[WN] การกวาดล้างมนุษยชาติของเจ้าหญิงแวมไพร์กับอดีตผู้กล้า - ตอนที่ 14
“เออ… ยินดีที่ได้รู้จักค่ะ ฉันลีน บลัดลอร์ด ยินดีที่ได้พบนะคะ”
“อาระ~ เป็นคนมารยาทดีมากเลยนะคะ ทั้งที่ยังเป็นเด็กตัวเล็กๆ อยู่เลย ยินดีที่ได้พบเธอเช่นกันค่ะ”
เธอมองมาที่ฉันด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความเอ็นดู นี่ถ้าฉันบอกไปว่าอายุจิตใจฉันเท่าไหร่แล้วเนี่ยจะเป็นยังไงนะ?
“เออ… ถ้างั้น… คุณ เทียน่า? คุณมารับฉันเหรอคะ?”
“ใช่ค่ะ ฉันขอโทษที่ทำให้เธอต้องรอนานด้วยนะคะ ฉันยังสู้ในแนวหน้าอยู่ กำลังเป่าพวกมนุษย์พันกว่าคนด้วยเวทมนตร์ของฉันค่ะ”
…โอโห ทั้งที่เธอดูสุภาพและเป็นผู้หญิงที่เปี่ยมด้วยคุณสมบัติเหนือมนุษย์อย่างสมบูรณ์ที่ใช้ภาษาสุภาพแม้แต่กับ (คนที่ภายนอกดูเหมือน) เด็กอย่างฉัน เธอก็ยังเป็นสมาชิกระดับสูงในกองทัพจอมมารสินะ
เธอพูดเรื่องสุดยอดนั่นพร้อมกับรอยยิ้มที่ดูดี แถมยังทำให้รู้สึกดีด้วย
“ฉันได้ยินเรื่องราวของเธอมาแล้วค่ะ ท่านลีน แม้จะรู้ดีว่าคงไม่มีอะไรที่ตัวฉันจะทำได้ก็ตาม แต่ก็… ฉันเสียใจกับสิ่งที่เธอต้องเจอมาด้วยนะคะ”
“ม- ไม่ต้องหรอกค่ะ นั่นมัน…”
…ชักเริ่มสงสัยแล้วว่ามีข่าวลืออะไรเกี่ยวกับฉันในกองทัพจอมมารบ้างแล้ว ฉันว่าคงจะเป็น “มี ‘เผ่าพันธุ์’ นึงที่เรียกว่าแวมไพร์ถูกพวกมนุษย์ฆ่าล้างจนสิ้น และก็มีผู้รอดชีวิตเพียงแค่คนเดียว” กลายเป็นประเด็นร้อนแน่เลย
“…ถ้างั้น เราไปกันเลยดีกว่าค่ะ พวกเรากำลังจะไปที่ฐานที่มั่นที่สำคัญที่สุดของพวกเรา ‘ปราสาทจอมมาร’ กัน จับตัวฉันไว้ให้แน่นนะคะ”
“อา ค่ะ”
“ไปกันเลยค่า {เทเลพอร์เทชั่น (เคลื่อนย้าย)}”
ในตอนนั้น มุมมองตรงหน้าฉันก็บิดเบี้ยวและหายไป และในอีกประมาณ เสี้ยววินาทีถัดมา บรรยากาศที่ไม่เคยเห็นมาก่อนก็ปรากฏขึ้นมาตรงหน้า
ดูคล้ายๆ ปราสาทแห่งภัยพิบัติในเรื่องxxx…คงไม่ใช่หรอกมั้ง
เป็นปราสาทสีดำล้วนทั้งหลัง… ไม่รู้สิ มันทำให้ดูสวยขึ้นนะ แน่นอน ท้องฟ้าข้างหลังไม่ได้มีแต่สีแดงนะ ก็เป็นท้องฟ้าตามปกตินั่นแหละ แถมมีดวงอาทิตย์สว่างสดใสเลย
ปราสาทนี้มีชื่อว่า [ปราสาทกาดำ] ก็เพราะสีของมันนี่แหละ ชวนให้นึกถึงปราสาทมัตสึโมโตะในแบบตะวันตกแล้วก็ใหญ่กว่านั้นซัก 5 เท่า…พอเข้าใจในสิ่งที่ฉันพูดมั้ย? คงไม่ล่ะมั้ง
“ขอต้อนรับสู่ปราสาทจอมมาร พวกเรายินดีต้อนรับเธอนะคะ ท่านลีน”
“เนื่องจากพื้นที่โดยรอบปราสาทนั้นจะถูกล้อมรอบด้วยเวทคุ้มครองป้องกันการเคลื่อนย้ายอยู่ ดังนั้นจากตรงนี้ไปถึงชั้นบนสุดที่ท่านจอมมารอยู่ต้องใช้วิธีเดินเอา ต้องขออภัยสำหรับความไม่สะดวกด้วยนะคะ”
เพราะแบบนั้น ฉันก็เลยเดินตามคุณเทียน่าเข้าปราสาทไป ฉันสงสัยว่าสามารถเข้าได้ง่ายๆ แบบนั้นเลยเหรอ… ระหว่างที่คิดแบบนั้นอยู่ คุณเทียน่าที่เหมือนกับอ่านความคิดฉันได้ก็หันมาบอกว่า ‘ฉันสามารถเจาะเวทคุ้มครองนี้ได้ระดับนึงด้วยนะคะ’
ภายในปราสาทนี่ดูอลังการสุดๆ ไปเลย เครื่องเรือนก็กระจายอยู่ทั่วอย่างพอเหมาะพอเจาะ ไม่มีจุดไหนขัดตา แถมยังมีผู้คนเดินกันไปมาเต็มไปหมด
สิ่งเดียวที่เป็นจุดร่วมของผู้คนเหล่านั้นคือ พวกเขาไม่ใช่มนุษย์เลย
“โอ้! ท่านเทียน่า กลับมาแล้วเหรอคะ?”
“ใช่ค่ะ ฉันไปรับเธอมาแล้ว กลับไปทำงานกันต่อได้เลยนะคะ ไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ”
“…อา เด็กคนนั้นก็คือเด็กคนที่เราพูดถึงกันอยู่สินะคะ… เข้าใจแล้วค่ะ”
ดูท่าเรื่องของฉันจะถูกพูดถึงไปทั่วปราสาทจริงๆ สินะ รู้สึกถึงสายตาที่มองมาที่ฉันจากทุกที่ทั่วบริเวณนี้เลย แต่อย่างน้อย สายตาพวกนั้นก็ไม่ได้มีความเป็นศัตรูเลย กลับกัน…ฉันรู้สึกได้แต่ความเห็นอกเห็นใจ, ความสงสาร หรืออะไรทำนองนั้นทั้งนั้นเลย
“…ถ้ามันทำให้เธอไม่สบายใจ ฉันช่วยทำให้เธอโปร่งแสงได้นะค้า~”
“ทำไมน้ำเสียงดูร่าเริงจังล่ะคะ?… ไม่เป็นไรค่ะ จริงๆ”
“ฉันดีใจที่ได้ยินแบบนั้นนะคะ เธอ…ไม่สิ มีข่าวเกี่ยวกับเผ่าแวมไพร์นั้นกระจายไปทั่วกองทัพจอมมารเลย เธอเลยค่อนข้างจะดังพอควรเลยนะคะ”
…นี่ฉันไปทำอะไรไว้ให้เตะตา จนทำให้ตัวเองดังขึ้นมาได้ล่ะนั่น? คุณเทียน่าหัวเราะคิกคัก สงสัยจะรู้สึกได้ถึงความคิดของฉันได้จากสีหน้า และก็
“…เด็ก 5 ขวบทั่วๆ ไปน่ะ ฆ่ามนุษย์ 21 คนด้วยตัวคนเดียวไม่ได้หรอกนะคะ”
อ้อ… พูดถึง จะว่าไปก็จริงนะ แต่พอมาคิดว่าพวกเขาทุกคนรับรู้ข่าวนี้แล้วนี่ เครือข่ายข้อมูลของกองทัพจอมมารนี่ไม่ธรรมดาเลยนะเนี่ย
“ดูท่าทางเธอจะกลายเป็นจุดสนใจมาซักพักแล้ว ถ้ามันรบกวนเธอก็บอกได้เลยนะคะ”
…เธอเป็นคนดี ไม่สิ เป็นเอลฟ์ที่ดีจัง
จากนั้น พวกเราก็เดินมาสักพัก ก่อนจะถูกพามานั่งรอที่ห้องๆ นึง ดูแล้วนึกถึงฐานลับที่ฉันเคยสร้างสมัยเด็กเลยแฮะ
“เอาล่ะ ฉันติดต่อท่านจอมมารผ่านโทรจิตติดต่อแล้ว รอซักครู่นะคะ ระหว่างนี้ ถ้าเธอมีคำถามอะไร ถามได้เลยไม่ต้องลังเลนะคะ”
คำถามเหรอคะ… อืม จะว่ามีก็มีนะคะ แต่…
“…อือ คือ ขอโทษที่เสียมารยาทนะคะ แต่… ฉันนึกว่าเอลฟ์มักจะอยู่คู่กับฝั่งมนุษย์หนิคะ”
… ฉันพูดออกไปจนได้ ฉันรู้ว่าถ้าพูดออกไป เธอต้องไม่พอใจแน่ๆ เลย… แต่ฉันก็อดสงสัยไม่ได้จริงๆ
ปรากฏว่า…ไม่ได้เป็นแบบนั้น คุณเทียน่าไม่ได้ดูไม่พอใจเลย กลับกัน เธอกลับรู้สึกสับสนแทน
“…ภาพที่เธอมีอยู่ในความคิดนั่นเก่ามากเลยนะคะ จริงอยู่ที่พวกเอลฟ์อย่างเราเคยอยู่ร่วมกับมนุษย์ และมีการติดต่อค้าขายกันจริงค่ะ แต่นั่นก็เกิดขึ้นตั้ง 400 ปีมาแล้วนะคะ?”
เธอตอบมาแบบนั้น
“…อ้อ เข้าใจแล้วค่ะ สงสัยท่านลีนจะเข้าใจว่ากองทัพจอมมารจะมีแต่ ‘เผ่ามนุษย์มาร’ ใช่มั้ยคะ?”
“อา… ก็ใช่นะคะ เพราะผู้นำของเผ่ามารเป็นผู้รวบรวมกองทัพขึ้นมา ก็เลยเป็น ‘กองทัพจอมมาร’ ใช่มั้ยคะ?”
“นั่นไม่ใช่ความจริงนะคะ กองทัพจอมมารนั้นคือกองกำลังที่รวมทุกเผ่าเข้าด้วยกัน ยกเว้น [มนุษย์] ค่ะ”
“…เอ๋?”
…เอ ฟังดูแล้ว เหมือนตอนนี้เป็นสงครามระหว่างมนุษย์ ปะทะ ทุกเผ่าพันธุ์ที่เหลือเลยหนิ?
“เมื่อประมาณ 500 ปีก่อน พวกมนุษย์เริ่มจะคลุ้มคลั่งเกี่ยวกับมิซารี่และเริ่มมองเผ่ามารเป็นศัตรู ในตอนนั้นแม้แต่กับพวกเราที่ไม่ใช่เผ่ามาร พวกมนุษย์กลับพูดมาว่า ‘ท่านมิซารี่นั่นคือเทพเพียงหนึ่งเดียว ไม่มีเทพอื่นใดนอกเหนือจากท่านมิซารี่ ใครก็ตามที่ไร้ศรัทธาต่อท่านมิซารี่ ไอ้นอกรีตพวกนั้นก็เป็นเพียงเดียรัจฉานที่ไร้ซึ่งสติปัญญา’ …พวกนั้นเลยเริ่มทำตามใจตามที่ตัวเองต้องการ ทั้งฆ่าทั้งจับเผ่าพันธุ์ที่ต่อต้านพวกตนเป็นทาสค่ะ”
“พวกมันไม่ได้ทำแบบนั้นกับแค่เผ่ามารเหรอคะ?!”
“ใช่ค่ะ ผลก็คือ พวกเราเผ่าเอลฟ์จึงได้รีบตัดขาดกับเผ่ามนุษย์เสียตั้งแต่เนิ่นๆ และรอดชีวิตได้ด้วยการขอรับการคุ้มครองจากท่านจอมมาร ผู้ได้รับการอวยพรจากท่านอิซึสึ ในทำนองเดียวกัน เผ่าพันธุ์อื่นๆ ก็ทยอยมาเข้าร่วมกับกองทัพของท่านจอมมารตามลำดับ… ผลก็คือ สงครามที่เกิดขึ้นแบบในปัจจุบันนี้ ทำให้ตอนนี้มนุษย์จึงได้เหมารวมพวกเราเอลฟ์และเผ่าพันธุ์อื่นๆ เป็น ‘เผ่ามาร’ ด้วยนั่นเองค่ะ”
…กะแล้วเชียว พวกแกนี่มันไร้ความหวังเกินเยียวยาจริงๆ ไอ้พวกมนุษย์
“แต่ ถ้าดูจากจำนวนแล้ว พวกนั้นก็ยังมีจำนวนมากกว่าเราอยู่มากนะคะ และอย่างที่เธอเห็นว่าประชากรบนโลกนั้นมีมนุษย์อยู่ในสัดส่วนที่สูงมาก… โอ๊ะ ดูท่าจะเตรียมการพร้อมแล้วค่ะ ถ้างั้น ฉันจะพาเธอขึ้นไปชั้นบนสุดที่ท่านจอมมารอยู่ในตอนนี้นะคะ”
…ในที่สุด ฉันก็ต้องเผชิญหน้ากับจอมมารแล้วเหรอเนี่ย? มันยากซักหน่อยที่จะมีภาพลักษณ์ดีๆ กับจอมมารเลย เพราะพวกเกม RPGs ที่ฉันเล่นมาจากชาติก่อน แต่ก็…
ว- หวังว่า…ฉันคงจะไม่ถูกจ้องเขม่ง แล้วก็ฆ่าทิ้งหรอกนะ ใช่มั้ย?