กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี - บทที่ 63 คุณจะมีความสุข
บทที่ 63 คุณจะมีความสุข
บทที่ 63 คุณจะมีความสุข
เมื่อได้ยินประโยคนี้ เสิ่นอี้โจวพลันชะงักไปชั่วครู่ จากนั้นเขาก็ก้มศีรษะลงมองอาหารในกล่องข้าวและไม่พูดอะไร
นิ้วของเขาที่ถือกล่องข้าวเปลี่ยนเป็นสีขาวเพราะออกแรงมากเกินไป
คำพูดของเซี่ยชิงหยวนเหมือนกับค้อนหนัก ๆ ที่กระแทกเข้าหัวใจของเขาอย่างแรง
ทุกคำขอที่เธออยากทำกับเขาล้วนเป็นความปรารถนาที่เรียบง่ายที่สุดในชีวิตของผู้เป็นภรรยา
แน่นอนว่าเขาเองก็ต้องการอยู่กับเธอเหมือนคู่รักทั่วไป ที่จะรักกันจนกว่าจะถึงบั้นปลายชีวิต
เพียงแค่ผู้เป็นเจ้าตอบรับคำปรารถนาของเขา ชายหนุ่มก็ไม่ต้องการสิ่งใดอีกแล้ว
หลังจากผ่านไปเนิ่นนาน ชายหนุ่มก็พยายามกลั้นน้ำตาไว้ไม่ให้ไหล จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นและพยักหน้าให้เธอด้วยรอยยิ้ม “ได้สิ”
เมื่อเห็นดวงตาของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดง เซี่ยชิงหยวนก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะและพูดว่า “ประทับใจมากขนาดนั้นเลยเหรอ?”
เธอเชิดคางขึ้นและพูดด้วยรอยยิ้ม “ตราบใดที่คุณชอบ ฉันก็ทำอาหารให้คุณได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นอาหารของชาติใดทั่วทุกมุมโลก ฉันสัญญาว่าจะคอยดูแลร่างกายของคุณอย่างดี และจะมอบอาหารที่ดี เพื่อที่คุณจะได้แข็งแรง!”
เมื่อก่อนมีหวังผิงอยู่ที่บ้าน เซี่ยชิงหยวนจึงไม่ค่อยได้ทำอาหารเองเท่าไหร่ ดังนั้นทักษะการทำอาหารของเธอจึงไม่ดีนัก
ต่อมาเมื่อเธอแต่งงานกับเสิ่นอี้โจว หลินตงซิ่วก็เป็นแม่ครัวและทำอาหารเองตลอด เธอจึงเลิกคิดที่จะทำอาหารไป
ทว่าหลังจากหย่าร้างกันในชาติที่แล้ว เธอก็ได้ไปทำงานในร้านอาหารเป็นเวลาสองปี
ดังนั้นทักษะการทำอาหารของเธอในตอนนี้จึงดีขึ้นมาก
เมื่อเห็นรอยยิ้มที่สวยงามของอีกฝ่าย เสิ่นอี้โจวก็ทำเพียงพยักหน้าพร้อมด้วยรอยยิ้ม ขณะตักข้าวเข้าปาก เขาไม่กล้าไม่เคลื่อนไหวโดยไม่จำเป็น และไม่กล้าโต้ตอบอีกฝ่าย
ชายหนุ่มกลัวว่าถ้าพูดออกไปแล้ว เขาจะกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
ผู้หญิงที่เขารักนั้นแสนดีมาก แม้เธอจะมีลูกไม่ได้ แต่เธอจะต้องเป็นที่รักใคร่ของผู้คนในอนาคตอย่างแน่นอน
หญิงสาวรู้สึกว่าปฏิกิริยาของอีกฝ่ายแปลกไป จึงอดถามไม่ได้ว่า “วันนี้คุณมีเรื่องอะไรหรือเปล่า”
เสิ่นอี้โจวเสมองทางอื่นอย่างรวดเร็ว “ไม่มีอะไรหรอก ผมแค่เหนื่อยเกินไปในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา ตาของผมก็เลยเจ็บนิดหน่อย”
เซี่ยชิงหยวนไม่สงสัยอะไรเขาอีก “ตอนที่ฉันยังไม่มาที่นี่ ฉันไม่คิดว่าคุณจะทำงานหนักขนาดนี้”
เธอถอนหายใจ “จริง ๆ แล้วคุณไม่จำเป็นต้องทำงานหนักมากขนาดนี้เลย ตอนนี้ฉันกำลังเริ่มทำธุรกิจแล้ว ฉันเชื่อว่าครอบครัวของเราจะค่อย ๆ ดีขึ้น ต่อให้ฉันทำเงินได้ไม่มากมากนัก แต่แค่ครอบครัวของเราได้อยู่ด้วยกันพร้อมหน้า ฉันก็พอใจแล้ว”
ในการใช้ชีวิตที่ได้รับมาใหม่นี้ ไม่มีสิ่งใดจะสำคัญไปกว่าการได้ดูแลคนรอบตัวของเธออีกแล้ว
แม้แต่การทำธุรกิจเอง เธอแค่ต้องการทำมันเพื่อที่จะให้เธอยืนหยัดด้วยตัวเอง และแบ่งเบาภาระของเสิ่นอี้โจวได้บ้าง
เธอสะกิดอีกฝ่าย “อี้โจว ฉันพูดจริงจังนะคะ อย่าทำงานหนักเกินไป ไม่งั้นฉันคงรู้สึกแย่แน่ ๆ”
เมื่อสิ้นคำ ชายหนุ่มก็หันกลับมาและกอดเธอไว้ในอ้อมแขนของเขา
มันแน่นมากราวกับเขาได้ใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดเพื่อรวมตัวเธอเข้ากับร่างกายของเขา
เซี่ยชิงหยวนรู้สึกว่า หน้าอกของอีกฝ่ายกำลังสั่นระรัวราวกับเขากำลังสะกดอารมณ์อยู่
หญิงสาวรู้สึกมึนงงเล็กน้อย แต่เธอก็สัมผัสได้ถึงอารมณ์ที่รุนแรงภายใต้ท่าทางที่สงบนิ่งของเสิ่นอี้โจว
อาจเป็นเพราะอารมณ์ของอีกฝ่ายส่งผลต่อเธอ ดังนั้นหญิงสาวจึงไม่พูดอะไร เธอเอื้อมมือออกไปและกอดเขากลับ
เธออิงศีรษะกับแผ่นอกกว้างของเขา และฟังการเต้นของหัวใจของอีกฝ่ายเงียบ ๆ
จากนั้นเธอก็ได้ยินเสิ่นอี้โจวพูดกับเธอว่า “ชิงหยวน คุณจะได้มีความสุข”
เซี่ยชิงหยวนคิดว่าเขาเห็นด้วยกับคำพูดของเธอ
เธอหลับตาอย่างมีความสุขและตอบว่า “แน่นอนค่ะ”
เซี่ยชิงหยวนเฝ้ามองเสิ่นอี้โจวจนกระทั่งเขากินข้าวเสร็จ จากนั้นเธอก็กลับบ้าน
เสิ่นอี้โจวออกไปส่งเธอที่ด้านหน้าตึก “วันนี้เป็นกิจการเป็นวันแรก ฉะนั้นอย่าหักโหมเกินไปล่ะ”
เซี่ยชิงหยวนยิ้มและพยักหน้า “ฉันรู้”
เธอถามเขาอีกครั้ง “คืนนี้กลับบ้านไหม”
เสิ่นอี้โจวลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ผมจะพยายามให้ดีที่สุด”
เซี่ยชิงหยวนรู้ว่าเสิ่นอี้โจวมีความคิดเห็นของตัวเองเสมอ เธอจึงไม่โน้มน้าวเขาอีกต่อไป
หญิงสาวกลับถึงบ้าน กินข้าว พักผ่อน แล้วเริ่มเตรียมตัวออกไปขายของ
เมื่อตอนเที่ยงเธอได้ล้างและเก็บผักอย่างดีแล้ว ตอนนี้เธอสามารถเอาพวกมันออกมาปรุงได้ทันที
ขั้นแรก เธอต้มถั่วพุ่มแล้วใส่ลงในน้ำเย็นหลังจากต้มเสร็จเรียบร้อยแล้ว
เมื่อลวกในน้ำแล้วก็หยดน้ำมันลงในหม้อสักสองสามหยด เพื่อให้สีเขียวของถั่วพุ่มเปลี่ยนเป็นสีเหลือง
จากนั้นตบแตงกวาให้แตก แล้วหั่นเป็นชิ้น ๆ ใส่ลงในน้ำสลัดเย็นและผสมให้เข้ากัน
ส่วนผักกาดหอมนั้นหั่นเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วล้างด้วยน้ำต้มที่เย็นแล้ว
แน่นอนว่า ขณะที่กำลังทำสิ่งเหล่านี้ เธอก็ใช้เขียงและมีดที่เตรียมมาสำหรับหั่นผักและผลไม้โดยเฉพาะ
เธอกลัวจะไม่ถูกสุขลักษณะ หากใช้มีดกับเขียงที่เอาไว้สำหรับหั่นเนื้อสัตว์มาหั่นผัก ไม่อย่างนั้นเมื่อกินเข้าไปแล้วลูกค้าอาจจะป่วยได้
กว่าจะทำงานเสร็จนี้ก็ใกล้จะสี่โมงเย็นแล้ว
เซี่ยชิงหยวนขนของทั้งหมดไปยังรถสามล้อ คลุมมันด้วยพลาสติกใส และสุดท้ายก็คลุมมันด้วยผ้าอีกชั้นหนึ่งแล้วออกเดินทาง
ที่ตั้งของแผงขาย เซี่ยชิงหยวนนั่งลงจัดแผงอยู่ใกล้กับทางเข้าตลาดผัก
ทำเลนี้สะดุดตามาก ไม่ว่าจะเข้ามาซื้อของกินหรือเดินผ่านก็มองเห็นได้
เธอหยิบจานเล็ก ๆ สี่ใบที่เตรียมไว้ล่วงหน้ามาวางไว้ด้านหน้าสุดของแผงขาย จากนั้นแบ่งผักในหม้อทั้งสี่ใบใส่ไว้ในจานใบเล็กเหล่านั้นพร้อมกับเสียบซี่ไม้ไผ่เล็ก ๆ ไว้ข้าง ๆ เพื่อให้ลูกค้าชิม
สุดท้ายเธอก็วางกระดาษแข็งที่เขียนคำว่า ‘สลัดเย็นสี่เหมาต่อหนึ่งจิน’ ป้ายถูกเขียนด้วยถ่านฟืนและวางไว้บนรถสามล้อ ซึ่งถือว่าเป็นการโฆษณาที่ดี
หญิงสาวรวบผมขึ้น และสวมผ้าปิดปากที่เธอเย็บไว้ เมื่อเห็นว่ามีคนเดินเข้ามามากขึ้น เธอจึงเริ่มตะโกนขาย
“สลัดเย็นเผ็ดร้อนแสนอร่อย ทุกคนมาลองชิมกันดูได้จ้า!”
น้ำเสียงของเธอหวานแต่เจือด้วยความเกียจคร้าน ซึ่งแว่วผ่านหูของผู้คนทำให้รู้สึกติดหูอย่างมาก
เซี่ยชิงหยวนไม่ได้แต่งตัวดีเป็นพิเศษ แต่ด้วยรูปร่างที่ดูดีของเธอและท่าทางที่น่ามอง แม้จะมองไม่เห็นใบหน้า แต่แค่เห็นดวงตาคู่นั้นก็ทำให้ผู้คนหลงใหล ไม่ว่าจะมองหรือฟังเสียงตะโกนของเธอ ผู้คนก็เดินเข้ามาหาเซี่ยชิงหยวนโดยไม่รู้ตัว
เมื่อมีคนแรกเข้ามาดู คนที่เหลือก็รู้สึกแปลกใหม่เมื่อได้ยินคำว่า ‘สลัดเย็น’ จากนั้นจึงพากันมาล้อมวงดูด้วย
ทว่าเมื่อเห็นราคาที่เขียนไว้ พวกเขาก็ถอยหลังกลับไป
ราคานี้มันครึ่งหนึ่งของราคาหมูเลยนะ!
แล้วผักตอนนี้ราคาเท่าไหร่?
หนึ่งจินยังไม่ถึงสิบเฟินเลยด้วยซ้ำ
ซื้อผักกลับไปทำกินเองที่บ้าน ใส่เกลือ น้ำส้มสายชู โรยพริกป่น รสชาติจะไม่คล้ายกันเหรอ?
แม้มันจะดูน่าอร่อยเมื่อเสิร์ฟอยู่ในจานเล็ก ๆ ก็ตาม
มีบางคนพูดขึ้นว่า “ราคาอาหารมังสวิรัติของคุณไม่แพงเกินไปหน่อยเหรอ”
เซี่ยชิงหยวนไม่รีบร้อนและตอบกลับด้วยรอยยิ้มว่า “ฉันซื้อผักสดเหล่านี้จากน้องสาวชนเผ่าไต และส่วนผสมก็เตรียมด้วยตัวเอง แค่ใช้น้ำมันอย่างเดียวราคาก็แพงมากแล้ว”
เธอถือกระบอกไม้ไผ่แล้วพูดว่า “ทุกคนสามารถลองชิมก่อนได้ ถ้าคิดว่าอร่อยก็ค่อยซื้อไป”
ยุคปีนี้คนไม่ค่อยซื้อน้ำมันกันเท่าไหร่ เพราะจะนำไขมันหมูมากลั่นเป็นน้ำมัน ซึ่งจะนำมาล้างก้นกระทะก่อนทำอาหาร
นอกจากนี้ เซี่ยชิงหยวนยังใช้น้ำมันถั่วลิสงซึ่งมีราคาแพงกว่า
ดังนั้นถึงไม่เน้นอาหารจานเย็นนี้ แค่ได้กลิ่นหอม ๆ ของน้ำมันถั่วลิสงก็อดไม่ได้ที่จะน้ำลายไหล
เมื่อหญิงสาวยกฝาครอบพลาสติกขึ้น ทั้งสองคนที่ยืนอยู่หน้าแผงขายอาหารก็อดไม่ได้ที่จะยื่นจมูกของพวกเขา
ป้าที่ยืนอยู่ข้างหน้าหยิบซี่ไม้ไผ่มาจิ้มผัก แล้วรีบยัดเข้าปาก
มันทั้งหอมและเผ็ดมาก มาพร้อมกับกลิ่นหอมฉุนของน้ำมันถั่วลิสง และยังให้ความหวานที่ปลายลิ้น และมีบางรสชาติที่เธอไม่สามารถแยกแยะได้
สิ่งนี้จะเทียบกับการทำที่บ้านได้ยังไง?
คิ้วและดวงตาของเธอขมวดแน่น และก็แทบรอไม่ไหวที่จะพูดกับเซี่ยชิงหยวน “เอามาให้ฉันหนึ่งจิน!”