กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี - บทที่ 72 ต้องการอยู่กับเธอไปตลอดกาล
บทที่ 72 ต้องการอยู่กับเธอไปตลอดกาล
บทที่ 72 ต้องการอยู่กับเธอไปตลอดกาล
นอกจากเสิ่นอี้โจวแล้ว เพื่อนร่วมงานที่ได้รับบาดเจ็บทั้งหมดก็รีบถูกส่งตัวไปยังโรงพยาบาล
เซี่ยชิงหยวนค้นหาไจ๋ปินบนเปลหามแต่ละแห่ง แต่ก็ไม่พบชายคนนั้นเลย
เซี่ยชิงหยวนจึงถามเจ้าหน้าที่กู้ภัย “ไจ๋ปินอยู่ที่ไหน คุณเห็นไจ๋ปินไหม”
เจ้าหน้าที่กู้ภัยได้ยินคนจากสถาบันวิจัยพูดถึงชื่อนี้อยู่ตลอดเวลา ดังนั้นเขาจึงรู้ว่าไจ๋ปินเป็นใคร
เขาส่ายหัวด้วยความเสียใจ “ผมยังไม่พบเขาเลยครับ”
หญิงสาวตกใจเมื่อได้ยินประโยคนี้
ไจ๋ปินขาดการติดต่อมานานกว่าเจ็ดสิบสองชั่วโมงแล้วและตอนนี้เจ้าหน้าที่ก็ยังหาเขาไม่พบ
เธอจับมือเจ้าหน้าที่กู้ภัยไว้แน่น “โปรดช่วยตามหาเขาด้วย แม่ ภรรยาและลูกที่ยังไม่เกิดของเขายังรอให้เขากลับไป!”
ดวงตาของเจ้าหน้าที่กู้ภัยเป็นสีแดงก่ำก่อนที่เขาจะพยักหน้ารับ “เราจะพยายามอย่างดีที่สุด”
เสิ่นอี้โจวได้รับบาดเจ็บและยังอยู่ในอาการโคม่า เซี่ยชิงหยวนไม่สามารถอยู่ที่นี่ตลอดไปได้ เธอจึงไปโรงพยาบาลพร้อมกับกลุ่มคนที่ได้รับความช่วยเหลือแล้ว
เมื่อเธอกำลังจะขึ้นรถ หญิงสาวก็หันไปมองภูเขาและแม่น้ำที่พังทลาย ดวงตาของเธอเต็มไปด้วยความอ้างว้าง
เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกเศร้าใจ หญิงสาวกลั้นน้ำตาและจากไปในทันที
เธอจับมือของเสิ่นอี้โจวที่นอนอยู่บนเปลหาม ลูบหลังมือของเขาและพูดกับเขาว่า “อี้โจว คุณต้องปลอดภัย เมื่อคุณฟื้นขึ้นมา ฉันมีบางสิ่งที่สำคัญมากจะบอกคุณ”
ในที่สุดเสิ่นอี้โจวก็ถูกเข็นออกจากห้องผ่าตัด นายแพทย์เรียกเซี่ยชิงหยวนไปที่ห้องตรวจและอธิบายให้เธอฟังเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บ
ในตอนท้าย แพทย์พูดด้วยความเสียใจว่า “เราเพิ่งพบก้อนเลือดในช่องท้องของเขาระหว่างการผ่าตัด ต่อมาเราจึงได้ค้นประวัติการรักษาของผู้บาดเจ็บที่โรงพยาบาลนี้ จึงพบว่าเมื่อไม่นานมานี้เขามาที่นี่ และผลการวินิจฉัยของโรงพยาบาลในตอนนั้น… เขามีเนื้อร้ายในช่องท้อง หากเขาไม่ใช้เวลาในการรักษา มันมีโอกาสสูงที่จะกลายเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารได้”
ได้ยินคำพูดของหมอ เซี่ยชิงหยวนเหมือนถูกสายฟ้าฟาด
เธอยืนอยู่ที่นั่นด้วยความงุนงง และไม่รู้สึกตัวเป็นเวลานาน
น้ำตาไหลลงมาจากดวงตาของเธอเป็นสาย หญิงสาวทรุดตัวลงคุกเข่าต่อหน้าหมอทันที “หมอคะ ช่วยเขาด้วย! เขายังอายุไม่เท่าไหร่เอง โปรดช่วยเขาด้วยนะคะ!”
สายตาของหมอเฉียบคม จากนั้นเขาก็รีบประคองเซี่ยชิงหยวนที่คุกเข่าขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
เขาปลอบโยนว่า “สถานการณ์ของเขาในตอนนี้ยังไม่เลวร้ายขนาดนั้น แต่ผมถามหมอที่วินิจฉัยเขาแล้ว หมอคนนั้นบอกว่าคนไข้ยืนกรานปฏิเสธการรักษา โดยให้เหตุผลว่ามีหลายอย่างที่ต้องทำ ดังนั้นคุณช่วยโน้มน้าวให้เขารับการรักษาได้ไหมนะครับ หากพวกคุณร่วมมือกัน มันก็ยังมีโอกาสสูงที่จะรักษาหาย”
เมื่อได้ยินหมอบอกว่ามีโอกาสหายดี เซี่ยชิงหยวนโล่งใจในที่สุด
เธอถามแพทย์ถึงข้อควรระวังบางอย่าง แล้วเดินกลับไปยังห้องพักผู้ป่วย
แต่ยิ่งเดิน เท้าของเธอก็ยิ่งหนักขึ้น จนกระทั่งเธอไม่สามารถยกมันขึ้นได้อีก
เธอพิงผนังในโรงพยาบาลและร้องไห้ออกมาเงียบ ๆ
เธอคิดว่าหลังจากผ่านชีวิตและความตายมาทั้งหมด เธอกับเสิ่นอี้โจวจะสามารถเป็นสามีภรรยาที่สมบูรณ์และมีความสุขได้
เขาเป็นคนดี ทำไมพระเจ้าถึงยัดเยียดความทุกข์ทรมานทั้งหมดไว้ที่เขาแบบนี้
เมื่อเดินไปถึงเตียงผู้ป่วย มันยังคงมีน้ำตาเปรอะอยู่ที่หางตาของเธอ
เมื่อมองเสิ่นอี้โจวที่ยังอยู่ในอาการโคม่า เธอก็รู้สึกเศร้าขึ้นมา
เธอสำลักและพูดว่า “คนสารเลว ทำไมคุณไม่บอกฉันว่าคุณป่วย! ทำไมคุณไม่รักษาตัวเอง! ถ้าคุณตาย คุณเคยคิดบ้างไหมว่าฉันจะมีชีวิตต่อไปยังไง?”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เซี่ยชิงหยวนก็ยกมือปิดหน้าและก้มหน้าลง เธอร้องไห้ร้องจนรู้สึกว่ามีใครบางคนสัมผัสมือของเธอ
เธอเงยหน้าขึ้นและก็พบว่าเสิ่นอี้โจวตื่นขึ้นมาแล้ว
เขาส่งยิ้มที่แลดูอ่อนล้ามาให้เธอ และใช้นิ้วเรียวเช็ดน้ำตาบนใบหน้าของอีกฝ่าย “อย่าร้องไห้เลย”
เมื่อเห็นเขาตื่นแล้ว เซี่ยชิงหยวนก็ยิ้มทั้งน้ำตาและเรียกชื่อเขาด้วยเสียงสะอื้น “อี้โจว”
คิ้วและดวงตาของเสิ่นอี้โจวอ่อนโยน “ผมอยู่นี่”
เมื่อเห็นท่าทางสงบของเขา เซี่ยชิงหยวนก็โกรธมากเสียจนอยากจะเอื้อมมือไปตบเขา
เพียงแต่สภาพของเขาดูไม่ค่อยดีอยู่แล้ว ดังนั้นเธอจึงข่มอารมณ์ไม่ตบเขา แต่สะกิดเอวเขาอย่างขุ่นเคืองแทน “ฉันคิดว่าจะไม่ได้เจอคุณอีกแล้ว!”
เสิ่นอี้โจวจับมือเธอ “ผมจะไม่ปล่อยมือของคุณไปอีกแล้ว”
ตอนที่เขาติดอยู่ในถ้ำ ความคิดอันเห็นแก่ตัวนั้นทำให้เขาอยากทำมันให้เป็นจริง
เขาต้องการจะอยู่กับเธอในทุกชั่วชีวิต
เมื่อนึกถึงสิ่งที่หมอพูดเมื่อครู่ เซี่ยชิงหยวนก็อยากจะสะบัดมือออกทันที เธอทั้งโกรธและทุกข์ใจ “คนที่ไม่สนใจความเจ็บป่วยของตัวเองอย่างคุณ ต่อให้คุณไม่อยากปล่อยมือจากฉัน คุณก็ต้องปล่อยฉันไว้คนเดียวอยู่ดี! ทำไมคุณถึงซ่อนเรื่องใหญ่ขนาดนี้จากฉัน คุณ…คุณไม่ยอมเข้ารับการรักษาเพราะคุณไม่ต้องการมีชีวิตอยู่อีกแล้วใช่ไหม!”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ เสิ่นอี้โจวก็ตกใจ
จากนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าหมอคงต้องบอกเซี่ยชิงหยวนเกี่ยวกับเนื้อร้ายในช่องท้องของเขาแน่นอน
ทว่าตอนนี้เขาตัดสินใจแล้วว่าจะอยู่กับเธอ ดังนั้นเขาจะไม่เก็บเรื่องนี้ไว้กับตัวเองอีก
เขาทำได้เพียงจับมือเธอและขอโทษ “ผมขอโทษ ชิงหยวนผมขอโทษ”
หญิงสาวยื่นมืออีกข้างออกมา บิดหูของเขาเบา ๆ แสร้งทำเป็นโมโห “ฉันบอกคุณไว้เลยนะ ชีวิตของคุณฉันเป็นคนช่วยเอาไว้ ดังนั้นตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปหากไม่ได้รับอนุญาตจากฉัน คุณต้องไม่ยอมแพ้ เข้าใจไหม?”
เบ้าตาของเสิ่นอี้โจวเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง เขาพยักหน้า ลำคอของเขาแห้งผาก “ตกลง”
เขาไม่เคยอยากมีชีวิตแบบนี้เลยสักครั้ง
เขาต้องการจะเป็นที่หลบภัยเพื่อป้องกันอันตรายให้อีกฝ่ายและบรรเทาความโศกเศร้าของเธอ
เซี่ยชิงหยวนมีความสุขมากกับความร่วมมือของเสิ่นอี้โจว
เธอยืนขึ้นและเช็ดน้ำตา “คุณรอก่อนนะ ฉันจะไปเรียกหมอมา”
ทางที่ดีควรให้หมอวางแผนการรักษาในวันนี้ ในขณะที่เหล็กยังร้อนอยู่
ถ้าโรงพยาบาลที่เมืองเตียนเฉิงรักษาไม่ได้ ก็ส่งตัวไปรักษาที่เมืองหลวงของจังหวัด ถ้าที่เมืองหลวงของจังหวัดยังรักษาไม่ได้อีกก็ไปที่เมืองหลวงของประเทศ! มันต้องมีทางออกเสมอ!
เสิ่นอี้โจวมองตามเซี่ยชิงหยวนที่เดินออกไปอย่างเร่งรีบ จากนั้นเขาก็หัวเราะเบา ๆ
จากนั้นสายตาของเขาก็เหม่อลอยไปบนท้องฟ้า
ถ้าเขาได้อยู่กับเซี่ยชิงหยวนแล้วเจตจำนงของสวรรค์ล่ะ?
หลังจากปรึกษาหารือกับผู้เชี่ยวชาญของโรงพยาบาล สุดท้ายพวกเขาตัดสินใจตัวชิ้นเนื้อจากกระเพาะอาหาร และนำไปวิเคราะห์ตามหลักพยาธิวิทยาในลำดับถัดไป
พวกเธอจะรอให้ผลการวิเคราะห์ออกมาก่อน แล้วค่อยตัดสินใจเลือกแผนการรักษาขั้นสุดท้าย
เมื่อเซี่ยชิงหยวนได้ยินว่าตัวอย่างจากกระเพาะอาหารยังจำเป็นต้องรอผลการตรวจอยู่ เธอก็กังวล แต่เธอซ่อนอารมณ์ไว้เพราะไม่ต้องการให้เสิ่นอี้โจวรู้
แต่ชายหนุ่มกลับจับมือเธออย่างระมัดระวัง “ไม่ต้องกังวล ไม่เป็นไร”
เซี่ยชิงหยวนยังคงยิ้มได้ “อืม”
ทันทีที่แพทย์ก้าวออกจากวอร์ด ฉินซูอวี้ก็มาถึง
เธอในเสื้อของโรงพยาบาลเคาะประตูด้วยใบหน้าซีดเซียว
ในบรรดาผู้คนที่ถูกนำส่งโรงพยาบาล เธอเป็นคนเดียวที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่อ่อนแอเกินไป โจวหยางขาหักเพื่อช่วยเธอ เสิ่นอี้โจวได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะและแขนเพื่อช่วยโจวหยาง แต่เธอกลับทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น…
เซี่ยชิงหยวนโกรธเคืองเมื่อนึกถึงเรื่องนี้
เธอมองไปยังเสิ่นอี้โจวและขอความเห็นจากเขา
ชายหนุ่มมองผู้เป็นภรรยาอย่างปลอบโยนก่อน แล้วจึงพูดกับฉินซูอวี้ที่รออยู่ “เข้ามา”