กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี - บทที่ 91 จางอวี้เอ๋อผู้มาเยือนถึงประตูบ้าน
- Home
- กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี
- บทที่ 91 จางอวี้เอ๋อผู้มาเยือนถึงประตูบ้าน
บทที่ 91 จางอวี้เอ๋อผู้มาเยือนถึงประตูบ้าน
บทที่ 91 จางอวี้เอ๋อผู้มาเยือนถึงประตูบ้าน
เซี่ยชิงหยวนอยู่ที่บ้านและไม่ได้รับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในสำนักงานของศาลากลางเลย
เธอกลับมาจากบ้านของอาเซียง ทานอาหารกลางวันง่าย ๆ และพักผ่อน
ตอนบ่ายสองโมง เธอลุกขึ้นเพื่อเตรียมสลัดเย็นที่จะขายในตอนเย็น
ผักของครอบครัวของอาเซียงได้รับการทําความสะอาดมาอย่างดีแล้ว และไม่มีใบสีเหลืองแม้แต่ใบเดียว
เธอซื้อเครื่องหั่นผักมาเช่นกัน ซึ่งช่วยประหยัดเวลาในการหั่นผักได้มาก
ราวสี่โมงเย็น เธอก็เตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว
เซี่ยชิงหยวนใส่หมวกฟาง ก่อนจะถีบรถสามล้อจากไป
ทันทีที่มาถึงทางเข้าตลาดขายผัก เธอก็เห็นเจียงเพ่ยหลานยืนรออยู่ก่อนแล้ว
เจียงเพ่ยหลานเกลาผมไว้ตรงท้ายทอย และพันผ้ารอบศีรษะของเธอแลดูสะอาดมาก
ดูเหมือนว่าเพื่อขายสลัดเย็นในวันแรก วันนี้เจียงเพ่ยหลานจึงสวมเสื้อผ้าที่ค่อนข้างใหม่ที่สุดของตัวเองเลยทีเดียว
สําหรับการแต่งกายของเจียงเพ่ยหลาน เซี่ยชิงหยวนพอใจมาก
เพราะในธุรกิจอาหารเช่นนี้ ผู้ขายสินค้าจะทำตัวซอมซ่อได้ยังไง?
เซี่ยชิงหยวนขี่สามล้อเข้ามาและพูดกับเจียงเพ่ยหลานว่า “ไม่ต้องประหม่าหรอกนะคะ ถือซะว่าเป็นประสบการณ์ใหม่ของเธอก็แล้วกัน”
เมื่อเห็นท่าทางที่ไม่กังวลของเซี่ยชิงหยวน หัวใจที่กระสับกระส่ายของเจียงเพ่ยหลานดูจะสงบลง
เจียงเพ่ยหลานยิ้มและพยักหน้า “อืม”
จากนั้นเซี่ยชิงหยวนก็วางป้ายที่มีราคาเขียนไว้ลงโดยไม่พูดให้มากความ
หลังจากกำชับกับเจียงเพ่ยหลานเสร็จเรียบร้อย พวกเธอก็เริ่มขายสลัดเย็น
ราคายังคงไม่เปลี่ยนแปลง สลัดเย็นจานละเป็นสี่เหมาต่อจินเหมือนเคย
เนื่องจากเป็นวันขายครั้งแรกในตลาดแห่งใหม่ เซี่ยชิงหยวนต้องการเรียกลูกค้าก่อน
ด้วยวิธีการเดียวกับต้องที่ขายในตลาดตรงตีนเขาของสถาบันวิจัย หญิงสาววางจานสลัดเย็นใบเล็ก ๆ ก่อน จากนั้นจึงเริ่มตะโกนเรียกลูกค้า
“เร่เข้ามาลองชิมกันเร็ว สลัดเย็นสูตรลับแสนอร่อย!”
“ราคาสี่เหมาต่อจินเท่านั้น หอมหวนไปด้วยน้ำมันถั่วลิสงแท้!”
น้ำเสียงของเซี่ยชิงหยวนทั้งดังฟังชัดและเย้ายวน อีกทั้งรูปลักษณ์ของเธอยังงดงามอีกด้วย เพียงแค่ยืนอยู่ตรงนั้นก็พอจะดึงดูดความสนใจผู้คนได้แล้ว
ไม่ต้องพูดถึงว่าเธอตะโกนแบบนี้ จะเรียกความสนใจของคนจํานวนมากมายขนาดไหน
ยิ่งมีคนเข้ามามุงดูเรื่อย ๆ และมีบางคนซื้อกลับไปบ้างแล้ว
ทว่าเซี่ยชิงหยวนไม่ได้รีบร้อนนัก ในขณะที่ขบวนผู้เลิกงานจากสองข้างทางยังคงมาไม่ถึง เธอจึงตะโกนเรียกต่อไปเรื่อย ๆ
เจียงเพ่ยหลานซึ่งยืนอยู่ทางข้างหลังของเซี่ยชิงหยวน อดไม่ได้ที่จะชื่นชมในความกล้าหาญของหญิงสาว
ถึงอย่างไร การเปิดการค้าเสรีก็เพิ่งดำเนินมาได้เพียงไม่กี่เท่านั้น ดังนั้นทุกคนจึงยังอายที่จะค้าขายของกัน
แน่นอนว่า เมื่อเห็นเซี่ยชิงหยวนกล้าตะโกนขายแบบนี้ นอกจากความชื่นชมแล้ว เธอยังรู้สึกเขินอายเล็กน้อย
เซี่ยชิงหยวนอุตส่าห์จ้างให้เธอมาช่วยขายของ เพราะต้องการสนับสนุนเธอด้านการเงิน ดังนั้นเธอต้องไม่ทําให้อีกฝ่ายผิดหวัง
เจียงเพ่ยหลานมองกระบะที่ใส่สลัดเย็นจำนวนมากไว้อีกครั้ง และกังวลยิ่งว่าวันนี้พวกเธออาจจะขายได้ไม่หมด
ดังนั้นเธอจึงพยายามรวบรวมความกล้าหาญ กระแอมคอให้โล่งก่อนจะตะโกนลั่น
ตอนแรกเธอยังทำได้ไม่ดีนัก แต่หลังจากได้รับสายตาที่ให้กําลังใจของ เซี่ยชิงหยวน เจียงเพ่ยหลานก็รู้สึกกล้ามากขึ้น
ด้วยวิธีนี้ พวกเธอจึงตะโกนทางซ้ายทีขวาที สร้างภาพอันเป็นเอกลักษณ์ขึ้นตรงทางเข้าของตลาดขายผักอันคลาคล่ำไปด้วยผู้คน
หลังจากช่วยกันตะโกน ไม่นานก็มีลูกค้ารายแรกเข้ามาชิม
และเมื่อมีหนึ่ง ก็มีคนที่สองตามมา ไม่นานนักหน้าแผงขายสลัดเย็นของพวกเธอก็มีผู้คนจํานวนมากล้อมรอบ
เซี่ยชิงหยวนได้ศึกษาเกี่ยวกับจิตวิทยาผู้บริโภค
ถ้าเป็นแค่สลัดผักธรรมดา ทุกคนย่อมไม่เต็มใจที่จะซื้อในราคาสี่เหมาต่อจินแน่นอน
แต่หากมีส่วนผสมที่หลากหลายและน้ำมันถั่วลิสงแสนอร่อยละก็ ใครมันจะอดใจไหวล่ะ?
นอกจากนี้ คุณสามารถกินได้ทันที เมื่อซื้อกลับไปถึงบ้านโดยไม่จำเป็นต้องก่อไฟทำอาหารเองให้เปลืองฟืนเปลืองแรง
จากนั้นด้วยการประชาสัมพันธ์ที่แข็งขัน ความเต็มใจที่จะซื้อของทุกคนจึงเพิ่มขึ้นไปโดยปริยาย
เป็นผลให้สลัดเย็นทั้งหมดหกสิบจินที่เซี่ยชิงหยวนนํามาในวันนี้ ขายหมดอย่างรวดเร็วก่อนตลาดจะปิดทำการเสียอีก
เซี่ยชิงหยวนยิ้มและพูดกับลูกค้าทุกคนว่าเธอจะมาขายอีกครั้งในวันพรุ่งนี้ในเวลาเดียวกันและสถานที่เดิม
และสัญญากับลูกค้าที่ไม่ได้ซื้อว่าพวกเธอจะทำสลัดเพิ่มในวันพรุ่งนี้อย่างแน่นอน และจะมีเมนูเพิ่มขึ้นอีกสองเมนู
เซี่ยชิงหยวนอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ “ตลาดขายผักที่นี่มีคนมากจริง ๆ”
เจียงเพ่ยหลานยิ้มอย่างตื่นเต้น “เราขายมันจนหมดได้จริง ๆ ด้วย คาดไม่ถึงเลย!”
เซี่ยชิงหยวนย่อมรู้ดีว่าเจียงเพ่ยหลานต้องกังวลว่าสลัดเย็นจะขายไม่หมด
หญิงสาวจึงกล่าวพร้อมด้วยรอยยิ้ม “ตราบใดที่เรายึดมั่นในคุณภาพสินค้าของเราและทําได้ดี จะมีกลุ่มลูกค้าประจำมาซื้อสินค้าของเราอย่างแน่นอน”
เจียงเพ่ยหลานฟังคําพูดของอีกฝ่ายและอดไม่ได้ที่จะสรรเสริญ “ชิงหยวน ฉันรู้สึกว่าคำพูดของเธอดูมีความรู้จริง ๆ”
คำว่า ‘กลุ่มลูกค้าประจำ’ เป็นคำที่เจียงเพ่ยหลานไม่เคยได้ยินมาก่อน!
เซี่ยชิงหยวนยิ้มและพูดว่า “สักวันหนึ่งเธอก็สามารถเป็นแบบฉันได้”
อันที่จริง สิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่เซี่ยชิงหยวนเรียนรู้จากการทําวิจัยตลาด ตอนที่เธอทำงานอยู่ในบริษัทเสื้อผ้าเมื่อชาติที่แล้ว
วันนี้ขายสลัดเย็นได้หกสิบจิน คิดเป็นรายได้ยี่สิบสี่หยวน ถ้าหักต้นทุนแล้วจะเหลือกําไรประมาณยี่สิบหยวน
เมื่อนับเงินเสร็จ เซี่ยชิงหยวนก็ยื่นเงินจำนวนหนึ่งให้เจียงเพ่ยหลาน “นี่คือเงินค่าจ้างวันนี้ของเธอ”
เจียงเพ่ยหลานปฏิเสธอย่างรวดเร็ว “ฉันรับไหวไม่ได้หรอก”
ใครเขาจ่ายเงินให้ลูกจ้างตั้งแต่วันแรกกัน?
ตามปกติ คนทั่วไปจะจ่ายเงินเดือนเพียงเดือนละครั้งและถ้าจ่ายตรงเวลาก็ถือว่าโชคดีสุด ๆ
เซี่ยชิงหยวนยัดเงินใส่ในมือของอีกฝ่าย “มันไม่ง่ายเลยที่เธออาศัยอยู่ในบ้านพี่ชายในตอนนี้ ดังนั้นเอาเงินนี้ไปซื้อของบางอย่างเพื่อนํากลับไปฝากให้พี่สะใภ้ของเธอมีความสุขซะ นอกจากนี้ลูกสาวของเธอก็ยังต้องการเงินเพื่อไปโรงเรียน”
ก่อนหน้านี้ลูกสาวของเจียงเพ่ยหลานเรียนชั้นอนุบาลที่สถานรับเลี้ยงเด็กของสถาบันวิจัยทางธรณีวิทยา
แต่เป็นเพราะเจียงเพ่ยหลานหย่ากับหลินจื่อเฉียง ฝ่ายชายเองก็ไม่เต็มใจที่จะแบกรับค่าใช้จ่ายสําหรับเด็กอีกต่อไป
แม้กระทั่งสถานที่เรียน หลินจื่อเฉียงก็ไม่ยอมให้เรียนต่อที่เดิม
ดังนั้นเจียงเพ่ยหลานจึงทำได้เพียงหาโรงเรียนอนุบาลแห่งอื่นให้ลูกสาวของเธอเท่านั้น
ถ้าเทียบกันแล้ว พ่อแม่ของอาเซียงเป็นเหมือนคนที่อยู่คนละโลกกับหลินจื่อเฉียง
แม้มีคำพูดที่ว่าเสือร้ายยังกินลูกของตัวเอง แต่คนบางคนมันก็ไม่มีจิตสํานึกเลยจริง ๆ
เมื่อภรรยาไม่ใช่ภรรยาอีกต่อไป ก็พานทำตัวเหมือนลูกไม่ใช่ลูกของตัวเอง
เมื่อได้ยินแบบนี้ เจียงเพ่ยหลานก็หลั่งน้ำตาออกมาทันที
เธอรีบหันไปเช็ดน้ำตา แล้วเก็บเงินพลางสะอื้นไห้ “ขอบคุณมากจริง ๆ ฉันจะพยายามทํางานให้หนักเพื่อเธอนะ!”
วันนี้เซี่ยชิงหยวนได้ยินคําขอบคุณมามากเกินไปแล้ว
หญิงสาวยิ้มและพูดว่า “ตราบใดที่เธอกับลูกของสาวมีชีวิตที่ดี แค่นั้นฉันก็ดีใจแล้ว”
เมื่อเห็นว่าตอนนี้ยังไม่ค่ำนัก เซี่ยชิงหยวนจึงถามว่า “เธออยากไปซื้อของไหม”
วันนี้พวกเขาใช้เวลาเพียงสี่สิบนาทีในการขายสลัดผักเย็นหกสิบจิน และตอนนี้ก็แค่ห้าโมงเย็นเท่านั้น
เจียงเพ่ยหลานลังเลอยู่ไม่นานนัก ก่อนจะกล่าวว่า “ได้”
ตอนนี้เธอมีเงินอยู่ในมือมากพอแล้ว จึงต้องการซื้อรองเท้าให้หลานชาย
ทั้งสองไปที่ร้านขายเสื้อผ้าและรองเท้าด้วยกัน
ดวงตาของเซี่ยชิงหยวนรวดเร็วมาก และเธอเลือกชุดสีเหลืองห่านสําหรับลูกสาวของเจียงเพ่ยหลาน
ครั้งสุดท้ายที่เธอได้เห็นเด็กหญิงคนนั้น เสื้อผ้าบนร่างกายของเด็กคนนั้นไม่พอดีตัวและหลวมจนดูไม่เหมาะสม
หากเป็นสถานการณ์ปกติ เจียงเพ่ยหลานย่อมไม่มีเงินซื้อเสื้อผ้าให้ลูกของเธออย่างแน่นอน
ถัดมาเซี่ยชิงหยวนก็หยิบชุดนอนสีชมพูอมเทาอีกชุดขึ้นมา เธอชอบมันมาก
ชุดนอนนี้มีรูปแบบคล้ายกับชุดนอนทางภาคใต้ มันทําจากผ้าซาตินซึ่งผิวสัมผัสนุ่มสบายมาก
ความยาวของกระโปรงลอยเหนือเข่าขึ้นมาเล็กน้อย และชุดท่อนบนก็เหมือนกับเสื้อกล้าม
ดวงตาของเซี่ยชิงหยวนเป็นประกาย เธอต้องการซื้อกลับไปและใส่มันในคืนนี้เลย
ยิ่งเร่าร้อนยิ่งดี
หลังจากคิดเงิน เจียงเพ่ยหลานก็ซื้อรองเท้าให้แก่หลานชายของเธอเช่นกัน
เซี่ยชิงหยวนหยิบชุดกระโปรงสำหรับเด็กหญิงออกมา และใส่ไว้ในกระเป๋าของเจียงเพ่ยหลาน “นี่คือของขวัญจากฉันให้ลูกสาวของเธอ”
เมื่อเห็นสิ่งนี้ เจียงเพ่ยหลานต้องการจะปฏิเสธ “ไม่ได้ ไม่ได้ ฉันได้รับน้ำใจจากเธอมากเกินไปแล้ว ฉันไม่สามารถรับอะไรได้อีกแล้ว”
เซี่ยชิงหยวนยิ้มและพูดว่า “น้ำใจของฉันไม่ดีตรงไหน? เรารู้จักกันมานานขนาดนี้แล้ว และฉันก็เจอลูกสาวของเธอมามากกว่าหนึ่งครั้ง ดังนั้นการที่ฉันจะซื้อเสื้อผ้าให้ลูกสาวของเธอมันแปลกตรงไหนกัน? เธอรีบเอามันไปเร็ว ๆ เลยก่อนที่ฉันจะโกรธ”
เจียงเพ่ยหลานรู้สึกขอบคุณอีกฝ่ายในใจและยอมรับมันมาอีกครั้งด้วยดวงตาสีแดงก่ำ
ในเวลาเดียวกัน เธอสาบานว่าจะขายสลัดเย็นให้กับเซี่ยชิงหยวนอย่างดีที่สุด
ทว่าเซี่ยชิงหยวนไม่ได้คิดอะไรมากนัก
ตั้งแต่เธอยังเป็นเด็ก ปู่กับพ่อของเธอสอนเธอว่าเมื่อคนอื่นมีปัญหาไม่เหลือบ่ากว่าแรง เราก็ควรจะช่วยคนคนนั้น
หญิงสาวไม่ต้องการอะไรตอบแทนในอนาคต แค่หวังว่าคนที่ได้รับความช่วยเหลือจะส่งต่อความคิดที่ดีนี้ไปให้กับคนอื่นอีกทอดหนึ่ง
แต่แน่นอนว่าเธอไม่ใช่นักบุญ
เธอแค่ทำในสิ่งที่ทำได้ โดยที่ต้องไม่เดือดร้อนตัวเอง ช่วยให้คนอื่นพบกับความหวังที่ปลายอุโมงค์
ดังนั้น สําหรับเธอแล้ว นี่เป็นเพียงหนึ่งในสิ่งที่จะทำให้เธอบรรลุเป้าหมายในการขายเสื้อผ้าได้เร็วขึ้น
เมื่อเห็นว่าดวงอาทิตย์กําลังจะตก เซี่ยชิงหยวนกล่าวคําอําลาเจียงเพ่ยหลานและขี่รถสามล้อกลับบ้าน
ทว่าทันทีที่เธอไปถึงประตูใหญ่ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทักทายเธอด้วยใบหน้าขมขื่น
เขาทักทายเซี่ยชิงหยวนก่อนแล้วจึงพูดว่า “คุณนายครับ เมื่อตอนบ่ายมีผู้หญิงคนหนึ่งมาบอกว่าเป็นญาติของคุณและเธอต้องการเข้าไปหาคุณ แต่เมื่อผมบอกว่าไม่สามารถปล่อยให้เธอเข้าไปได้ เธอก็ดุด่าผมทันที ผมไม่สามารถปล่อยให้คนนอกเข้าไปได้แบบตามอำเภอใจ คุณนายช่วยไปดูเธอให้หน่อยได้ไหมครับ?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ คิ้วของเซี่ยชิงหยวนก็ขมวดเข้าหากัน “ผู้หญิงที่ว่านั่นอยู่ที่ไหนคะ”
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยชี้ไปที่ป้อมยามข้าง ๆ เขา “ผมให้เธอเข้าไปรออยู่ข้างในนั้นครับ”
นี่คือเขตที่อยู่อาศัยที่ผู้นําระดับสูงหลายคนพักอยู่ เขาย่อมไม่กล้าอนุญาตให้คนนอกเข้าไปข้างในได้ถ้าไม่มีการยืนยันตัวตน
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้าให้เขา “พาฉันไปดูหน่อยค่ะ”
ทันใดนั้น หญิงสาวก็จําได้ว่าเธอเห็นคนที่คล้ายกับจางอวี้เอ๋อเมื่อตอนเช้า
เป็นไปได้ไหมว่าผู้หญิงคนนั้นจะเป็นจางอวี้เอ๋อจริง ๆ?
ขณะที่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยผลักประตูเปิดออก หญิงสาวที่นั่งอยู่ข้างในได้ยินเสียงและลุกขึ้นยืน
ที่เท้าของเธอยังมีกระเป๋าเดินทางใบใหญ่
เธอยิ้มสดใสให้กับเซี่ยชิงหยวน “พี่ชิงหยวน!”