้าที่ตำรวจก่อน จากนั้นจึงเอ่ยอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ ว่า “อวิ๋นหลี่ พ่อของฉันเป็นคนซื่อสัตย์สุจริตในหน้าที่การงานมาตลอดชีวิต ไม่มีทางที่เขาจะยอมช่วยเหลือคุณหรอกค่ะ หลังจากคุณเข้าไปอยู่ในคุกแล้ว ขอให้มุมานะเปลี่ยนแปลงตัวเอง และพยายามออกมาโดยเร็วเถอะนะ”
เธอเอ่ยพลางเช็ดน้ำตาที่ไม่มีอยู่จริงออกจากใบหน้าด้วยความโศกเศร้าที่เสแสร้งสร้างขึ้น
ท่าทางของเซี่ยจื่ออี้ทำให้ตงวั่งชุนซึ่งอยู่ข้าง ๆ พลันเกิดอาการคลื่นไส้
เมื่อครู่ หล่อนให้คนมาเรียกเธอไปหา โดยบอกว่าเป็นเรื่องของพ่อบุญธรรมของเธอ
ใครเลยจะรู้ว่าเมื่อเธอไปถึง หล่อนกลับพยายามวางยาและโยนเธอลงบนเตียงของไป๋อวิ๋นหลี่ซึ่งเมามาย
ช่างเป็นคนที่มีจิตใจเลวทรามต่ำช้าเสียจริง!
หากไม่ใช่เพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจเหล่านี้มาถึงทันเวลา เกรงว่าเธอคงจะต้องจบลงที่นี่แล้ว
เมื่อไป๋อวิ๋นหลี่ได้ยินเซี่ยจื่ออี๋พูดเช่นนี้ เขาก็โกรธมากจึงเตะเธอ “นังสารเลว! นังตัวซวย!”
“โอ๊ย!” เซี่ยจื่ออี้ร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด พร้อมฉวยโอกาสนี้ทรุดตัวล้มลงกับพื้น
ไป๋อวิ๋นหลี่นั้นต้องการเตะเธออีก แต่เขาถูกตำรวจดึงตัวเอาไว้
ชายหนุ่มก่นด่าสาปแช่งในใจ ขณะที่ถูกควบคุมตัวไปที่รถ โดยไม่ลืมที่จะข่มขู่เซี่ยจื่ออี้ “ถ้าแกไม่ไปหาเซี่ยเจิ้งนะ งั้นจะลองดูก็ได้!”
เซี่ยจื่ออี้ซึ่งนั่งบนพื้น หดคอด้วยความกลัวกับถ้อยคำนั้น
หางตาของเธอสังเกตเห็นว่าเซี่ยเจิ้งกำลังมาทางนี้ เธอจึงก้มศีรษะลงทันทีเพื่อเผยให้เห็นต้นคอและไหล่ที่ช้ำจากการถูกไป๋อวิ๋นหลี่ทำร้าย
ทว่าเซี่ยเจิ้งยืนอยู่ข้างหน้าเธอเพียงวินาทีเดียว ก่อนจะเดินผ่านไปแล้วหยุดอยู่ด้านหลังของเธอ
เธอได้ยินเซี่ยเจิ้งเอ่ยถามตงวั่งชุนว่า “เสี่ยวตง เธอเป็นอะไรรึเปล่า?”
ตงวั่งชุนทำแสร้งทำเป็นร้องไห้ทันที พลางส่ายหน้า “ฉันไม่เป็นอะไรค่ะ”
เธอหลุบมองเซี่ยจื่ออี้ “ก็แค่ จื่ออี้เธอ…”
เธออึก ๆ อัก ๆ อยากจะพูดแต่ไม่กล้าพูดออกมา ทว่านัยน์ตานั้นเต็มไปด้วยความจำใจและการกล่าวโทษ
เซี่ยเจิ้งถอนหายใจและพูดกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่อยู่ด้านข้างว่า “คุณตำรวจ หากคุณต้องการความร่วมมือจากทางเรา สามารถเรียกหาเราได้ทุกเมื่อนะครับ”
ตำรวจหนุ่มรีบเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เราอาจต้องการความช่วยเหลือจากคุณเซี่ยในการสอบสวนครับ”
เขากล่าวบอกแล้วมองเซี่ยเจิ้งอย่างลำบากใจ
เซี่ยเจิ้งเข้าใจ พร้อมพยักหน้ารับ “พวกคุณเพียงต้องปฏิบัติตามขั้นตอนก็เท่านั้นครับ”
เมื่อเซี่ยจื่ออี้ได้ยินดังนั้น ก็เงยหน้าขึ้นวิงวอน พลางเอ่ย “พ่อคะ!”
เซี่ยเจิ้งมองเธอด้วยแววตาซึ่งยังพอมีร่องรอยของความรักความเมตตาอยู่จาง ๆ แต่สิ่งที่มีมากกว่าในดวงตาคู่นั้นคือความเสียใจอย่างสุดซึ้งและความไม่แยแส “จื่ออี้ แกเลือกเส้นทางนี้ด้วยตัวเอง ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาเป็นอย่างไร แกก็ต้องกัดฟันอดทนแล้วก้าวต่อไป”
มีความเกลียดชังวูบวาบขึ้นในดวงตาของเซี่ยจื่ออี้ เธอเงยหน้าขึ้นมองเซี่ยเจิ้ง พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะเรียกคืนร่องรอยสุดท้ายของความรักทะนุถนอมที่มีต่อตัวเธอจากผู้เป็นพ่อ “พ่อคะ หนูเป็นลูกสาวแท้ ๆ ของพ่อนะ! ลูกสาวคนเดียวของพ่อ!”
เซี่ยเจิ้งกล่าวว่า “ก็เพราะแกเป็นลูกสาวของฉัน ฉันจึงหวังว่าแกจะข้ามผ่านเหตุการณ์นี้ไปได้ จดจำบทเรียนที่เจ็บปวดในอดีต แล้วตื่นตัวระวังตนในอนาคต กลับตัวกลับใจอย่างจริงจัง กลายเป็นคนใหม่ซะ”
“กลับตัวกลับใจอย่างจริงจังเหรอคะ? กลายเป็นคนใหม่งั้นเหรอ? ฮ่าฮ่าฮ่า..!” เซี่ยจื่ออี้เมื่อได้ยินก็หัวเราะออกมาเสียงดัง
เธอชี้ไปยังตงวั่งชุนแล้วเอ่ย “หากไม่มีหนูแล้ว พ่ออยากจะมีลูกใหม่กับผู้หญิงคนนี้งั้นสินะคะ? เธอสัญญาอะไรกับพ่อไว้ล่ะ? สัญญาว่าจะมีลูกชายให้พ่ออย่างแน่นอนงั้นเหรอ?”
เซี่ยเจิ้งมองไปยังสภาพของเซี่ยจื่ออี้ แววตาของเขาพลันฉายชัดถึงความโศกเศร้าและความผิดหวังอย่างยิ่ง
เขากล่าวว่า “ฉันได้รับการผ่าตัดแล้ว เสี่ยวตงกับฉันจะไม่สามารถมีลูกได้อีกแล้วในชั่วชีวิตนี้”
ถ้อยคำของเซี่ยเจิ้งทำให้ผู้คนทั่วทั้งบริเวณต่างตื่นตกใจ
เมื่อเซี่ยเจิ้งและตงวั่งชุนผูกสัมพันธ์กัน บางคนแอบบอกว่าเขาเป็นวัวแก่กินหญ้าอ่อน ต้องการวสันตฤดูหนที่สอง*[1] ในขณะที่บางคนบอกว่าเขาเลี้ยงดูเซี่ยจื่ออี้มาอย่างสิ้นเปลือง ไร้ประโยชน์ จึงฉวยโอกาสที่ยังไม่ได้ก้าวลงจากตำแหน่ง เพื่อมีลูกชายขึ้นมาอีกคน
ใครเลยจะรู้ว่าเขากลับได้รับการผ่าตัดเช่นนี้ไปแล้ว?
เซี่ยเจิ้งเอ่ยแล้วโบกมือส่งสัญญาณให้ตงวั่งชุนตามมา ก่อนจะหันหลังกลับเพื่อฝ่าออกไปจากฝูงชน
แต่ละก้าวของเขานั้นยากลำบากมาก แผ่นหลังซึ่งปกติตั้งตรงตระหง่านอยู่เสมอก็ค่อมลง
ในตอนนั้นเองที่ผู้คนตระหนักได้ว่าเซี่ยเจิ้งมีผมขาวเต็มหัวแล้วตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่อาจทราบได้
สรุปคือไม่ใช่ว่าเขาไม่รักเซี่ยจื่ออี้อีกแล้ว เพียงแต่มันยากสำหรับเขาที่จะเห็นเธอเป็นความภาคภูมิใจเหมือนเมื่อก่อน
ตงวั่งชุนเหลือบมองเซี่ยจื่ออี้เล็กน้อย สายตาของเธอเปี่ยมล้นด้วยความเยาะหยันเหน็บแนม
ทว่าเธอไม่ได้เอื้อนเอ่ยสิ่งใด เพียงหันหลังแล้วเดินตามหลังเซี่ยเจิ้งไปเท่านั้น
เซี่ยจื่ออี้นั่งเป็นอัมพาตอยู่บนพื้น หญิงสาวกวาดสายตามองผ่านฝูงชน และเห็นเซี่ยชิงหยวนยืนอยู่ที่หน้าบ้านตระกูลเสิ่น
หล่อนเพียงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น สายตามองตรงมาที่เธออย่างไม่ยินดียินร้าย
ฟางเส้นสุดท้ายในใจของเซี่ยจื่ออี้ขาดวิ่น เธอตะโกนบอกเซี่ยชิงหยวนว่า “ตอนนี้เธอพอใจแล้วรึยัง? เธอชนะแล้ว!”
เซี่ยชิงหยวนเพียงทอดถอนหายใจเบา ๆ พร้อมเมินเฉยเธอ ก่อนจะหันหลังและเดินจากไป
คนที่น่ารังเกียจก็มีมุมที่น่าสงสารอยู่เช่นกัน
แต่เธอไม่เคยสงสารคนที่น่ารังเกียจเลย
…
เมื่อเสิ่นอี้โจวได้รับคำสั่งย้าย เซี่ยชิงหยวนเองก็ได้รับหนังสือแจ้งให้ทราบเช่นกัน หลังจากนั้นไม่นาน พวกเขาก็ออกเดินทางสู่เมืองหลวง
ในวันนี้ เซี่ยชิงหยวนไม่ได้ให้ใครมาส่งเธอ
เธอกล่าวว่า “การจากลาไม่ใช่เรื่องน่ายินดี ดังนั้นไม่ต้องมาทำให้ฉันต้องร้องไห้อีกดีกว่านะ ฉันหวังเพียงว่าพวกคุณหรือสามีของพวกคุณจะพยายามอีกสักหน่อย เพื่อที่เราจะได้พบกันอีกครั้งโดยเร็วที่เมืองหลวง”
ก่อนออกเดินทาง เซี่ยชิงหยวนมอบเงินให้อาเซียงอีกสองพันหยวน
หญิงสาวเอ่ยว่า “เมื่อถึงงานแต่งงานของเธอกับเฮ่ออวี้เฟิงในเดือนหน้า เกรงว่าพี่เขยของเธอและฉันจะไม่สามารถมาร่วมงานได้ นี่เป็นสินเดิมฝ่ายหญิงที่ฉันให้เธอไว้ ถือเป็นรางวัลที่ติดตามฉันมาตลอดหลายปีมานี้นะ”
อาเซียงร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างหนัก “ขอบคุณนะคะพี่สาวเซี่ย”
เซี่ยชิงหยวนเอ่ยด้วยรอยยิ้มว่า “นี่เป็นเรื่องดี จะร้องไห้ทำกัน? เธอต้องรีบไปดูแลบ้านให้ดี ฉันจะไปรอเธออยู่ที่เมืองหลวงนะ”
ในปัจจุบัน ยามต้องมนต์ไม่ใช่แบรนด์เสื้อผ้าเล็ก ๆ ทั่วไปที่มีสาขาเพียงยี่สิบสาขาอีกแล้ว
แต่สามารถพบได้ทุกที่ในตู้แสดงเสื้อผ้าในเมืองใหญ่ทั้งในและต่างประเทศ
โรงทอผ้าเฟิงหวงก็ถูกเปลี่ยนชื่อเป็นชิงเฉิงเฟิงหวง ซึ่งเซี่ยชิงหยวนเหลือคำว่า ‘เฟิงหวง’ เอาไว้เพื่อรำลึกถึงการกระทำอันกล้าหาญของผู้อาวุโสเฉียนแห่งโรงทอผ้าเฟิงหวง
อาเซียงกล่าวตอบว่า “ค่ะ ฉันจะรีบไปหาพี่โดยเร็วเลย รอฉันนะคะ”
ปี่เหลาซานกับปี่ฟู่หมานรีบเร่งรุดมาในวันที่เธอออกเดินทาง และเดินทางไปทางเหนือพร้อมกับพวกเขา
เมื่อเซี่ยชิงหยวนมองไปยังด้านหลังอันว่างเปล่าของพวกเขา แสงแห่งความหวังสุดท้ายในดวงตาของเธอก็ดับลง
ปี่เหลาซานรู้ว่าเธอกำลังมองอะไรอยู่ จึงถอนหายใจ “เขาเองก็มีสิ่งที่เขาเสาะแสวงหา แม้แต่ฉันในฐานะอาจารย์ก็ไม่สามารถบังคับได้”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ ปี่เหลาซานนั้นคิดตกแล้ว “เขาบอกว่าตอนนี้ตัวเองอยู่ในตำแหน่งพิเศษ ดังนั้นจึงไม่ได้มาส่ง การที่เธอและเสี่ยวเสิ่นมีชีวิตที่ดีไปพร้อมกับลูก ๆ และการที่ประชาชนอยู่เย็นเป็นสุขนั้น ถือเป็นการปลอบใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับตำรวจปราบปรามยาเสพติดและทหารชายแดนอย่างพวกเขาแล้ว”
ในวันนั้นที่เผ่ยเยว่ร้องห่มร้องไห้บอกเธอว่าแม้ว่าตนจะพูดซ้ำ ๆ แต่ฉีจิ่นจือก็ยังไม่ชอบเธอเลยแม้แต่น้อย เซี่ยชิงหยวนจึงคาดการณ์ไว้แล้วว่าในท้ายที่สุด ฉีจิ่นจือก็ยังคงเลือกเส้นทางนี้
การตายของถ่าลี่และฟู่ชุนไจ่นั้นสะเทือนใจของเขามากเกินไป
เขาได้เห็นความน่าสะพรึงกลัวของยาเสพติด สัมผัสกับการตายของเพื่อนเจ้าหน้าที่และประชาชน และไม่สามารถทำตามสัญญาห้าปีนั้นได้อีกต่อไป
ชายหนุ่มจึงอุทิศตนเพื่อประชาชนและเพื่อประเทศชาติ
ในตอนนั้นเอง พลันมีสัมผัสอันอบอุ่นที่ฝ่ามือของเธอ เป็นเสิ่นอี้โจวที่จับมือเธอไว้
เสิ่นอี้โจวกล่าวว่า “เขาพบเส้นทางที่เขาต้องการแล้ว เราควรยินดีกับเขานะ”
นัยน์ตาของเซี่ยชิงหยวนแดงเรื่อขึ้นพลางพยักหน้ารับ “ค่ะ”
เธอมองไปยังดวงอาทิตย์ซึ่งกำลังทอแสงในยามเช้า แล้วอธิษฐานในใจว่าขอให้มีแสงสว่างในหัวใจที่เพียงพอจะทำให้หัวใจของเขาอบอุ่นด้วยเถอะ
[1] วสันตฤดูหนที่สอง หมายถึง การตกหลุมรักอีกครั้งในวัยล่วงกลางคนไปแล้ว และสมหวังในความรักอย่างที่ไม่เคยคิดฝันมาก่อน