กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี - บทที่ 89 พี่เขย
บทที่ 89 พี่เขย
บทที่ 89 พี่เขย
ตอนเที่ยงเป็นเวลาพักกลางวันของเจ้าหน้าที่ศาลากลาง
เจ้าหน้าที่แต่ละคนเริ่มวางงานที่ทำอยู่และเดินไปที่โรงอาหารที่อยู่ทางด้านหลัง
ตึกสำนักงานของศาลากลางเป็นอาคารสองชั้นเพียงแห่งเดียวในเมืองเตียนเฉิง
จากทั่วทั้งเมือง อาคารสำนักงานของศาลากลางนั้นไม่เพียงสูงเด่น แต่รูปแบบของมันยังยิ่งใหญ่อลังการและมีรูปปั้นสิงโตหินคู่ถูกตั้งอยู่บริเวณทางเข้าประตู
ฝีเท้าของทุกคนจะเบาเป็นพิเศษ เพราะกลัวจะรบกวนเหล่าผู้นําทั้งหลายที่อยู่ชั้นบน
สํานักงานของเสิ่นอี้โจว รวมถึงห้องทำงานของนายกเทศมนตรี รองนายกเทศมนตรีและบรรดาเลขาธิการทั้งหลายต่างก็อยู่ชั้นบน
เหล่าผู้นำระดับสูงหลายคนเดินเคียงข้างกัน ทว่ามีเพียงเสิ่นอี้โจวเท่านั้นที่โดดเด่นที่สุด เพราะเขาไม่เหมือนกับเหล่าผู้นำระดับสูงคนอื่น ๆ ที่มีร่องรอยผมสีดอกเลาตรงขมับ และใบหน้าเหี่ยวย่นตามกาลเวลา
และเป็นเพราะชายหนุ่มอีกเช่นกัน หญิงสาวในสำนักงานแห่งนี้จึงมีความกล้าซึ่งหายาก พวกเธอลอบส่งสายตาไปให้เสิ่นอี้โจว
ราวกับเขามองไม่เห็นมัน เสิ่นอี้โจวทำเพียงสนทนากับคนทั้งสามโดยไม่เหลือบไปมองทางด้านข้างเลยแม้แต่น้อย
ผู้อำนวยการหยางฉุนอี้กล่าวด้วยรอยยิ้ม “เสี่ยวเสิ่นนี่หวังพึ่งได้จริง ๆ ทันทีที่เขามา บรรยากาศของศาลากลางเราก็แตกต่างไปทันที”
เลขาธิการหนิงเซี่ยวเฉิงยังกล่าวอีกว่า “ใช่ไหมล่ะ? ใครมันจะมาเหลียวแลคนแก่ ๆ แบบเรากันล่ะครับ”
ขณะกำลังสนทนา พวกเขาก็ระเบิดหัวเราะออกมา
เสิ่นอี้โจวโบกมือปัดอย่างถ่อมตัว “มันก็แค่รูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น อย่าถือเป็นจริงเป็นจังเลยครับ”
รองผู้อํานวยการเหอเส้าหยวนพูดว่า “งั้นเราไปทานมื้อเที่ยงที่โรงอาหารแล้วมื้อเย็นค่อยไปที่โรงอาหารแล้วกัน”
หยางฉุนอี้เป็นเจ้าภาพสำหรับมื้อเย็นเมื่อคืน ซึ่งไม่ค่อยมีงานเลี้ยงพวกนี้ในหน่วยงานของพวกเขาเท่าไหร่
แต่เมื่อเหอเส้าหยวนพูดแบบนี้ หลาย ๆ อย่างจึงดูเปลี่ยนไป
เสิ่นอี้โจวเข้าไปพัวพันกับการโอ้อวดทำนองนี้อยู่บ่อยครั้งตอนที่เขาย้ายมาที่นี่ครั้งแรก หากมีการแพร่งพรายออกไป มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก
เหอเส้าหยวนอยู่ในวงการการเมืองมาหลายปี จึงไม่มีทางที่เขาจะไม่เข้าใจเรื่องพวกนี้
ใบหน้าของเสิ่นอี้โจวยังคงรักษารอยยิ้มการค้าไว้ แต่ดวงตาของเขาค่อย ๆ เย็นเยียบ
แต่เมื่อเขากำลังจะพูด หนิงเซี่ยวเฉิงก็โพล่งว่า “มีองค์กรไหนที่ไม่รวมตัวกันเป็นกลุ่มบ้างล่ะครับ? เมื่อคืนเราก็จัดงานเลี้ยงเพื่อต้อนรับเสี่ยวเสิ่น หรือหากต้องออกไปกินร้านอาหารข้างนอกอีก มันก็ยังคงเป็นไปเพราะเรื่องทํางานทั้งนั้น”
หนิงเซี่ยวเฉิงกับเหอเส้าหยวนมักจะขัดแย้งกันอยู่เสมอ การปะทะคารมระหว่างคนทั้งสองจึงเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นในหน่วยงาน
เสิ่นอี้โจวรู้ว่าที่หนิงเซี่ยวเฉิงทำแบบนี้ ก็เพราะอีกฝ่ายชื่นชอบเขา
เมื่อเทียบกับเหอเส้าหยวน เขาเต็มใจที่จะมีมิตรภาพที่ดีกับคนอย่างหนิงเซี่ยวเฉิงมากกว่า
ยิ่งกว่านั้นเขายังได้รับข่าวจากหยวนหงลี่ว่า คนที่อยู่เบื้องหลังหยางฉุนอี้กําลังถูกสอบสวน
ดังนั้นชายคนนี้อาจจะอยู่ได้อีกไม่นาน
ดังนั้นเขาจึงไม่มีเหตุผลที่จะต้องไม่ยอมรับการล่วงเกินอีกฝ่ายของหนิงเซียวเฉิง
เสิ่นอี้โจวพยักหน้าและพูดว่า “สิ่งที่เลขาหนิงพูดนั้นถูกต้องแล้วครับ งานทั้งหมดของเราทําก็เพื่อมวลชน เมื่อคืนเป็นงานเลี้ยงส่วนตัวของพวกเรา แต่ถ้ารองผู้อำนวยการเหอสนใจ เราก็สามารถนัดหมายกันอีกครั้งได้ แต่เป็นการนัดแบบส่วนตัว”
เสิ่นอี้โจวเน้นคำว่า ‘นัดแบบส่วนตัว’ เพื่อความชัดเจนมากขึ้น
เหอเส้าหยวนเคยคิดว่าเสิ่นอี้โจวนั้นยังเด็กและสามารถเล่นได้ด้วยไม่ยาก
ทว่ากลับกลายเป็นว่าอีกฝ่ายจะเป็นคนที่มิอาจล่วงเกินได้อีกคนหนึ่ง
และความกดดันที่ชายหนุ่มแผ่ออกมา ก็ราวกับคนที่อยู่ในตําแหน่งระดับสูงมาเป็นเวลานานแล้ว
ในใจของเหอเส้าหยวนไม่มีความสุขเลย แต่ใบหน้าของเขายังคงแย้มยิ้ม “คือว่าฉันไม่ค่อยได้คุยเรื่องจริงจังเท่าไหร่ ครั้งนี้เลยพูดเรื่องที่ไม่เหมาะสมไปซะแล้ว ครั้งต่อไปฉันจะเป็นเจ้าภาพเอง ยังไงก็มากินเลี้ยงด้วยกันเถอะ”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เสิ่นอี้โจวและคนอื่น ๆ ก็ยิ้มและไม่พูดอะไรอีก
ทว่าหลังจากครุ่นคิดมาสักพัก คลื่นในใจของหลายคนก็สงบลง
เนื่องจากภาระงาน พวกผู้นําระดับสูงของศาลากลางส่วนใหญ่จึงไม่ค่อยมีเวลาทานอาหารมากนัก
แต่นอกจากการทานอาหารร่วมกันในห้องอาหารใหญ่แล้ว พวกเขาก็มีห้องอาหารเล็กแยกออกมาต่างหากด้วย
หรือเรียกอีกอย่างก็คือ พวกเขาใช้วัตถุดิบชนิดเดียวกันสำหรับปรุงอาหารในหม้อใบเดียวกันนั่นเอง
กลุ่มสี่คนของเสิ่นอี้โจวเข้าไปในห้องอาหารขนาดเล็กเพียงลำพัง
ทุกคนเข้าไปนั่งในห้องพูดคุยกัน และหลังจากนั้นไม่นานก็มีเสียงเคาะประตู
เหอเส้าหยวนตะโกนตอบ “เข้ามา”
ทันใดนั้นหญิงวัยกลางคนที่แต่งตัวเป็นแม่ครัว ก็เดินเข้ามาพร้อมถาดอาหารในมือ
ด้านหลังของเธอมีหญิงสาวที่มีสีหน้าหม่นหมองอีกคนหนึ่ง เดินถือถาดอาหารตามเข้ามาเช่นกัน
หญิงวัยกลางคนส่งสายตาเตือนหญิงสาวอย่างเคร่งขรึม จากนั้นก็ส่งยิ้มให้กับผู้คนในห้องแล้วเดินเข้ามา
ขณะวางจานลง เธอพูดพร้อมด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านผู้นําทั้งหลายโปรดลิ้มรสอาหารของเรา”
หลังจากวางจานอาหารทั้งหมดในถาดของเธอลงบนโต๊ะ เธอก็ยังเห็นว่าหญิงสาวยังคงใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว พนักงานคนนั้นจึงรีบส่งสายตาเตือนให้อีกฝ่ายเอาอาหารมาวางบนโต๊ะทันที
แต่ในใจของหญิงวัยกลางคนในตอนนี้กลับกำลังสาปแช่งว่าเธอไม่ควรรับความช่วยเหลือจากคนรู้จักเลย และไม่ควรแนะนำคนแบบนี้เข้ามาทำงานด้วยซ้ำ
จางอวี้เอ๋อตระหนกเมื่อเห็นสายตาตำหนิของผู้หญิงวัยกลางคน
เธอทำงานอยู่ที่นี่เพียงไม่กี่วันเท่านั้น กลับได้หน้าที่เสิร์ฟอาหารให้กับเหล่าผู้นำ
แม้ว่าเธอจะโตมากแล้ว แต่ยังไม่เคยได้เห็นผู้นำคนไหนมาก่อน และยิ่งเป็นผู้นำใหญ่ระดับศาลากลางแล้วยิ่งเป็นคนละเรื่อง
เธอลอบสาปแช่งเพื่อนร่วมงานที่ลางานวันนี้ ทําให้ตัวเธอต้องมารับหน้าที่ที่กดดันนี้แทน
แต่ไม่ว่าเธอจะกลัวแค่ไหน วันนี้เธอก็ต้องผ่านพ้นมันไปให้ได้
ดังนั้นเธอจึงเดินไปยืนข้างผู้หญิงวัยกลางคนและยื่นถาดให้
ด้านหน้าของเธอเป็นชายร่างสูงที่หันหลังให้เธอ ซึ่งดูจะหนุ่มที่สุดในวงอาหาร
จางอวี้เอ๋อหยุดคิดเล็กน้อยว่า ผู้นําระดับสูงคนนี้แต่งงานแล้วหรือยัง และเขาหล่อไหมนะ?
ทันใดนั้นเธอได้ยินผู้นําอีกคนพูด “อี้โจว อาหารของห้องอาหารเล็กที่หน่วยงานจัดสรรให้อาจจะไม่ได้รสชาติเหมือนกับอาหารฝีมือภรรยาของคุณหรอกนะ”
จากนั้นชายหนุ่มก็ตอบว่า “ที่ไหนกันล่ะครับ ภรรยาของผมเธอก็มีฝีมือในแบบของตัวเอง”
ด้วยเสียง ‘ปัง’ ถาดในมือของจางอวี้เอ๋อและอาหารทั้งหมดก็ตกลงไปที่พื้น
เศษอาหารบางชิ้นกระเด็นใส่เสื้อของเสิ่นอี้โจวอย่างช่วยไม่ได้
ทุกคนตกใจกับเหตุการณ์ฉับพลันนี้ และผู้หญิงวัยกลางคนที่พาจางอวี้เอ๋อเข้ามาก็ยิ่งเสียใจมากกว่าเดิม
เธอรีบขอโทษ “ท่านผู้นําทั้งหลาย ดิฉันขอโทษจริง ๆ ค่ะ! เธอเพิ่งเข้ามาทำงานใหม่เลยยังทำหน้าที่ได้ไม่ดี ฉันขอโทษจริงๆ!”
เสิ่นอี้โจวโบกมือโดยไม่หันหลังกลับไปมอง “ช่างเถอะครับ”
จากนั้นเขาดึงทิชชู่บนโต๊ะและเช็ดเศษอาหารบนร่างกายของตน
สีหน้าของหนิงเซี่ยวเฉิงดูจะมองไม่ได้เล็กน้อย แต่เขาก็ไม่ได้เอะอะ
เขาพูดเพียงว่า “แค่ทําความสะอาดพื้นและนําอาหารของครัวใหญ่มาแทนก็พอ”
หญิงวัยกลางรีบตอบกลับ “ได้ค่ะ ได้ค่ะ”
จากนั้นเธอก็นั่งยองลงเพื่อทำความสะอาดพื้น
เมื่อเห็นว่าหญิงสาวยังคงตกตะลึง หญิงวัยกลางคนจึงดึงกางเกงอีกฝ่ายและเรียกสติกลับมา
แม้เลขาธิการคนใหม่จะดูดี แต่แกจะมองเขาแบบนั้นไม่ได้!
ตอนนี้หญิงวัยกลางคนกังวลว่า เธอจะโดนหักเงินเดือนเพราะความผิดพลาดในครั้งนี้หรือไม่
ใครจะไปรู้ว่าจางอวี้เอ๋อจะกลายเป็นเหมือนมารที่สร้างความวายวอดให้เธอแบบนี้
แม้แต่หยางฉุนอี้กับเหอเส้าหยวนก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
เหอเส้าหยวนขยิบตาให้ผู้หญิงวัยกลางคน และส่งสัญญาณให้เธอรีบพาคนออกไป
ใครจะรู้จางอวี้เอ๋อกลับโผตัวเองเข้าหาเสิ่นอี้โจวและตะโกนด้วยสีหน้าดีใจ “พี่เขย!”
ผู้คนที่อยู่ในห้องต่างตกใจทันที
นี่คือน้องสาวภรรยาของเลขาธิการเสิ่น?