การต่อสู้ชิงบัลลังก์ในเงามืดของเจ้าชายไร้ค่าสุดแกร่ง (Saikyou Degarashi Ouji no An’ yaku Teii Arasoi ) - ตอนที่ 111
วันออกเดินทาง
มีแค่ฉันกับฟีเน่ที่อยู่ในห้อง
“ใกล้ถึงเวลาแล้วสินะคะ”
“นั่นสินะ เอาเถอะ, การเตรียมการสมบูรณ์แล้ว ถ้าไม่มีเรื่องเหนือความคาดหมายเกิดขึ้น, ทุกอย่างก็น่าจะไม่เป็นอะไรหล่ะนะ”
“ค่ะ, ไม่มีอะไรต้องกังวล”
ในตอนที่พูดเช่นนั้น, ฟีเน่ก็ยิ้มเรียกความมั่นใจให้ฉัน
เมื่อเห็นที่เป็นแบบนี้, ฉันก็เงียบไปพักนึง
จนถึงตอนนี้มีหลายครั้งที่มีเรื่องเหนือความคาดหมายเกิดขึ้น ฉันคงพูดไม่ได้ว่าครั้งนี้มันจะไม่เกิดขึ้น
ฟีเน่จะไปยืนอยู่ที่ศูนย์กลางของมัน ตอนนี้เธอตกอยู่ในอันตรายมากกว่าที่เคยผ่านมา
“…..พูดตรงๆนะ ถ้าเป็นไปได้ข้าก็ไม่อยากให้เจ้าไปเลย”
“ข้าขอโทษจริงๆค่ะ”
“เจ้านี่…..เข้มแข็งจังเลยนะ”
ฟีเน่ก้มศรีษะลงอย่างเงียบๆแล้วเงยหน้าขึ้น ไม่มีร่องรอยความกังวลแสดงอยู่บนใบหน้าของเธอเลย
สิ่งที่ทำให้มันเป็นไปได้ก็คือความไว้ใจของเธอที่มีให้คนอื่น เธอเข้มแข็งจริงๆที่สามารถไว้ใจคนอื่นได้มากถึงขนาดนั้น
“ข้าไม่ได้เข้มแข็งเลยค่ะ ข้านึกถึงความไร้ประโยชน์ของตัวเองอยู่ทุกวัน”
“เจ้าเนี่ยนะ?”
“น่าประหลาดใจหรอคะ? ข้าหน่ะอยากช่วยท่านอัลตลอดเวลาเลยนะคะรู้ไหม?”
“ข้าก็รู้สึกขอบคุณนะแต่ว่าเจ้าช่วยข้ามาพอแล้วหล่ะ”
“ไม่หรอก, ไม่ใช่เลยค่ะ ข้าเป็นคนที่ล่วงรู้ความลับของท่าน ข้าควรจะช่วยแบ่งเบาภาระของท่าน แต่ว่า….ทั้งหมดที่ข้าทำได้ก็คือการมองดูท่านไปทำเรื่องเจ็บตัวโดยที่ช่วยอะไรไม่ได้เลย”
สายตาของฟีเน่จ้องลงมาที่มือซ้ายของฉัน
มือซ้ายที่พันแผลเอาไว้นั้นดูค่อนข้างเจ็บเพราะมันยังไม่ได้รับการรักษาอย่างเต็มที่
อย่างไรก็ตาม, ต้องขอบคุณแผลนี้, นาร์เบ ริทเทอร์จึงตัดสินใจปกป้องพวกเขาอย่างเต็มความสามารถ
“มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก”
“….ต่อให้เป็นรอยแผลเล็กๆมันก็กลายเป็นแผลเป็นใหญ่ได้นะคะ หน้าที่ของข้าคือการป้องกันไม่ให้ท่านได้รับบาดเจ็บรุนแรง ซึ่งข้าภาคภูมิใจกับเรื่องนั้นมากๆ”
ในตอนที่ฟีเน่มองตรงมาที่ฉัน, ฉันก็ยิ้มเจื่อนๆ
จากนั้น, แก้มของฟีเน่ก็กระตุกขึ้นเล็กน้อย
“ข, ข้ากำลังจริงจังอยู่นะคะ!”
“อา, ข้ารู้แล้ว ข้าแค่คิดว่าหน้าตาจริงจังของเขามันค่อนข้างๆจะเหนือคาดไปหน่อย”
“น, นี่ท่านเห็นข้าเป็นตัวตลกหรอคะ!?”
“เปล่าซักหน่อย ข้าเข้าใจว่าเจ้าเป็นห่วงข้าจริงๆ เพราะฉะนั้นข้าจะบอกให้นะว่าข้าเองก็เป็นห่วงเจ้าเหมือนกัน เจ้าอ่อนโยนและมักจะเดินบนเส้นทางที่ถูกต้องอยู่เสมอ สำหรับข้า, เจ้าเป็นสัญญาณนำทางที่สำคัญ ถ้าเกิดเจ้าจากไปแล้วข้าคงจะเป็นปัญหาเอาได้”
ตั้งแต่ตอนที่สงครามผู้สืบทอดเริ่มต้นขึ้น, พี่ๆทั้งสามของฉันก็เปลี่ยนไป
เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องแบบนั้นกับฉันด้วย, ฉันจำเป็นต้องมีฟีเน่อยู่ข้างกาย
และเพื่อไม่ให้ฉันกลายเป็นปีศาจร้าย, แม้ว่าจะต้องใช้แผนการที่โหดร้ายแค่ไหน ฉันจะไม่มีวันใช้แผนการที่ฟีเน่แสดงความไม่เห็นด้วยออกมาอย่างชัดเจน
เพราะถ้าฉันทำแบบนั้น, ฉันเองก็จะจมลงไปในความมืดของสงครามผู้สืบทอดเช่นกัน
ลีโอเองก็คงไม่มีวันทำเรื่องที่ฟีเน่แสดงความไม่เห็นด้วยออกมาอย่างชัดเจน
เพื่อไม่ให้เรื่องแบบนั้นเกิดขึ้น, ฉันอยากให้ฟีเน่อยู่เพื่อรักษาแสงสว่างของพวกเรา
“เพราะฉะนั้น….ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นเจ้าต้องเป่าขลุ่ยทันทีเลยนะ ข้าจะไปช่วยเจ้าอย่างแน่นอน ไม่ว่าข้าจะทำอะไรอยู่, ไม่ว่าข้าจะอยู่กับใคร, ข้าก็จะให้ความสำคัญกับเจ้ามากที่สุด”
“ถ้าท่านพูดถึงขนาดนี้ข้าก็ลำบากใจแย่เลยสิคะ…..มันต้องมีเรื่องสำคัญกว่าที่ท่านอัลต้องทำด้วยถูกไหมคะ”
“ไม่หรอก, เจ้าถือเป็นความสำคัญลำดับหนึ่ง แต่ก็แน่นอนว่า, ข้าจะทำงานอื่นๆให้เสร็จให้มากที่สุดเท่าที่ข้าจะทำได้ด้วย”
“งั้นหรอคะ…..ถ้างั้นเมื่อเวลามาถึงก็ขอฝากด้วยนะคะ”
“อา, ไว้ใจได้เลย”
ในตอนที่พูดเช่นนั้น, ฉันก็ยิ้มออกมาอย่างไม่หวั่นกลัว
ฉันต้องทำให้ฟีเน่สบายใจมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้เธอไม่ต้องเป็นห่วงฉัน
“ใกล้จะได้เวลาแล้วค่ะ”
“ใกล้ถึงเวลาแล้วสินะ…..”
ในตอนที่มองไปทางนาฬิกา, ฉันก็ลุกขึ้น
หลังจากนี้, ฟีเน่จะเข้าร่วมกับลีโอและคนอื่นๆเพื่อเตรียมออกเดินทาง ส่วนฉันเองก็จะคอยจับตาดูกอร์ดอน
ด้วยเหตุการณ์ที่ดำเนินไปเช่นนั้น, คงไม่ค่อยมีโอกาสที่พวกเราจะได้เจอกัน แต่ถึงยังไงพวกเราก็ไม่มีเวลาสำหรับเรื่องแบบนั้นอยู่แล้วหล่ะนะ
เพราะอย่างนั้นฉันจึงคิดว่าตัวเองยังคุยกับเธอไม่พอ
แต่ว่า, ในหัวของฉันกลับคิดอะไรไม่ออก
ในขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้นเอง, ฟีเน่ก็เปิดประตู
“ไปกันเถอะค่ะ”
“อ, อ่า”
ฉันเกาศรีษะด้วยความรู้สึกกระอักกระอ่วน
ในขณะที่กำลังทำแบบนั้น, ฟีเน่ก็ยิ้มออกมา
จากนั้น
“ท่านอัลคะ ท่านอัลหน่ะคอยช่วยเหลือข้าตั้งแต่ครั้งแรกที่พวกเราได้เจอกันแล้ว ข้าเชื่อในตัวท่านเสมอ ดังนั้นข้าไม่กังวลหรอกค่ะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นข้าก็จะไม่กลัว เพราะฉะนั้นช่วยส่งข้าออกไปโดยไม่ต้องห่วงข้านะคะ”
“…..ข้าจำไม่เห็นได้เลยว่าเคยช่วยเจ้าไปขนาดนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่”
“ต่อให้ทำไปโดยไม่รู้ตัว, แต่ท่านอัลก็คอยช่วยเหลือผู้คนเสมอค่ะ ข้าคือหลักฐานของสิ่งนั้น”
“เรื่องของดยุคไคลเนลต์เป็นแค่การเคลื่อนไหวที่ข้าคำนวณเอาไว้นะรู้รึเปล่า?”
ในตอนที่ฉันพูดแบบนี้, ฟีเน่ก็ยิ้มออกมาอย่างสดใส
โดยไม่สามารถอ่านความหมายที่แท้จริงของรอยยิ้มเธอได้, ฟีเน่ก็เดินนำหน้าไป, ปล่อยให้ฉันสับสนอยู่คนเดียว
รอยยิ้มนั้นหมายความว่ายังไงกัน?
ในขณะที่กำลังครุ่นคิดถึงปริศนาใหม่นี้, ฉันก็เดินตามฟีเน่ไป
“อยู่ข้างนอกก็ระวังตัวให้ดีหล่ะ”
“แน่นอนครับ”
ในตอนที่พูดออกไปแบบนั้น, ฉันกับลีโอก็บอกลากัน
มันอันตรายกับฟีเน่อย่างเห็นได้ชัดแต่มันก็เป็นเหมือนกันกับลีโอ
แต่ว่าลีโอเองก็ดูเหมือนจะกระตือรือร้นกับเรื่องนี้เหมือนกัน ฉันหมายถึง, เขาดูไม่กลัวเลย
สถานที่ที่เขากำลังมุ่งหน้าไปก็คือทางใต้, สถานที่ที่ดยุคครูเกอร์ถือครองอำนาจเอาไว้มากที่สุด
“ดูเหมือนว่าท่านพี่จะมีเรื่องกังวลอยู่สินะครับ”
“แน่นอน”
“วางใจเถอะครับ ถึงยังไงข้าก็มีพวกคนคุ้มกันเก่งๆที่ท่านพี่อุตส่าห์ไปหามาให้อยู่ด้วย”
ในตอนที่พูดเช่นนั้น, ลีโอก็มองไปทางนาร์เบ ริทเทอร์ที่ยืนเรียงแถวกันเบื้องหน้าพวกเรา
ด้วยลาสที่เป็นคนนำพวกเขา, พวกเขาก็ทำความเคารพพวกเราพร้อมกันในตอนที่รับรู้ถึงสายตาของพวกเรา
“องค์ชายอาร์โนลด์ ในเมื่อท่านจะส่งพวกเราออกไปทั้งทีก็ช่วยยืดอกให้สง่าผ่าเผยกว่านี้หน่อยสิครับ มันส่งผลกับขวัญกำลังใจของพวกเรานะ”
“อย่าไร้เหตุผลไปหน่อยเลยหน่า…..”
“นี่พวกเราไม่ควรค่าให้ท่านไว้ใจหรอครับ?”
นาร์เบ ริทเทอร์ที่เก่งที่สุด 300 คนแรกจะทำหน้าที่เป็นคนคุ้มกันให้ขบวนผู้ส่งสารเองครับ ส่วนสมาชิกคนอื่นๆตอนนี้กำลังทำหน้าที่ปิดกั้นข้อมูลรอบๆเมืองหลวงจักรวรรดิอยู่
นี่ก็หมายความว่าลีโอจะต้องถล่มปราสาทด้วยคนแค่ 300 คนสินะ
ไม่ว่าพวกเขาจะแข็งแกร่งแค่ไหน, ฉันก็อดห่วงพวกเขาไม่ได้
“ถ้าข้าไม่เชื่อใจพวกเจ้าข้าก็คงไม่ฝากน้องชายข้าให้เจ้าดูแลหรอก”
“ถ้างั้นก็ช่วยยืดอกให้เต็มที่ได้เลยครับ สิ่งที่พวกเราอยากเห็นก็คือความมั่นใจของท่าน ได้โปรดให้พวกเราเห็นความไว้ใจที่ท่านมีให้พวกเราเถอะครับ”
ในตอนที่เขาบอกฉันแบบนั้น, ฉันก็เงยหน้าขึ้นแล้วยืนผายออกอย่างเต็มที่
จากนั้นฉันก็พูดกับนาร์เบ ริทเทอร์ทั้ง 300 คน
“ขอฝากพวกเขาเอาไว้ในการดูแลของพวกเจ้านะ”
แทนที่จะตอบคำถาม, พวกเขากลับทำความเคารพฉันแทน
จากนั้นลาสก็จัดแถวลูกน้องของเขา
มันใกล้จะถึงเวลาสำหรับพวกเขาแล้วสินะ
“เจ้าหนู, ทำให้พวกคนที่แข็งแกร่งขนาดนี้เชื่อฟังได้ไม่ธรรมดาเลยนี่”
คนที่จู่ๆก็เรียกฉันนั้นก็คือซิกที่ตอนนี้นั่งอยู่บนไหล่ของเซบาส
ลินเฟียเองก็อยู่ถัดจากพวกเขา
ขุมพลังทั้งหมดที่ขุมอำนาจของพวกเรามีได้มารวมตัวกันเพื่อปกป้องลีโอ
“พวกเราจะไปแล้วนะคะ องค์ชายอาร์โนลด์”
“อา, ฝากดูแลพวกเขาด้วยหล่ะ แต่ว่า, ช่วยเรียกข้าแบบอื่นได้ไหม, ลินเฟีย?”
“ท่านไม่ชอบหรอคะ?”
“มันดูห่างเหินหน่ะ”
“งั้นหรอคะ………ถ้างั้นกลับมาข้าค่อยเปลี่ยนแล้วกันค่ะ”
“เอาสิ ข้าจะรอ”
“ได้เลยค่ะ”
ลินเฟียพูดแบบนั้นในตอนที่เธอโค้งคำนับอย่างสุภาพแล้วจากไป
สถานที่ที่เธอมุ่งหน้าไปก็คือรถม้าที่ฟีเน่ขึ้นไปรอแล้ว นอกจากคุ้มกันเธอ, ครั้งนี้ลินเฟียยังทำหน้าที่สนับสนุนเรื่องต่างๆให้ฟีเน่ด้วย
เป็นเวลาพักนึง, ฉันได้สบตากับฟีเน่ในขณะที่เธอยิ้มแล้วโบกมือให้ฉัน
“ดูไม่กังวลอะไรเลยนะ”
“ข้าคิดว่าแบบนี้ดีกว่ามัวมานั่งกังวลนะคะ”
“นั่นสินะ ถ้าแม่หนูผ่อนคลายขนาดนี้อีกฝ่ายก็คงจะไม่ระแวงเหมือนกัน เป็นผู้หญิงที่ค่อนข้างเก่งเลยนี่ ทั้งสวย, มีสไตล์, ไม่มีจุดไหนให้ติเลย”
ในตอนที่พูดเช่นนั้น, ซิกก็ยิ้มกะล่อนซึ่งดูไม่เข้ากับรูปลักษณ์ของเขาเลย
ไอ้หมอนี่ทำตัวสบายจังนะ
“ข้าขอหล่ะ, อย่าเริ่มหม้อเธอในระหว่างเดินทางนะ….”
“ข้าสัญญาแบบนั้นไม่ได้หรอก การจีบหญิงงามเป็นธรรมชาติของข้าอยู่แล้ว”
“แล้วเอลน่าหล่ะ?”
“หืม, เจ้าคิดว่าเธอสวยหรอ?”
ฉันขมวดคิ้วให้กับคำตอบนี้
พอเห็นฉันเป็นแบบนี้, ซิกก็แสยะยิ้ม
“น่าเสียดายมันขัดกับหลักการของข้าหน่ะ ข้าเห็นผู้หญิงที่จับหอกจับดาบเป็นนักรบมาก่อนเป็นผู้หญิง มันน่าเสียดายใช่ไหมหล่ะ? แถมเธอยังสามารถเสนอการต่อสู้ดีๆให้ข้าได้ด้วย”
ในตอนที่พูด, ซิกก็ยิ้มออกมา
ดูเหมือนว่าซิกจะมีหลักที่มั่นคงจังเลยนะ
“นี่คือสาเหตุที่ต่อให้หน้าตาของเธอจะสมบูรณ์แบบ, แต่เธอก็อยู่นอกเป้าหมายการเพ่งเล็งของข้า ถึงยังไงเธอก็เป็นนักรบนี่นะ”
“ในทางตรงกันข้าม, ถ้าเธอตามท่าหอกของเจ้าไม่ได้เจ้าก็จะปฏิบัติกับเธอเหมือนผู้หญิงใช่ไหม?”
“แน่นอนสิ ไม่มีทางที่ข้าจะปล่อยคนสวยแบบนั้นไปอยู่แล้ว”
“นี่ นี่….ข้าขอหล่ะโอเคไหม?”
“ไม่ต้องห่วง เชื่อข้าเถอะ”
ซิกตอบกลับฉันในขณะที่เขาเกาะไหล่ของเซบาส
นี่มันดูไม่น่าเชื่อถือเลยซักนิด
หลังจากการสนทนาเช่นนี้, เซบาสก็โค้งคำนับแล้วจากไป
จากนั้นก็เหลือแค่ฉันกับลีโอ
“พวกเขาดูไว้ใจได้จริงๆครับ”
“เจ้าคิดงั้นหรอ?”
“พวกเขาคือคนที่ท่านพี่รวบรวมมาให้นี่หน่า ไม่มีใครที่ไม่น่าเชื่อถือหรอกครับ”
ลีโอพูดเช่นนั้นในขณะที่ยื่นกำปั้นขวามาให้ฉัน
พอเห็นแบบนั้นฉันก็ยืนกำปั้นออกไปเหมือนกัน
ในตอนที่กำปั้นของพวกเราสัมผัสกัน, ลีโอก็ทำสีหน้าจริงจัง
“ข้าจะจบมันเองครับ สงครามนี้”
“อา, ฝากด้วยหล่ะ”
หลังจากพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน, ลีโอก็ขึ้นรถม้าของเขา
ด้วยเหตุนี้เองขบวนผู้ส่งสารก็ออกเดินทาง
หลังจากนั้นฉันก็ปีนขึ้นไปบนป้อมสังเกตุการณ์, แล้วมองพวกเขาออกเดินทางจนพ้นเมืองหลวงจักรวรรดิ
“พวกเขาออกไปกันแล้วสินะ”
“ครับ, พวกเขาไปกันแล้ว”
เยอร์เกนพึมพำเรื่องเดียวกับฉัน
จากนั้น, ฉันก็หันหลังกลับ
“ท่านจะไปไหนหรอครับ?”
“ข้ามีเรื่องต้องทำเพราะฉะนั้นข้าจะออกไปนอกจักรวรรดิซักพักนึง ถ้ามีคนถามว่าข้าอยู่ไหนก็อ้างไปตามสมควรนะ”
“ข้าไม่มีปัญหาหรอกครับแต่ว่า……ท่านจะไปจับตาดูนักกลยุทธที่เลื่องลือคนนั้นหรอครับ?”
“แสดงว่าเจ้ารู้อยู่แล้วสินะ”
“แน่นอนครับ แต่ช่วยอย่าทำอะไรห่ามๆนะครับ ข้าคงสู้หน้าท่านลีเซล็อตต์ไม่ได้แน่ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับท่าน”
“งั้นหรอ ถ้างั้นข้าจะระวังนะ ไม่ต้องห่วง ข้าจะสังเกตจากที่ไกลๆเท่านั้น”
“ถ้างั้นก็ไม่เป็นอะไรครับแต่ว่า…..แล้วคนติดตามของท่านหล่ะ?”
“ข้ามีอยู่แล้วคนนึง”
เยอร์เกนพยักหน้าอยู่หลายครั้งแล้วส่งฉันออกไปด้วยรอยยิ้มในขณะที่บอกให้ฉันระวังตัว
เพียงเท่านี้, มันก็คงไม่มีปัญหาอะไรถ้าฉันจะออกนอกเมืองหลวงซักพักนึง
ฉันไม่ได้ให้เซบาสคอยปิดบังให้ฉันในคราวนี้ดังนั้นฉันจึงขอให้เยอร์เกนทำหน้าที่นั้นแทน
มันเป็นเรื่องปกติสำหรับฉันที่จู่ๆจะออกไปที่ไหนซักแห่งดังนั้นจึงไม่น่าจะมีใครสงสัยอะไร
“อย่าคิดว่าข้าจะปล่อยให้เจ้าได้ทำอะไรตามใจชอบหล่ะ, กอร์ดอน”
ในขณะที่พึมพำด้วยเสียงเบาๆ, ฉันก็เร่งฝีเท้า
พอออกจากเมืองหลวงแล้วฉันคงจะเคลื่อนไหวได้สะดวกขึ้น
ตอนนี้, ถึงเวลาเคลื่อนไหวในเงามืดแล้ว