กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี - บทที่ 66 จากนี้ไปฉันจะกอดคุณ
บทที่ 66 จากนี้ไปฉันจะกอดคุณ
บทที่ 66 จากนี้ไปฉันจะกอดคุณ
หลังจากได้เห็นว่าเสิ่นอี้โจวทำงานหนักแค่ไหน เซี่ยชิงหยวนก็ตัดสินใจว่าจะดูแลตัวเองให้ดี
นอกจากนี้ การกินข้าวเช้าที่บ้านยังเป็นเรื่องยากสำหรับชายหนุ่ม ดังนั้นเธอจึงตั้งใจจะดูแลเรื่องนี้อย่างจริงจัง
เซี่ยชิงหยวนตื่นตั้งแต่เช้าในวันรุ่งขึ้น
เธอวางแผนจะนำซี่โครงของเมื่อวานมาทำบะหมี่ซุปซี่โครงหมู
หญิงสาวหยิบซี่โครงสองสามชิ้นใหญ่ที่ใส่ไว้ในโถน้ำมันหมูเมื่อวานนี้ เอาใส่ลงในหม้อ ตักน้ำ จากนั้นใส่ขิงกับต้นหอมลงไป และสุดท้ายก็ใส่สมุนไพรจีนที่ช่วยบำรุงเลือดลม และเริ่มต้มซุป
หลังจากทำเสร็จเรียบร้อย เซี่ยชิงหยวนก็เดินไปที่สนามอีกครั้ง โดยตั้งใจจะซักเสื้อผ้าที่ชายหนุ่มเปลี่ยนไว้เมื่อคืนนี้
แต่โดยไม่คาดคิด เมื่อเธอเปิดประตูที่สนาม เธอพบว่าเสิ่นอี้โจวนั่งอยู่บนเก้าตัวเล็กและกำลังก้มตัวซักเสื้อผ้าอยู่
เสื้อผ้าในอ่างอะลูมิเนียมบาง ๆ ไม่ใช่แค่ของเขาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงของเธอด้วย
สิ่งที่เขาถืออยู่ในมือตอนนี้คือกางเกงในของเธอ
เซี่ยชิงหยวนต้องการจะดึงกางเกงในของเธอคืนมาโดยไม่รู้ตัว
ตั้งแต่ยังเด็ก หวังผิงมักจะสอนเธอว่าผู้ชายกับผู้หญิงนั้นแตกต่างกัน
ผู้หญิงควรดูแลสามีและลูก ๆ ซักผ้า ทำอาหาร และดูแลทุกอย่างในบ้านเพื่อที่สามีจะได้ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับงานต่าง ๆ ในบ้าน
ในความทรงจำของเธอ หวังผิงทำงานหนักมาโดยตลอด
แม้หญิงสาวจะต่อต้านอีกฝ่ายมาตลอด แต่เธอก็ได้รับอิทธิพลจากความคิดเหล่านั้นมาโดยไม่รู้ตัวเช่นกัน
หญิงสาวเดินไปและกำลังจะคว้ากางเกงในตัวเล็กจากมือของเสิ่นอี้โจว “มันเป็นเสื้อผ้าของฉัน”
เสิ่นอี้โจวเบี่ยงตัวหลบ “เป็นอะไรน่ะ?”
เซี่ยชิงหยวนข่มอาการร้อนผ่าวที่ค่อย ๆ สูงขึ้นจนลามไปถึงแก้มของเธอและพูดว่า “ฉันจะซักเอง”
เมื่อได้ยินแบบนี้ ชายหนุ่มก็ยิ้ม “ของของคุณก็เหมือนของของผมไม่ใช่เหรอ? แล้วมันไม่ถูกตรงไหนที่คุณทำอาหารเช้า ส่วนผมมาซักผ้าให้น่ะ”
สายตาของเซี่ยชิงหยวนยังคงจับจ้องไปยังกางเกงในในมือของเขา ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม เธอกลับมองว่ามันน่าอาย “ผู้ชายซักผ้าให้ผู้หญิงไม่ได้”
รอยยิ้มที่มุมปากของเสิ่นอี้โจวกว้างขึ้น “ชิงหยวน ตอนนี้มันยุคใหม่แล้ว คุณยังเชื่อเรื่องพวกนั้นอีกเหรอ ที่สำคัญมีแค่เราสองคนอยู่ในบ้าน ยิ่งผมทำมากเท่าไหร่ คุณก็จะผ่อนคลายได้มากขึ้นเท่านั้น”
เขาวางกางเกงในลง หยิบกระบวยตักน้ำ จากนั้นจับมือของหญิงสาวล้างโฟมที่เธอเพิ่งแตะโดนออก “ยังเช้าอยู่ คุณกลับไปนอนก่อนเถอะ เดี๋ยวผมจะดูไฟที่ต้มซุปให้เอง”
เซี่ยชิงหยวนนั่งยอง ๆ ขณะมองคิ้วโก่งคมของเขา ทันใดนั้นเธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกขมปร่าในใจ
ด้วยเหตุผลบางอย่าง ยิ่งเสิ่นอี้โจวปฏิบัติต่อเธอดีเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งรู้สึกผิดมากขึ้นเท่านั้น
เพราะหลายสิ่งหลายอย่างที่เขาทำให้เธอ ทำให้หญิงสาวนึกถึงสิ่งที่เธอทำกับเขาเมื่อชาติที่แล้ว
เธอนี่มันแย่จริง ๆ
เธอข่มอารมณ์ที่ใกล้จะพวยพุ่งออกมาไว้ จากนั้นพยักหน้าและพูดว่า “ก็ได้ค่ะ”
…
มื้อเช้าของวันนี้ เซี่ยชิงหยวนทำบะหมี่ซุปซี่โครงหมู
ซุปต้มจนข้นขาวมีกลิ่นหอมจาง ๆ ของวัตถุดิบ และเนื้อติดซี่โครงก็นุ่มอร่อยจริง ๆ ยิ่งเมื่อทานคู่กับสลัดเย็นที่เธอทำ อีกทั้งแตงกวาที่เหลือจากเมื่อวานก็ยิ่งอร่อยเหาะขึ้นไปอีก
เมื่อเสิ่นอี้โจวกินบะหมี่ เขาก็มักจะกลืนมันลงไปด้วยท่าทางที่ดูดีมาก
เธอคิดว่าบางทีนี่อาจเป็นกรรมพันธุ์ของคนตระกูลเสิ่น
ชายหนุ่มจิบซุปและพูดว่า “ช่วงนี้ บริเวณต้นน้ำมีฝนตกหนักบ่อยครั้ง และน้ำในแม่น้ำก็สูงขึ้นมาก หากคุณเดินผ่านก็ระวังให้มากกว่าเดิมหน่อยนะ”
มีภูเขามากมายในเมืองเตียนเฉิง และเพราะฝนตกหนักเป็นเวลานาน จึงทำให้เกิดดินถล่มหรือหินถล่มได้ง่าย ดังนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก
เมื่อได้ยินแบบนั้น เซี่ยชิงหยวนก็วางชามกับตะเกียบลง “จริงเหรอคะ”
ใบหน้าของเสิ่นอี้โจวจริงจัง แต่แล้วเขาก็ผ่อนคลายลงอีกครั้ง “ตอนนี้มันยังไม่เป็นไรหรอก มีฝนตกหนักเมื่อสองสามวันก่อนก็จริง แต่ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว”
เซี่ยชิงหยวนเพิ่งตระหนักว่า สาเหตุที่ชายหนุ่มเฝ้าอยู่สำนักงานในช่วงสองสามวันที่ผ่านมาอาจจะเป็นเพราะเรื่องนี้
เธอตอบว่า “ได้ค่ะ ฉันเข้าใจแล้ว ฉันจะดูแลบ้านและตัวเองให้ดีที่สุด คุณทำงานอย่างสบายใจได้”
เสิ่นอี้โจวยิ้มและพยักหน้า “ขอบคุณที่ทำงานหนักนะ ชิงหยวน”
หลังมื้อเช้าจบลง เซี่ยชิงหยวนก็ส่งเสิ่นอี้โจวออกไปทำงาน
เธอถามเขาว่า “วันนี้คุณจะกลับมาทานอาหารเย็นไหม”
เสิ่นอี้โจวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ผมคงมากลับดึก ๆ”
ทว่าทันทีที่เขาหันกลับมา เธอก็กอดเขาจากด้านหลัง
มีรอยยิ้มประดับที่มุมปากของเธอ เซี่ยชิงหยวนขยิบตาราวกับผ้าไหมที่พลิ้วตามสายลม “จากนี้ไป ฉันจะกอดคุณก่อนจะออกไปจากบ้านนะคะ”
ราวกับมีระลอกคลื่นสีดำเชี่ยวไหลวนอยู่ภายในดวงตาของชายหนุ่ม จากนั้นเขาก็หมุนตัวและดึงร่างของเธอเข้ามากอด
ผ้าผูกผมของเธอแตะคางของร่างสูง เมื่อเขาก้มศีรษะลงและจูบศีรษะของเธออย่างแผ่วเบาระคนอ่อนโยน จนเธอไม่ทันสังเกต
จากนั้นเขาก็ปล่อยเธอ “ผมไปก่อนนะ”
เซี่ยชิงหยวนโบกมือด้วยความพึงพอใจ “อื้ม ไปเถอะ”
หลังจากส่งเสิ่นอี้โจวออกไป เซี่ยชิงหยวนก็ก้าวขึ้นรถสามล้อคันเล็กและขี่ลงจากภูเขา
เธอวางแผนจะเพิ่มปริมาณผักที่ซื้อในวันนี้เป็นสิบจิน แล้วทำเมนูเพิ่มอีกหนึ่งอย่าง
ปรากฏการณ์อุปสงค์มีจำนวนมากกว่าอุปทาน จึงเป็นเกณฑ์ทางกลไกตลาดที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
เมื่อเซี่ยชิงหยวนมาถึงตลาดขายผัก อาเซียงก็ตั้งแผงขายใกล้กับสถานที่เมื่อวานเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ทันทีที่อาเซียงเห็นเซี่ยชิงหยวน เธอก็โบกมือให้อย่างมีความสุข
อาเซียงพูดว่า “ฉันย้ายที่ตั้งแผงขายผัก จึงกังวลอยู่ว่าพี่จะหาไม่เจอ”
เซี่ยชิงหยวนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “ผักของเธออร่อยมาก ต่อให้เธอย้ายที่ขาย ฉันก็จะพยายามหาให้เจออยู่ดี”
เมื่อเด็กสาวได้ยินประโยคนี้ เธอก็รู้ได้ทันทีว่ากิจการของอีกฝ่ายจะต้องเป็นไปได้ด้วยดีแน่นอน
จากนั้นเธอก็พูดว่า “ในเมื่อฉันได้เจอกับลูกค้าที่ดีอย่างพี่สาวแล้ว จะไม่รอคอยพี่มาหาตัวเองได้ยังไงล่ะคะ”
เธอเอาใบตองที่ปิดผักออก “วันนี้พี่จะซื้ออะไรดีคะ”
เซี่ยชิงหยวนพบว่านอกจากผักสองสามชนิดเหมือนเมื่อวานแล้ว ยังมีกะหล่ำปลีสีเหลืองอ่อนอีกด้วย
ดังนั้นเธอจึงถามว่า “กะหล่ำปลีหัวนี้ราคาเท่าไหร่”
อาเซียงตอบกลับ “ราคาของมันถูกมาก แค่สามเฟินต่อจินเท่านั้น”
เซี่ยชิงหยวนก้มหยิบมันขึ้นมาดูใกล้ ๆ แล้วพูดว่า “เอาให้ฉันสักสิบจินก็แล้วกัน และเอาผักแบบที่ฉันซื้อเมื่อวานด้วยอย่างละสิบจิน”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ อาเซียงก็ดีใจมาก “ได้ค่ะ!”
จากนั้นอาเซียงก็รีบชั่งน้ำหนักของผักชนิดต่าง ๆ ให้เซี่ยชิงหยวน
จริง ๆ แล้วคนส่วนใหญ่ที่ปลูกผักกินเองมักขายผักไม่ค่อยได้เยอะเท่าไหร่ในแต่ละวัน
ถ้าเอาไปขายให้กับพวกโรงแรมก็จะได้ราคาต่ำมาก ดังนั้นเธอจึงได้แต่รอให้ลูกค้ารายย่อยมาซื้อ
ครอบครัวของเธอทั้งพ่อและแม่ขยันปลูกผักมากกว่าคนอื่น ๆ
คนที่ซื้อผักเกือบทั้งหมดในครั้งเดียวอย่างเซี่ยชิงหยวน ทำให้เธอสามารถประหยัดเวลาได้มากและกลับไปช่วยพ่อแม่ของเธอได้ไวขึ้น
ท้ายที่สุด อาเซียงก็ลดราคากะหล่ำปลีให้หญิงสาวเป็นราคาสองเฟินต่อจิน และยังแถมพริกไทยกับผักชีมาอีกสองกำมือด้วย
เธอพูดว่า “พ่อบอกว่าพี่บอกที่อยู่ของบ้านพี่มาก็ได้ ฉันจะได้ส่งของให้พี่ได้ทันที”
ราคาที่เด็กสาวขายให้เซี่ยชิงหยวนนั้นถูกกว่าราคาค้าปลีก แต่ก็ยังมีราคาแพงกว่าการขายส่ง มันใช้เวลาในการขนส่งของไม่นานนัก และยังรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าไว้ได้ด้วย
หลังจากได้ยินเรื่องนี้ เซี่ยชิงหยวนก็ถูกล่อลวงเช่นกัน
แต่เธอไม่สามารถให้เด็กสาวตัวเล็กแค่นี้แบกผักจำนวนมากขึ้นไปบนภูเขาได้ เธอจึงปฏิเสธ “ครอบครัวของฉันอาศัยอยู่บนภูเขา เธอจะทำงานหนักเกินไปถ้าเอาไปส่ง อย่าลำบากเลย”
เมื่ออาเซียงได้ยินแบบนั้น เธอก็ยิ้ม “พี่สาว บ้านของคุณอยู่ในสถาบันวิจัยทางธรณีวิทยาที่อยู่บนภูเขาตรงนั้นใช่ไหมคะ”
เธอเห็นเซี่ยชิงหยวนมาที่นี่สองครั้งแล้ว ดังนั้นเธอจึงพอคาดเดาได้
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า “เธอรู้จักเหรอ”
อาเซียงพูดว่า “แน่นอนค่ะ ครอบครัวของฉันก็อาศัยอยู่ที่นั่น ครึ่งทางขึ้นเขาไม่ไกล ครอบครัวของฉันมีเกวียนและฉันสามารถไปส่งผักให้พี่สาวพร้อมกับน้องชายได้”
เมื่อนึกดี ๆ เซี่ยชิงหยวนก็จำได้ว่าระหว่างทางลงภูเขาเธอเห็นผู้คนมากมายระหว่างทาง และยังเคยเห็นหมู่บ้านของชาวไตด้วย
เธอจึงพยักหน้าตกลง “เอาแบบนั้นก็ได้”
ลงเขาวันละสองครั้ง แม้จะมีรถสามล้อแล้ว แต่การขึ้นเขาก็ยังค่อนข้างลำบากอยู่ดี
และด้วยวิธีนี้ เธอจะสามารถประหยัดเวลาได้มาก
จากนั้นทั้งสองก็ได้ตกลงกัน จนได้ข้อสรุปที่มีความสุขทั้งคู่
อาเซียงจะนำผักมาให้เธอทุกเช้าและชั่งน้ำหนักต่อหน้าเพื่อชำระเงิน
ส่วนการปรับเปลี่ยนหรือในกรณีที่เธอไม่ต้องการเอาอะไร เซี่ยชิงหยวนสามารถบอกอีกฝ่ายได้ล่วงหน้าหนึ่งวัน
หลายวันต่อมา ด้วยความช่วยเหลือในการส่งผักของอาเซียง เซี่ยชิงหยวนจึงมีเวลาในการค้นคว้าและปรับปรุงอาหารของเธอมากขึ้น
แค่สัปดาห์เดียว เธอก็ขายอาหารกว่าแปดชนิดแล้วในตอนนี้
ที่สำคัญที่สุด กำไรรวมทั้งหมดในตอนนี้ก็ปาเข้าไปหนึ่งร้อยสามหยวนแล้ว!
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เสิ่นอี้โจวกับเธอเข้าขากันได้ดีเช่นกัน ยกเว้นเรื่องมีลูก เซี่ยชิงหยวนก็รู้สึกว่าชีวิตใกล้จะสมบูรณ์แล้ว
…
ในห้องประชุมของศาลากลางจังหวัด เสิ่นอี้โจวกำลังนั่งเผชิญหน้ากับชายวัยกลางคนสวมแว่นตา
ชายวัยกลางคนวางแก้วน้ำชาในมือลง เขามองไปที่เสิ่นอี้โจวด้วยรอยยิ้มที่มุมปาก “สหายอี้โจว เกี่ยวกับข้อเสนอสุดท้ายของเรา ฉันสงสัยว่าตอนนี้คุณคิดยังไงเกี่ยวกับมัน?”