การต่อสู้ชิงบัลลังก์ในเงามืดของเจ้าชายไร้ค่าสุดแกร่ง (Saikyou Degarashi Ouji no An’ yaku Teii Arasoi ) - ตอนที่ 107
“ขออภัยสำหรับความหยาบคายของลูกน้องข้าด้วย ช่วยรับคำขอโทษของข้าเอาไว้เถอะครับ”
“ช่างมันเถอะ, ข้าไม่ถือสาหรอก”ห
“เกี่ยวกับเรื่องนั้น ดูเหมือนว่าท่านเอลน่าจะดูอารมณ์เสียกว่าท่านอีกนะครับ”
“…..ข้าคิดว่าพวกเจ้าดูสุภาพกว่านี้ในตอนที่ข้ามาเยี่ยมเจ้าครั้งก่อนไม่ใช่หรอ?”
พอได้ฟังเอลน่า, ลาสก็ยิ้มออกมาในขณะที่พวกเราเดินกันอยู่ห
จากนั้นเขาก็ได้ทิ้งระเบิด
“มันเป็นเพราะลูกน้องของข้าเกลียดคนแบบองค์ชายอาร์โนลด์ครับ”
“เกลียดหรอ…..?”
เอลน่ายักคิ้ว
ลาสพยักหน้าเหมือนเป็นเรื่องปกติห
ซึ่งนั่นทำให้ฉันหัวเราะออกมาโดยไม่รู้ตัว เขาเป็นคนที่ตรงจริงๆห
“ฮ่าฮ่าฮ่า, งั้นหรอ, มันก็ต้องเป็นแบบนั้นอยู่แล้วหล่ะนะ เมื่อพิจารณาจากอดีตของพวกเขา, ข้าคงจะเป็นคนประเภทที่พวกเขาเกลียดที่สุดนั่นแหล่ะ”
“ครับ, พวกเราไม่ชอบพวกที่เอาแต่นั่งอยู่บนหอคอยงาช้าง แน่นอนว่า, นั่นก็รวมทั้งข้าด้วย”
ลาสจ้องตรงมาที่ฉันห
ถ้าเป็นผู้หญิงมาจ้องฉันแบบนี้ฉันก็คงจะหวั่นไหวแล้วแต่น่าเสียดาย, เขาเป็นผู้ชาย ดูเหมือนว่าเจ้าลาสคนนี้ยังคิดจะลองทดสอบฉันอยู่สินะ
ในตอนที่ฉันยักไหล่ลาสก็หัวเราะออกมาเบาๆเป็นการตอบสนองในขณะที่พวกเราเดินหน้ากันต่อ
ลาสนำทางพวกเรามายังห้องๆนึงในป้อมปราการ
ห้องนี้ถูกตกแต่งด้วยโล่ที่มีลายกากบาท, ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของนาร์เบ ริทเทอร์
“เชิญนั่งครับ”
“ถ้างั้นก็ขอนั่งหล่ะนะ”
ฉันพูดเช่นนั้นแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ห
เอลน่าเองก็นั่งถัดจากฉันแต่สายตาของเธอยังคมกริบ
ไม่ว่าจะมองยังไง, นาร์เบ ริทเทอร์ก็ไม่ได้ต้อนรับการมาถึงของฉัน
“เอาหล่ะ, ครั้งนี้งานที่องค์ชายอยากให้พวกเราช่วยเป็นงานแบบไหนหรอครับ?”
“พวกเรามีคำขอให้เจ้าแต่ว่า……ข้าคิดว่ามันคงจะเป็นไปไม่ได้หล่ะนะ”
ฉันยิ้มแห้งๆให้กับทหารที่ยืนอยู่ข้างลาส
สายตาที่เขามองฉันนั้นแตกต่างจากสายตาที่เขาใช้มองเอลน่าอย่างเห็นได้ชัด
เขาให้ความเคารพเธอแต่สำหรับฉันมันไม่มีเลยซักนิด เอาจริงๆฉันก็ชินกับมันแล้วแต่ฉันรู้สึกได้ว่ามันแตกต่างจากปกติ
ฉันรู้สึกได้ว่ามันมีรอยแยกลึกระหว่างเขากับฉันห
“พวกเราไม่รู้หรอกครับว่าเป็นไปได้รึเปล่าถ้าท่านไม่บอกพวกเรา หรือว่าจะให้ข้าสั่งให้ลูกน้องออกไปก่อนสักพักนึงดี?”
“ไม่หรอก, ไม่เป็นไร ที่สำคัญกว่านั้น, ข้าอยากฟังเรื่องเกี่ยวกับพวกเจ้ามากกว่า”
“เกี่ยวกับพวกเราหรอครับ?”
“อา, พวกเจ้าเป็นอดีตอัศวินที่เลือกความยุติธรรมมากกว่าความภัคดีถูกไหม ข้าได้ฟังเรื่องเกี่ยวกับพวกเจ้ามาก่อนแต่ดูเหมือนว่าพวกเจ้าจะแตกต่างจากที่ข้าได้ยินมานะ”
พอได้ฟังฉัน, ลาสก็ยิ้มออกมา
มันไม่ใช่แค่เจตคติเล็กๆ ฉันบอกได้เลยว่าภาพลักษณ์ของพวกเขานั้นตรงข้ามกับชื่อเสียงของพวกเขาที่รู้จักกันโดยทั่วไปเลย
พวกเขาดิบเถื่อนจนฉันสงสัยว่าพวกเขาเป็นอัศวินจริงรึเปล่า
มันต้องมีเหตุผลของเรื่องนี้แน่ๆ ถ้าฉันไม่ได้คำตอบจากพวกเขา, ฉันก็คงจะขอความช่วยเหลือพวกเขาไม่ได้
“ความยุติธรรมสินะ…..”
ลาสพึมพำ
จากนั้นเขาก็นั่งลงบนเก้าอี้แล้วจ้องตรงมาที่ฉัน
สายตาของเขานั้นถ้าเอาไปใช้กับคนที่มีจิตใจอ่อนแอ, พวกเขาก็คงจะเริ่มตัวสั่นแล้ว มันคือสายตาของคนที่เคยผ่านอันตรายมามากมายในช่วงชีวิตของเขา
ในขณะที่กำลังจ้องฉันด้วยสายตาเช่นนั้น, เขาก็เริ่มพูด
“พวกเราไม่ได้เหมือนกับคำพูดที่ผู้คนส่วนใหญ่คิดกันหรอก”
“หืม”
ฉันหันไปมองเอลน่า
จากนั้นฉันก็ถามเธอเบาๆ
“นี่คือสาเหตุที่เจ้าไม่อยากแนะนำพวกเขากับข้าสินะ?”
“ใช่, แต่นี่น่าจะร้ายแรงกว่าที่ข้าคิดนะ”
สาเหตุที่เอลน่าพูดว่าฉันเหมาะกับงานนี้มากกว่าลีโอน่าจะเป็นเพราะว่าพวกเขามีด้านมืดหอยู่ซักเรื่องสองเรื่องสินะห
ถ้าพวกเขาไม่ได้เป็นผู้พยุงความยุติธรรมในอุดมคติก็แสดงว่าฉันต่อรองกับพวกเขาได้ดีกว่าลีโออย่างแน่นอน…..
“องค์ชาย พวกเราทุกคนเป็นพวกที่เคยแสดงความไม่ภัคดีครับ เรื่องที่พวกเราเคยทรยศเจ้านายของตัวเองนั้นคงจะปฏิเสธไม่ได้”
“แต่คนที่ทำผิดจริงๆก็คือเจ้านายของพวกเจ้าไม่ใช่หรอ”
“แน่นอนครับ นี่คือสาเหตุที่พวกเรายืนหยัดทำลายคำสาบานและทรยศเจ้านายของเรา พวกเราคิดว่าสิ่งที่พวกเราทำนั้นเพื่อประเทศและผู้คน แต่ว่า, สิ่งที่รอพวกเราอยู่ก็คือนรกจากการที่ไม่มีที่อยู่เป็นของตัวเอง ทุกคนขับร้องสรรเสริญพวกเราแต่ไม่มีใครกล้าเข้าหา นี่คือสิ่งที่พวกเราได้กลับมา”
“พวกเจ้าสูญเสียที่อยู่ของตัวเองเพื่อความยุติธรรม นี่คือสาเหตุที่ทำให้พวกเขาดูดิบขึ้นสินะ?”ห
“นั่นสินะ, สรุปแล้วก็คงจะใช่ครับ สำหรับฝ่าบาท, เขารู้สึกว่ามันน่าเสียดายที่จะต้องสูญเสียคนอย่างพวกเราไปแต่พวกเราเคยทรยศเจ้านายของตัวเอง, พวกเราก็เลยไม่ได้รับความเชื่อใจอีกต่อไป ในอีกด้านนึง, ถ้าเรื่องมันเป็นแบบนี้ต่อไป, พวกเราก็คงจะหายไปจริงๆ นี่คือสาเหตุที่หน่วยนี้ถูกก่อต้องขึ้นมา พวกเราถูกสร้างขึ้นเพราะความยุติธรรมแต่พวกเราก็ถูกทำเหมือนตัวน่ารำคาญแม้ว่าในความเป็นจริงพวกเราจะทำเพื่อประเทศและประชาชนก็ตาม
สิ่งที่เขาพูดนั้นเป็นความจริง
ถ้ามีผู้คนอย่างนาร์เบ ริทเทอร์อยู่, มันก็จะทำให้พวกขุนนางเป็นระเบียบมากขึ้น เอาเถอะ, ประสิทธิภาพของมันไม่ได้มีนัยสำคัญเท่าไหร่นักแต่มีพวกเขาเอาไว้ก็ดีกว่าไม่มี
อย่างไรก็ตาม, พวกเขาคงคาดหวังการต้อนรับไม่ได้ ซึ่งนี่เป็นเพราะผู้คนที่ให้ความสำคัญกับความยุติธรรมของตัวเองนั้นจัดการได้ยากในองค์กร
ต่อให้ทำไปเพื่อผลประโยชน์ของประเทศหรือประชาชนก็ตาม, แต่คนที่เลือกจะเคลื่อนไหวก็คือตัวพวกเขาเองในฐานะบุคคล พวกเขาไม่ได้เคลื่อนไหวเพราะได้รับคำสั่งจากจักรพรรดิ
“ว่าแต่นาร์เบ ริทเทอร์นั้นแข็งแกร่งถึงขนาดที่แม้แต่เอลน่าก็ยังยอมรับ เหตุผลอะไรที่ทำให้พวกเขาแข็งแกร่งขนาดนี้หล่ะ?”ห
“การที่พวกเขาจะดิบเถื่อนขึ้นหรือเสื่อมทรามลงตามที่พวกเขาต้องการมันก็ช่วยไม่ได้ใช่ไหมหล่ะ? คุณค่าของพวกเขาคือสิ่งที่พวกเขาสร้างให้ตัวเอง ความแข็งแกร่งก็ถือเป็นตัวอย่างนึง ยิ่งแข็งแกร่งเท่าไหร่, มันก็ยิ่งยืนยันคุณค่าของพวกเขามากเท่านั้น”
เข้าใจหล่ะ
ตอนนี้ฉันเข้าใจพวกเขามากขึ้นแล้ว พวกเขาเป็นทั้งอดีตอัศวินและอดีตผู้ผดุงความยุติธรรมสินะ
พวกเขาเคยยึดถืออุดมคติและความยุติธรรมเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง และผลลัพธ์ของการตัดสินใจของพวกเขา, ก็ทำให้พวกเขากลายเป็นพวกยึดหลักความเป็นจริงและนิสัยของพวกเขาก็เปลี่ยนจากอัศวินเป็นทหารแบบนี้
แต่ธาตุแท้ของคนคงจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงได้ง่ายขนาดนั้น
“ผู้คนพูดกันว่าพวกเจ้าทรยศเจ้านายของตัวเองแต่จากมุมมองของข้า, คงต้องบอกว่าพวกเจ้าถูกประเทศและประชาชนทรยศคงจะถูกกว่าสินะ? แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ, พวกเจ้าก็ยังคงฝึกฝนตัวเองอยู่ นี่ก็แสดงว่าพวกเจ้ายังภัคดีต่อประเทศและประชาชนไม่ใช่หรอ?”
“พวกเราเป็นทหาร พวกเรามีหน้าที่รับใช้ประเทศและประชาชนที่อาศัยอยู่ มันไม่มีพื้นที่ให้ความรู้สึกส่วนตัวหรอกครับ”
“อย่าหลีกเลี่ยงคำถามสิ, ท่านพันเอก พูดกับข้ามาตรงๆเลยไม่ดีกว่าหหรอ? พวกเจ้ายังอยากได้สถานที่ที่พวกเจ้าสามารถแสดงความสามารถของตัวเองได้ พวกเจ้ายังอยากเป็นที่ต้องการ ข้าพูดถูกไหม?”
“แล้วถ้าใช่หล่ะครับ?”ห
ลาสตอบคำถามด้วยคำถามเหมือนกับว่าจะทดสอบฉันห
ตอนนี้ฉันเข้าใจพวกเขาแล้ว
ทั้งหมดที่เหลือก็คือโน้มน้าวพวกเขาห
พวกเราไม่สามารถเรียกระดมพลพวกเขาได้ด้วยการออกคำสั่ง สิ่งที่พวกเราต้องการก็คือให้พวกเขาเสนอความช่วยเหลืออย่างเต็มใจ
“ข้าจะเตรียมสถานที่นั้นเอาไว้ให้พวกเจ้า สถานที่ที่พวกเจ้าต้องการ”
“ถ้างั้นข้าขอถามหน่อย สถานที่ที่ท่านว่ามันอยู่ที่ไหนหล่ะครับ?”
“รู้เรื่องสถานการณ์ทางใต้ใช่ไหม?”ห
“ก็ระดับนึงครับ ข้าคิดว่าน่าจะมีสงครามกลางเมืองในเร็วๆนี้”
“ข้าอยากหยุดเหตุการณ์นั้น พวกเราจะโจมตีฐานของพวกนั้นด้วยการโจมตีทีเผลอโดยใช้หน่วยระดับสูงและโค่นล้มดยุคครูเกอร์ พวกเราจะจบสงครามก่อนที่มันจะเริ่มต้นขึ้น”
“…..ข้าคิดว่าแผนแบบนี้คงจะไม่สำเร็จหรอก”
“ลีโอนาร์ดจะเป็นคนนำปฏิบัติการนี้โดยปลอมตัวเป็นคณะผู้ส่งสารของจักรพรรดิ พวกเราต้องการหน่วยระดับสูงสำหรับคุ้มกันเขา ถ้าพวกเราใช้การ์ดหลวงอีกฝ่ายก็จะระแวงพวกเราดังนั้นพวกเราจะต้องใช้หน่วยที่เทียบเคียงกับการ์ดหลวงในเรื่องของความแข็งแกร่ง นี่คือสาเหตุที่ข้ามาที่นี่เพื่อขอให้พวกเจ้ารับบทบาทนั้น”
ลูกน้องของลาสขมวดคิ้วให้กับแผนการของฉัน
เขารู้ตัวในทันทีว่าแผนการมันอันตรายเกินไป
ซึ่งนี่ก็เป็นเช่นเดียวกันกับลาส
“แสดงว่าพวกเราต้องทำหน้าที่เป็นโล่คอยปกป้องน้องชายของท่านสินะ?”ห
“ใช่ จะมองแบบนั้นก็ได้”
“…..พวกเราจะรับหน้าที่ถ้าได้รับคำสั่งอย่างเป็นทางการ แต่ถ้าไม่มีคำสั่งลงมา, ข้าก็คงจะต้องขอบอกปัดหล่ะนะ”
“แบบนั้นไม่ดีหรอก ข้าไม่ต้องการพวกที่ต้องถูกบังคับให้เข้าร่วมปฏิบัติการนี้ ขอโทษนะแต่ข้าต้องการคนที่ยินดีสละชีวิตของตัวเองเพื่อภารกิจนี้”
ฉันทำให้มันเป็นเหมือนการอาสา
คนพวกนี้ถูกประเทศและประชาชนทำให้ผิดหวัง แต่ฉันก็ยังบอกให้พวกเขาสละชีวิตห
ยิ่งไปกว่านั้น, คำพูดพวกนี้ยังมาจากฉันที่ไม่ได้เข้าไปในสนามรบด้วยซ้ำ
“แบบนี้ก็ยิ่งยากเข้าไปใหญ่ ถึงยังไงพวกเราก็ไม่มีใครที่เป็นเบี้ย”ห
“ข้ารู้ ข้ามาขอร้องเจ้าทั้งๆที่รู้เรื่องนั้นดี”
“เพื่อประชาชนหรอ? ถ้าสงครามกลางเมืองเกิดขึ้น, หลายคนจะต้องเจ็บปวด เจ้าอยากให้พวกเราเดินไปหาความตายเพื่ออุดมคติอันล้ำค่าของเจ้าหรอ?”
“ผิดแล้ว นั่นมันอุดมคติของลีโอ, ไม่ใช่ของข้า ความรู้สึกที่ข้าใช้ในการขอให้เจ้าทำแบบนี้เป็นความรู้สึกส่วนตัวมากกว่า”
“แล้วส่วนตัวที่ว่ามันส่วนตัวยังไงหล่ะ?”ห
“น้องชายเป็นคนสำคัญสำหรับข้า ข้าไม่อยากให้เขาตาย เพราะฉะนั้นช่วยปกป้องเขาเพื่อข้าด้วย”
ลาสถลึงตาด้วยความประหลาดใจห
เขาคงไม่ได้คิดเลยว่าคำพูดแบบนี้จะถูกนำขึ้นมาใช้ที่นี่
ฉันแสยะยิ้มแล้วมองตรงกลับเข้าไปในดวงตาของลาส
“ข้าไม่สนหรอกว่ามันทำไปเพื่อสงครามผู้สืบทอด, เพื่อประเทศ, หรือเพื่อประชาชน ถ้าน้องชายของข้ากำลังเดินเข้าไปหาความตายแน่ๆ, ข้าก็อยากจะหาพันธมิตรที่แข็งแกร่งที่สุดให้เขา นี่คือความปราถนาของข้า พวกเจ้าแข็งแกร่ง ถ้าพวกเจ้ายอมปกป้องลีโอข้าก็จะสามารถวางใจได้”
“…..นี่มันเป็นคำตอบที่คาดไม่ถึงจริงๆ แต่ว่า, โดยส่วนตัวแล้ว, คำตอบแบบนี้ถือว่าถูกใจข้านะ”
ลาสพูดแบบนั้นด้วยรอยยิ้มแล้วลุกขึ้นมา
จากนั้นเขาก็ค่อยๆก้มศรีษะลง
“สำหรับข้านั้น, ข้ายินดีทิ้งชีวิตเพื่อท่าน แต่ว่า, ลูกน้องของข้าอาจจะแตกต่างออกไป เป้าหมายของท่านคงจะอยากให้พวกเราทุกคนให้ความร่วมมือถูกไหม? ท่านจะสามารถโน้มน้าวพวกเขาได้รึเปล่า?”
“ช่วยจัดสถานที่ให้ข้าทำแบบนั้นได้ไหมหล่ะ?”ห
“ไม่มีปัญหา แต่ว่า, ถ้าท่านไม่เสี่ยงเลย, ข้าก็สงสัยเหมือนกันว่าลูกน้องของข้าจะยอมทิ้งชีวิตเพื่อท่านรึเปล่า ท่านมีความมั่นใจไหมหล่ะ?”
สำหรับคำถามของลาส, ฉันหส่ายหัว
เมื่อเห็นเช่นนี้, รอยยิ้มของลาสก็กว้างขึ้นห
จากนั้น, เขาก็เปิดประตูแล้วพูดแบบนี้
“ข้าจะเรียกรวมลูกน้องของข้าให้ ได้เห็นท่านโน้มน้าวพวกเขาก็ถือเป็นภาพที่น่าสนใจเหมือนกัน”
“อย่าคาดหวังมากละกัน ถึงยังไงข้าก็เป็นเจ้าชายไร้ค่า ข้าไม่ใช่คนที่ยอดเยี่ยมอะไรหรอก”
“ข้าคิดว่ามีคนอยู่สองประเทศที่ผู้คนจะยอมทิ้งชีวิตให้ ประเภทแรกคือคนที่มีทุกสิ่งทุกอย่าง, คนที่มีเสน่ห์มากๆจนผู้อื่นอยากติดตามโดยธรรมชาติ ส่วนอีกประเภทก็คือคนที่ขาดหลายสิ่งหลายอย่าง, คนที่ผู้คนอยากจะยื่นมือเข้าช่วย ด้วยเหมือนว่าท่านจะเป็นอย่างหลังนะ แต่น่าแปลก, สำหรับข้า, ท่านเองก็มีลักษณะของแบบแรกด้วย”
“นั่นชมสินะ?”
“ก็แค่การประเมินตามจริงหน่ะ”
หลังจากการพูดคุยแลกเปลี่ยนเช่นนี้, ฉันก็มายืนอยูหน้านาร์เบ ริทเทอร์ห