กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี - บทที่ 9 ไม่ต้องร้องไห้ ผมอยู่ตรงนี้
บทที่ 9 ไม่ต้องร้องไห้ ผมอยู่ตรงนี้
บทที่ 9 ไม่ต้องร้องไห้ ผมอยู่ตรงนี้
เสิ่นอี้โจวไม่ตอบเธอ
เขามองดูรอยแดงบนแก้มของอีกฝ่ายอย่างเงียบ ๆ ดวงตาของเขาดูลุ่มลึกและอารมณ์ของเขาก็ไม่ชัดเจน
ชายหนุ่มยกมือขึ้นลูบใบหน้าของเธออย่างอ่อนโยนและระมัดระวัง
เธอได้ยินเขาถามว่า “เจ็บไหม”
ไม่เหมือนกับความร้อนของโลกทั้งใบ เซี่ยชิงหยวนรู้สึกว่ามีกลิ่นอายที่อบอุ่นแผ่ออกมาจากร่างของเขา
มันเป็นสัมผัสที่แสนสบายและสดชื่นของฤดูร้อน
ตั้งแต่บริเวณแก้มที่เขาสัมผัสไปจนถึงหัวใจที่บอบช้ำของเธอ จากนั้นหญิงสาวก็โผกอดชายหนุ่มในทันที
น้ำตาที่เพิ่งหยุดไหลกลับรินไหลออกมาอีกครั้งอย่างควบคุมไม่ได้
เธอเหมือนเดินคนเดียวมานาน แต่ทันใดนั้นก็มีคนหยิบยื่นความห่วงใยและความอบอุ่นมาให้
เธออยากจะบอกว่าความเจ็บปวดไม่ได้มากนัก แต่น้ำตาที่ไหลออกมาทำให้เธอสะอื้นไห้จนแทบสำลัก
เธอได้ยินเขาถอนหายใจ จากนั้นทั้งร่างของหญิงสาวก็ตกอยู่ในอ้อมแขนของชายหนุ่ม
เขาถือร่มในมือข้างหนึ่ง ตบหลังเธออย่างงุ่มง่ามด้วยมืออีกข้างหนึ่ง น้ำเสียงของเขาเศร้าสร้อยจนแทบจับต้องไม่ได้ “อย่าร้องไห้ ผมอยู่ตรงนี้แล้ว”
หลังจากได้ยินคำปลอบโยนนี้ เซี่ยชิงหยวนก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป เธอโอบกอดเขาด้วยมือทั้งสองข้าง เอาหน้าซุกกับหน้าอกของเสิ่นอี้โจวแล้วก็ร้องไห้โฮออกมา
มันเป็นน้ำตาสำหรับความคับแค้นใจและความอดกลั้นตลอดยี่สิบเอ็ดปีของเธอ และสำหรับความผิดพลาดที่เธอทำในชาติที่แล้วด้วย
และชายคนนี้ก็ยังคงรักเธอมาก แม้จะค่อนข้างเงอะงะก็ตาม
หลังจากผ่านไปนาน ในที่สุดเมื่อเธอก็สงบลง เสิ่นอี้โจวดึงชายเสื้อของตนเพื่อเช็ดน้ำตาให้อีกฝ่าย
หลังจากสงบสติอารมณ์ เซี่ยชิงหยวนรู้สึกอายเล็กน้อยและไม่กล้ามองเข้าไปในดวงตาของเขา
ชายหนุ่มจับมือเธอแล้วพูดว่า “กลับบ้านกันเถอะ”
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า “ค่ะ”
บนถนนในชนบทมีต้นกล้าสีเขียวและกลุ่มดอกไม้ป่าปลูกอยู่ริมถนนและสุดถนนคือบ้านของพวกเขา
มันเป็นบ้านที่เธอสาบานว่าจะปกป้องมันให้ได้ในชีวิตนี้
เมื่อถึงบ้าน หลินตงซิ่วกับเสิ่นอี้หลินกลับไม่อยู่ที่นั่น
เซี่ยชิงหยวนรู้สึกร้อนมาก เธอจึงกลับไปที่ห้องของตัวเองทันที
เสิ่นอี้โจวไปเอาอ่างน้ำเข้ามาอย่างรวดเร็ว “คุณเหงื่อออก ล้างตัวเถอะ”
หญิงสาวรู้สึกอบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูก “ขอบคุณค่ะ”
เสิ่นอี้โจวหยุดชะงักเมื่ออีกฝ่ายกล่าวคำขอบคุณ ก่อนจะพูดว่า “คุณเปลี่ยนเสื้อผ้าด้วยก็ดีนะ”
พูดจบ เขาก็เดินออกจากห้องไป
เมื่อได้เผชิญหน้ากับท่าทีที่แตกต่างจากเมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิงของอีกฝ่าย และพฤติกรรมที่พยายามหลีกเลี่ยงของชายหนุ่มในตอนที่เธอจะเปลี่ยนเสื้อผ้า เซี่ยชิงหยวนก็ย่นจมูกแล้วกล่าวว่า “คุณแค่แสร้งทำ”
หลังจากล้างตัวแล้ว หญิงสาวก็เปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นเสิ่นอี้โจวก็กลับมาพร้อมกับขวดเล็ก ๆ ในมือของเขา
เมื่อเขาเข้ามา เซี่ยชิงหยวนกำลังติดกระดุมเสื้ออยู่พอดี ทั้งสองคนจึงรีบหันหลังให้กันทันที
แต่แล้วหญิงสาวก็รู้สึกไม่ดี นี่คือสิ่งที่คู่สามีภรรยาควรเป็นไม่ใช่หรือ?
ดังนั้นเธอจึงหันกลับมาอีกครั้งเพื่อเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย
ทว่าชายหนุ่มยังคงหันหลังให้เธอ
เขาวางขวดเล็กในมือลงบนโต๊ะแล้วพูดว่า “เอานี่ไปทาหน้าสิ”
หลังจากพูดจบ เขาก็ทำท่าจะเดินจากไป
“นี่ เดี๋ยวก่อนสิ” เซี่ยชิงหยวนเรียกเขา “ทำไมคุณถึงรีบร้อนขนาดนั้น”
เธอก้าวขาไปข้างหน้า จับแขนของเขาและยิ้ม “ทาให้ฉันหน่อยสิคะ”
ยังมีกระดุมบางเม็ดที่ไม่ได้ติด เมื่อเสิ่นอี้โจวมองลงมาหลังจากได้ยินคำขอนั้น เขาก็รีบเสมองทางอื่นอย่างรวดเร็ว
คิ้วคมขมวดมุ่น เขาไม่รู้ว่าเธอกำลังคิดอะไรอยู่
ตอนแรกเซี่ยชิงหยวนคิดว่าเขาจะปฏิเสธ แต่เธอกลับได้ยินเขาพูดว่า “ได้สิ”
เขานั่งที่โต๊ะโดยหันหน้าเข้าหาเธอ
ชายหนุ่มเปิดฝาขวด ปาดยาสีเขียวอ่อนคล้ายครีมด้วยปลายนิ้ว จากนั้นแตะเบา ๆ ที่แก้มของเธอ
เซี่ยชิงหยวนจงใจไม่ให้ความร่วมมือ และหันหน้าไปในทิศทางตรงกันข้าม
เสิ่นอี้โจวไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากยื่นมืออีกข้างไปจับคางของเธอเพื่อให้หันหน้าเข้าหาเขา
ปลายนิ้วหยาบเล็กน้อยของเขาลูบผิวแก้มของเธอเบา ๆ ทำให้รู้สึกเสียวซ่านแปลก ๆ
เขาหลุบตาลงเล็กน้อย สีหน้าดูมุ่งมั่นและจริงจัง แม้แต่ริมฝีปากของเขาก็ยังเม้มเข้าหากัน
เซี่ยชิงหยวนเชิดคางขึ้นเล็กน้อยเช่นกัน และมองอีกฝ่ายไม่วางตา
ตั้งแต่คิ้วรูปทรงดาบของเขาไปจนถึงดวงตาฟีนิกซ์ที่เย็นชา ขนตาของเขากระพือราวกับพัดขนาดเล็ก ทอดเงายาวบนเปลือกตาของเขา
เซี่ยชิงหยวนมองพินิจตั้งแต่จมูกโด่งสันไปจนถึงริมฝีปากบาง และคางที่เข้ารูปของอีกฝ่าย
ในที่สุด การจ้องมองของเธอก็จับจ้องไปที่ริมฝีปากของเขา
หญิงสาวเผลอกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว
ผู้ชายคนนี้หล่อมากจริง ๆ
จากนั้นเธอก็พูดโพล่งออกมา “เสิ่นอี้โจว คุณดูดีมากเลย”
นิ้วของเสิ่นอี้โจวชะงักกึก
จากนั้นเขาก็เหลือบมองเธอ “ขอบคุณ”
เซี่ยชิงหยวน “…”
เธอพยายามต่อไปโดยยื่นหน้าเข้าใกล้เขา “ถ้าอย่างนั้นบอกฉันสิว่าฉันดูดีไหม”
พูดได้ว่า ตอนนี้ชิงหยวนมีความเป็นตัวของตัวเองเต็มที่ หญิงสาวเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ
โดยไม่รู้ตัว เสิ่นอี้โจวสบตาเข้ากับดวงตาที่เป็นประกายของเธอ
เซี่ยชิงหยวนเห็นการหลบเลี่ยงและดิ้นรนอย่างแยบยลของชายหนุ่มแล้ว หัวใจของเธอก็เต้นรัวตามไปด้วย
เธอได้ยินเขาพูดว่า “ดูดี…”
น้ำเสียงของเขาจริงใจและสีหน้าของเขาก็จริงจัง แต่ทั้งสองอย่างนั้นไม่ใช่สิ่งที่เธอต้องการ
ในขณะที่พูด ชายหนุ่มก็ทายาให้เธอเสร็จแล้ว เขาทาเป็นชั้นบาง ๆ ไม่หนักหน้า ทำให้รู้สึกเย็นสบายมาก
เมื่อมองดูใกล้ ๆ รอยแดงก็ไม่ชัดเจนเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว
หลังจากเสียงประตูเปิดออก เซี่ยชิงหยวนไม่ได้พูดอะไรอีก แต่ปัดผมไปด้านหลังและพยายามปิดแก้มของเธอเล็กน้อย
ในไม่ช้า เสียงก็ดังมาจากนอกบ้าน เป็นเสียงของหลินตงซิ่ว เสิ่นอี้หลินและผานเยว่กุ้ย
มุมปากของเซี่ยชิงหยวนกระตุก
ใบหน้าของผานเยว่กุ้ยนี้หนามากจริง ๆ การกระทำของอีกฝ่ายเมื่อวานนี้น่าเกลียดมาก และมันจะเกิดขึ้นอีกในวันนี้
เสิ่นอี้โจวลุกขึ้นเพื่อใส่ยาลงในลิ้นชัก ส่วนเซี่ยชิงหยวนก็เดินออกไปจากห้อง
ที่ประตูห้องครัว ผานเยว่กุ้ยกำลังถือเนื้อครึ่งชิ้นที่มีเชือกฟางมัดอยู่ มันเป็นเนื้อที่เสิ่นอี้โจวทิ้งไว้ที่บ้านก่อนจะเดินทางไปเยี่ยมหมู่บ้านซิ่งฮวาในวันนี้
เป็นเพราะหลินตงซิ่วไม่ยอมกินคนเดียว และต้องให้พวกเขากลับมาร่วมมื้ออาหารค่ำด้วยกัน จึงยังคงมีเนื้อบางส่วนเหลืออยู่
ผานเยว่กุ้ยไม่ได้สังเกตเห็นว่าเสิ่นอี้โจวกับเซี่ยชิงหยวนกลับมาแล้ว เธอจึงชูเนื้อขึ้นและพูดว่า “แม่ของแกกับฉันอยู่ที่บ้าน ช่วงนี้เราไม่ได้กินอะไรมากนักจนผอมโซ ถ้าเราได้กินเนื้ออีกก็น่าจะดีขึ้น ยิ่งตอนนี้อาการขาของสามีฉันแย่ลงมากในช่วงสองวันนี้ ฉันรู้สึกไม่สบายใจ เลยว่าจะเอาเนื้อกลับไปทำอาหารให้เขาสักหน่อย”
หลินตงซิ่วดูลำบากใจ เธออ้าปากค้างโดยไม่รู้จะปฏิเสธยังไง
ใบหน้าของเสิ่นอี้หลินที่อยู่ข้าง ๆ กลับเป็นสีแดงสลับดำด้วยความโกรธ
เมื่อเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด เซี่ยชิงหยวนก็ตะคอกออกมา “คุณป้าเป็นพวกชอบตีลมฤดูใบไม้ร่วงจริง ๆ*[1]สินะคะ ถึงได้กล้าพูดออกมาน่าไม่อายแบบนี้”
เธอเดินไปและคว้าเนื้อจากมือของอีกฝ่าย “ฉันเห็นอยู่นะว่าครอบครัวของคุณป้าอวบอ้วนและแข็งแรงดี แต่พวกเขากลับไม่ละอายใจ และยังมากินเนื้อของบ้านเราอีก”
ผานเยว่กุ้ยตกตะลึงกับการปรากฏตัวอย่างกะทันหันของเซี่ยชิงหยวน จากนั้นเนื้อในมือของเธอก็ถูกคว้าไป
เธออยากจะเอื้อมมือไปคว้ามันกลับมา แต่หญิงสาวกลับเอามันหลบไปข้างหลังและมองเธออย่างไม่แยแส
ผู้เป็นป้าเริ่มโกรธจัด
เธอเท้าสะเอว “นี่! ฉันคุยกับหลานและน้องสะใภ้แล้ว เธอจะมายุ่งทำไม? อาการขาของลุงเขาไม่ดีนัก แค่นี้ก็แบ่งให้ไม่ได้ คิดจะอกตัญญูเหรอไง?”
หลินตงซิ่วกลัวว่าเรื่องจะบานปลาย จึงเกลี้ยกล่อมอย่างกระอักกระอ่วน “ชิงหยวน ช่างมันเถอะ”
เสิ่นอี้หลินมองไปที่หญิงสาวอย่างคาดหวัง ในที่สุดพี่สะใภ้คนนี้ก็กล้าแกร่งขึ้นแล้ว!
เมื่อได้ยินแบบนี้ เซี่ยชิงหยวนก็หัวเราะออกมาอย่างขบขัน
เธอพูดกับแม่สามีว่า “คุณแม่ อย่ากังวลเรื่องนี้เลยค่ะ”
จากนั้นเธอก็หันไปพูดกับผานเยว่กุ้ย “คุณทำตัวน่าเกลียดแบบนี้ ไม่กลัวว่าชาวบ้านจะนินทาบ้างเหรอ ไม่เห็นหรือว่าแม่ของฉันกับอี้หลินไม่เต็มใจจะแบ่งให้น่ะ?”
[1] ตีลมในฤดูใบไม้ร่วง เป็นสำนวน หมายถึง การกล่าวอ้างถึงบุคคลที่สามเพื่อให้ตัวเองได้ผลประโยชน์