[WN] การกวาดล้างมนุษยชาติของเจ้าหญิงแวมไพร์กับอดีตผู้กล้า - ตอนที่ 60 องค์ที่ 3 บดขยี้ - เจ้าหญิงแวมไพร์และสตรีสวรรค์
- Home
- [WN] การกวาดล้างมนุษยชาติของเจ้าหญิงแวมไพร์กับอดีตผู้กล้า
- ตอนที่ 60 องค์ที่ 3 บดขยี้ - เจ้าหญิงแวมไพร์และสตรีสวรรค์
“ผู้บริหารของกองทัพจอมมารงั้นเหรอ!?”
“…‘แม่ทัพจอมกระหายเลือด’ งั้นเรอะ ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย ยังไงก็ช่าง ฉันก็ไม่คิดว่าพวกเผ่ามารในกองทัพจอมมารจะมาหลอกลวงเรื่องที่เป็นผู้บริหารหรอก… แถมเผ่าพันธุ์นั่นควรจะสูญพันธุ์ไปหลายปีแล้วนี่… แวมไพร์เรอะ”
ตาลุงที่คงจะเป็นหัวหน้าของกองกำลังรักษาพระองค์สินะ ฉลาดดีนี่
แต่พวกนี้น่ารำคาญเป็นบ้า งั้นก็รีบๆ ฆ่าพวกมันเลยก็แล้วกัน
“ถ้างั้น มาจัดการให้มันจบไปเร็วๆ กันเลยดีกว่า {เอ็กซ์โพลด (ระเบิดเพลิง)}”
เวทมนตร์ที่สร้างระเบิดขนาดกลางๆ สร้างเสียงคำรามกระหึ่มไปทั่วบริเวณภายในบาเรีย
เจอนี่เข้าไป พวกมันส่วนใหญ่ถ้าไม่ตายก็เลี้ยงไม่โตแล้วล่ะ
“อะไรวะเนี่ย!?”
“เฮ้ย! ใครอยู่ตรงนั้น! แกนี่เอง!!”
หุบปากซะทีเหอะ…
เอาล่ะ พวกผู้คุ้มครองกับผู้วิเศษไปกองอยู่ตรงไหนกันนะ?
…โอ้ เจอแล้ว รวมกันอยู่ตรงนั้นที่เดียวเลยแฮะ
ไม่มีเวทคุ้มครอง… นี่เอาแต่ป้องกันเมืองไม่ให้ถูกโจมตี เลยไม่ได้สร้างบาเรียไว้ป้องกันพวกตัวเองเลยหรือไง
งั้นก็ มาฆ่าพวกมันให้หมดกันเลยดีกว่า
“{เทมเพสต์เบลด (คมดาบมหาวายุ)}”
เวทมนตร์ที่สร้างพายุพร้อมกับคมดาบที่มองไม่เห็นนับไม่ถ้วนลงในตำแหน่งที่กำหนดนั้นก็ได้ฟาดฟันพวกผู้คุ้มครองกับผู้วิเศษที่ยืนกองกันหนาแน่นพวกนั้นอย่างง่ายดาย
ดูเหมือนจะยังมีที่คล้ายๆ กับแบบนี้อยู่อีกหลายที่เลย มาฆ่าพวกมันให้หมดทีเดียวเลยดีกว่า
ผู้คุ้มครองกับผู้วิเศษที่ใช้พลังเวทที่มีเพื่อปกป้องเวทคุ้มครองป้องกันเมืองกันเต็มที่เลย นี่ไม่รู้กันซักนิดเลยว่าศัตรูน่ะลอบเข้ามาในบาเรียเรียบร้อยแล้วนะ
ใช่ค่ะ โจมตีทีเผลอนั่นเอง
“{ดาร์กเนส แคนนอน (ปืนใหญ่อนธการ)} {อิมมอร์ทัลแฟลร์ (เพลิงไร้วันดับมอด)} {ฟรีซเลเซอร์ (ลำแสงเยือกแข็ง)} {เอนเชนท์ ไลท์นิ่งสเฟียร์ (เสริมการกระจาย บอลสายฟ้า)}”
เวทมนตร์ของฉันที่แข็งแกร่งขึ้นมา 5 เท่าจากการอวยพรจากดวงจันทร์น่ะ เด็ดชีวิตของพวกมนุษย์ไปได้ง่ายๆ เลยล่ะ
อา~ รู้สึกดีจังเลย นี่แหละ ความรู้สึกแบบนี้ล่ะ
“ฟุฟุฟุ… ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”
สุดยอดที่สุดเลย
ที่เมืองก่อน ฉันปล่อยให้พวกทหารใต้บังคับบัญชาเป็นคนจัดการซะเป็นส่วนใหญ่ ฉันเลยไม่ค่อยรู้สึกถึงมันได้เท่าที่ควร แต่คราวนี้ล่ะ…
“ฉันกำลัง… ฉันกำลังได้ฆ่าพวกมนุษย์ซักทีสินะ! ละเลงเลือดของพวกมันไป! รู้สึกสดชื่นอะไรขนาดนี้นะ! อะฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!! อ๊าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!!”
พวกมนุษย์จะมองฉันเป็นแบบไหนกันนะ ตอนที่ฉันได้ฆ่าเจ้าพวกมนุษย์ไป หัวเราะไปด้วย เหมือนพวกตัวร้ายในหนังฮอลลีวูดเลยเนอะ
ร่างจำแลงของฝันร้าย? ผู้แข็งแกร่งกว่าอย่างสมบูรณ์? …แค่คิดก็ตื่นเต้นแล้วนะเนี่ย
อะ ดูเหมือนเวทคุ้มครองของเมืองจะแตกซะแล้ว
เดี๋ยวคุณเรนกับคนอื่นๆ ก็จะมากันแล้วสินะ
“ว้า… หมดเวลาสนุกแล้วสิ…”
“แกไม่รู้สึกผิดเลยซักนิดที่ฆ่ามนุษย์ไปมากมายขนาดนี้เลยงั้นเหรอ แกมันเป็นผู้บริหารที่โหดเหี้ยมจริงๆ”
…หืม?
“…อะไรกัน นี่ยังรอดมาได้อีกเหรอเนี่ย ไม่เลวเลยนะ”
“ฉันไม่ต้องการคำชมจากเผ่ามารอย่างพวกแกหรอก อย่ามาดูถูกคนของพวกเรานะเห้ย!”
คนที่พูดกับฉันคือตาลุงจากกองกำลังรักษาพระองค์
พอฉันเหลือบไปมองข้างหลัง ก็ได้เห็น …กองอัศวินในหน่วยกองกำลังรักษาพระองค์ที่เหลืออีกประมาณครึ่งนึงยังมีสภาพพร้อมลุยกันอยู่
ก็สมกับเป็นพวกฝีมือชั้นยอดของประเทศล่ะนะ
“ฟังให้ดี ทหารทุกคน! ศัตรูของเราคือผู้บริหารของกองทัพจอมมาร! นักเวท! แข็งแกร่ง! …แต่ก็เพราะเป็นนักเวทนี่แหละ ถ้าเราเข้าประชิดตัวมันได้ เราก็มีโอกาสชนะ! มาแสดงให้มันเห็นว่าพวกเรานี่แหละคือกองกำลังรักษาพระองค์!”
“““โอ้วววววววว!!”””
“งั้น… ก็เข้ามาใกล้ซะให้พอเลย”
“……เอ๋?”
“เป็นอะไรไปเล่า? พวกแกจะฆ่าฉันได้ถ้าเข้าประชิดตัวได้เพียงพอไม่ใช่หรือไง? ถึงฉันจะเป็นประเภท [นักสู้ผู้ใช้เวท] ก็เถอะ พวกแกก็คงฆ่าฉันได้ถ้าเข้ามาใกล้พอนี่ ถ้ากล้าพอก็ลองดู”
“เหวอ……!?”
พวกอัศวินของกองกำลังรักษาพระองค์นี่น่าสมเพชจริงๆ นี่ยังจะมีความหวังลมๆ แล้งๆ อย่างการที่คิดว่าจะชนะฉันได้ ขอแค่ถ้ามันเข้าประชิดตัวฉันได้พอเนี่ยนะ
พวกมัน 68 คน นอกจากตาลุงคนนั้น ฉันฆ่าพวกมันเรียบร้อยใน 3 วินาที
“โง่จริงๆ พวกแกควรจะให้นักเวทใช้เวทเคลื่อนย้าย แล้วก็มาพาพวกแกหนีไปในจังหวะที่เวทคุ้มครองป้องกันการเคลื่อนย้ายถูกทำลายไปนะ พวกแกไม่มีทางเอาชนะฉันได้มาตั้งแต่แรกแล้ว”
“……ไม่อยากเชื่อเลย”
ตาลุงนั่นคุกเข่าลงตรงนั้นด้วยสีหน้าที่เหมือนสิ้นหวังแล้วกับทุกอย่างในชีวิต
“…เอาเลยสิ”
“เด็ดเดี่ยวดีนี่ ได้เลย ฉันจะช่วยฆ่าแกแบบไม่ให้เจ็บปวดก็แล้วกัน ถือเป็นรางวัลที่แกเลือกจะไม่ทำให้ฉันรำคาญด้วย… โอ๊ะ เกือบลืมไปเรื่องนึงเลย?”
“อะไรอีก?”
“เปล่า ไม่ได้หมายถึงแก
ตรงนั้นน่ะ ยัยผู้หญิงที่แกล้งตายอยู่ตรงท้ายแถวของพวกอัศวิน แกยังมีชีวิตอยู่สินะ รู้ไว้ซะว่าซ่อนตัวไปก็เปล่าประโยชน์ เพราะฉะนั้นก็รีบๆ ลุกขึ้นมาได้แล้ว”
“อะไรนะ…?”
“…ฮุฮุฮุ สมแล้วที่เป็นผู้บริหารของกองทัพจอมมาร ตรวจพบดิฉันได้ง่ายดายเลยสินะคะ เป็นไปตามที่คาดเลยค่ะ”
“ขอบใจละกัน”
ใช่
ยัยนี่แหละคือเหตุผลที่ฉันเลือกโจมตีกองกำลังรักษาพระองค์นี่ก่อน ทั้งที่ก็ไม่ได้มีค่าให้ไปใส่ใจอะไรเลยซักนิด ถ้าเทียบกับพวกผู้คุ้มครองแล้วล่ะนะ
ตาลุงที่อยู่หน้าฉันนี่ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับแมลงตัวนึง ถ้าให้ฉันเดา สเตตัสเฉลี่ยคงเกิน 3,000 มาหน่อยนึงล่ะมั้ง ถ้าในระดับพวกมนุษย์ก็ถือว่าแข็งแกร่งมาก ระดับเหนือมนุษย์ไปแล้วล่ะ
…แต่ว่า ยัยนี่น่ะมันคนละระดับกันเลย แน่นอนว่ามันอ่อนกว่าฉันอยู่แล้ว แต่ก็สัมผัสได้ถึงตัวตนที่แข็งแกร่งว่ามนุษย์ทุกคนที่อยู่แถวๆ นี้เลย
ไม่แน่ว่า ผู้หญิงคนนี้อาจจะ…
“ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ ‘แม่ทัพจอมกระหายเลือด’ ลีน ดิฉันคือ 12 อัครสาวกลำดับที่ 11 ‘สตรีสวรรค์’ มีอา ค่ะ”
…ว่าแล้วเชียว เป็น 12 อัครสาวกจริงๆ ด้วย
ฉันคิดอยู่แล้วว่ามันแปลกๆ เพราะมีแค่คนเดียวในกลุ่มนั้นที่แสดงปฏิกิริยาเวทมนตร์ที่แข็งแกร่งผิดปกติออกมา
ลำดับที่ 11 งั้นเหรอ? คงเป็นพวกคนที่มารับตำแหน่งต่อจากอัซบาร์กับทรัซท์ที่ถูกพวกเรารุมยำแล้วก็ฆ่าทิ้งไปเมื่อ 5 ปีก่อนล่ะมั้ง
“ท- ท่าน 12 อัครสาวก! เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้พบครับ…”
“อ้อ ฉันไม่ต้องการแกแล้วล่ะ”
“อ๊ะ…”
แล้วตาลุงนั่นก็ตายเรียบร้อย
“แล้ว? ถึงแกจะเป็น 12 อัครสาวก แล้วพวกกระจอกลำดับเลข 2 หลักอย่างแกถ่อมาทำอะไรถึงที่นี่ล่ะ? อยากให้ฉันช่วยฆ่าแกให้งั้นหรือไง?”
“ไม่ค่ะ แน่นอนว่าไม่อยู่แล้ว ดิฉันมาที่นี่เพื่อพูดคุยเล็กน้อยเท่านั้นเอง”
“หา?”
พูดคุย?
ฉันไม่มีอะไรจะคุยกับพวกมนุษย์ล่ะนะตอนนี้ งั้นก็ฆ่ายัยนี่ซะเลยก็แล้วกัน
ฉันจะได้เอาหัวของพวก 12 อัครสาวกกลับไปได้หัวนึงด้วย
“…ฉันไม่มีอะไรจะพูด รีบๆ เข้ามาแล้วก็ตายๆ ไปซะ”
“อุฮุฮุ ป่าเถื่อนจังเลยนะคะ แต่ดิฉันน่ะเก่งพอตัวเลย และดิฉันไม่คิดว่าคุณควรจะประมาทนะคะ ถึงคุณจะเป็นเผ่าแวมไพร์ที่ได้รับการอวยพรจากดวงจันทร์ก็ตามที”
“ขอบใจสำหรับคำแนะนำนะ อ้อ ถ้างั้นก็ ช่วยหยุดซักทีจะได้มั้ย? มันน่ารำคาญมาซักพักแล้วนะ”
“อะไรเหรอคะ?”
“ก็หมายถึงเวทเสน่ห์ที่แกพยายามร่ายใส่ฉันอยู่แล้วน่ะสิ”
“………”
ยัยนี่พยายามร่ายเวทเสน่ห์ หนึ่งในเวทจิตใจใส่ฉันมาตั้งแต่เมื่อกี้นี้แล้ว
การป้องกันเวทของฉันสูงกว่ายัยนี่ 2-3 เท่า เพราะงั้นฉันรับมือมันได้ไม่มีปัญหาเลย ถึงมันจะน่ารำคาญก็เถอะ
“…รู้ตัวด้วยงั้นเหรอคะ? ดิฉันคิดว่าจะล้างสมองคุณเพื่อทำให้คุณมาเป็นเบี้ยตัวสำคัญของดิฉันแท้ๆ แต่น่าเสียดายนะคะ”
“นังจิ้งจอกนี่…”
รู้สึกแย่ที่ต้องฆ่ายัยนี่เลยแฮะ
น่าเสียดายเลย ทั้งที่สวยแท้ๆ แต่ก็ช่วยไม่ได้ล่ะนะ
……
………
นี่ฉันคิดอะไรของฉันอยู่เนี่ย?
สวย? น่าเสียดาย? ทำไมล่ะ?
นับตั้งแต่หมู่บ้านแวมไพร์ของพวกเราถูกทำลาย ฉันคิดว่าความสวยหรือความน่าเกลียดของมนุษย์ทุกคนนอกจากโยมิน่ะมีค่าพอให้สนใจน้อยกว่ารูปร่างของของก้อนกรวดข้างทางซะอีก
…นี่ฉันตกอยู่ใต้ผลของเวทมนตร์แล้วงั้นเหรอ? ไม่ ไม่มีร่องรอยของเวทมนตร์ถูกใช้มาเลยนับจากตอนนั้น
หรือว่า… หมายความว่าฉันคิดว่ายัยนี่สวยจริงๆ งั้นเหรอ?
ฉันคนนี้เนี่ยนะ?
“ฮุฮุฮุ… ดูเหมือนกำลังสับสนอยู่เลยนะคะ ดูท่าทางแล้วเธอจะตกหลุมรักความงามของเราเหมือนกันสินะคะ”
“…หลงตัวเองขนาดไหนกันล่ะนั้น?”
“ไม่เลยค่ะ มันคือข้อเท็จจริงต่างหาก ดิฉันคือตัวตนที่งดงามที่สุดในโลก ไม่ว่าผู้ใดที่ได้เห็นดิฉัน ล้วนหลงใหลในตัวดิฉันทั้งสิ้น มันเป็นกฎของโลกใบนี้ยังไงล่ะคะ”
…อยากจะฆ่าตัวเองให้ตายจริงๆ ที่ดันเผลอคล้อยตามไปหน่อยนึงเมื่อกี้นี้ ที่ยัยนี่พ่นออกมามีแค่ความมั่นหน้ามั่นโหนก แถมหลงตัวเองขั้นกู่ไม่กลับเลยนะนั่น
…ไม่ ไม่ใช่ ฉันไม่ได้หลงใหลใบหน้านั่นเลยซักนิด
เปล่านะ ฉันไม่ได้เป็นคนขี้แพ้ชวนตีแบบนั้น… มันมีบางอย่างที่ต่างออกไป
เหตุผลที่ความต้องการจะโจมตีใส่ยัยนี่ของฉันมันลดลงเพราะ… อะไรบางอย่าง มากๆ… ฉันคิดว่ามันมีปัจจัยอื่นอะไรซักอย่าง… แต่ฉันนึกไม่ออกเลยว่ามันคืออะไร
“เช่นนั้น วันนี้ดิฉันจะถอยไปก่อนนะคะ ถ้าเวทเสน่ห์ใช้ไม่ได้ผล ดิฉันก็ไม่มีโอกาสชนะคุณได้เลยค่ะ… เช่นนั้นแล้ว ขอตัวนะคะ”
“อะ… บ้าเอ๊ย! หลุดมือไปจนได้!”
แล้วฉันก็ควบคุมตัวเองได้อีกครั้ง แล้วโจมตีใส่ยัยนั่นไป
แต่ช้าไปก้าวเดียว ยัย 12 อัครสาวกที่เรียกชื่อตัวเองว่า ‘มีอา’ ก็ดันหนีไปได้ด้วยเมจิกไอเท็มซะก่อน