การต่อสู้ชิงบัลลังก์ในเงามืดของเจ้าชายไร้ค่าสุดแกร่ง (Saikyou Degarashi Ouji no An’ yaku Teii Arasoi ) - ตอนที่ 114
ฉัน, ที่เข้ามาในเกลเลสในฐานะนักวางกลยุทธ์, ได้ขอให้เจ้าของดินแดนตัวน้อยอลัวส์อธิบายสถานการณ์
“เจ้ารู้รึเปล่าว่าทำไมช่วงนี้แถวนี้ถึงวุ่นวายขนาดนี้?”
“ท่านไม่รู้หรอครับ?”
“ข้าพึ่งขัดขวางหน่วยลอบเร้นที่กองทัพส่งมาเสร็จ ข้าบินมาที่นี่หลังจากนั้นแต่กองทัพดูวุ่นวายผิดปกติข้าก็เลยมาที่นี่เพื่อถามสถานการณ์ ซึ่งนั่นก็คือช่วงที่ข้าเจอเจ้าเมื่อก่อนหน้านี้”
“แบบนี้นี่เอง….ถ้าให้สรุปสั้นๆก็คือ, มีคนจากฝั่งเราซุ่มโจมตีแล้วทำการลอบสังหารแม่ทัพของกองทัพจักรวรรดิครับ”
แสดงว่าเขามีแผนสำรองสินะ แผนการแบบนี้มันดูหนักเกินไปสำหรับกอร์ดอนและสำหรับโซเนีย, มันดูหยาบเกินไปหน่อย นี่จะต้องเป็นคำแนะนำจากผู้ช่วยคนอื่นๆของเขาแน่ๆ
อย่างไรก็ตาม, ฝืนดึงดันให้เกิดสงครามแบบนี้คงจะไม่มีทางได้รับคำชมจากท่านพ่อหรอก
เจตนาของเขาหลังจากสงครามจบมันดูชัดเจนขึ้นจากสิ่งที่เห็นในตอนนี้
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะเข้ามาอยู่ในสถานการณ์ที่น่าสนใจเข้าแล้วหล่ะ ส่วนคนที่เตรียมมือซุ่มยิงก็คือลุงของเจ้าสินะ?”
“น่าจะใช่ครับ”
ถ้าเป็นแบบนั้น, ความผิดก็จะมาอยู่ฝั่งนี้
ในเมื่อแม่ทัพของพวกเขาถูกลอบสังหาร, พวกเขาก็ต้องตอบโต้ เอาเถอะ, มันค่อนข้างบังคับกันไปหน่อยแต่มันก็ทำให้พวกเขาได้เคลื่อนไหวตามดุลยพินิจในภาคสนามของพวกเขา ยิ่งไปกว่านั้น, เมื่อพวกเขาถล่มเมืองนี้ได้, มันก็จะกลายเป็นสงครามกับทางใต้อย่างเต็มรูปแบบ
ถ้าเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้น, มันก็จะไม่มีทางให้ถอยแล้ว ตัวเลือกเดียวที่เหลืออยู่ก็คือบดขยี้ทางใต้อย่างจริงจัง
ซึ่งนั่นคงจะเป็นฉากที่ดีที่สุดสำหรับกอร์ดอน
อย่างไรก็ตาม, ถ้าเมืองนี้ไม่โดนทำลาย, มันก็จะเป็นเรื่องที่ต่างออกไป พวกเราต้องจำกัดความขัดแย้งให้อยู่ในพื้นที่แห่งนี้ ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้คงจะไปถึงดยุคครูเกอร์ในอีกไม่นาน เมื่อถึงตอนนั้นลีโอกับคนอื่นๆก็น่าจะไปถึงแล้วและจัดการเรื่องของทางนั้นเรียบร้อยแล้ว
ถ้าพวกเราสามารถยื้อเอาไว้ไซักสองสามวันและจำกัดการต่อสู้เอาไว้ที่นี่ได้มันก็น่าจะพอควบคุมได้อยู่
ถ้าข้อมูลนี้ไปถึงเมืองหลวงมันก็คงไม่ต้องสงสัยเลยว่ากอร์ดอนจะถูกสั่งให้หยุดในทันทีดังนั้นเขาคงจะไม่รายงานเรื่องนี้ เหมือนกับพวกเราที่ต้องดูแลความปลอดภัยของข้อมูล, ตอนนี้เขาเองก็อยู่ในสถานการณ์คล้ายๆกัน
“การเคลื่อนไหวของกองทัพดูเป็นระเบียบเกินไปหน่อย นี่น่าจะเป็นเพราะพวกเขาคาดเอาไว้แล้ว ตอนนี้การต่อสู้คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ เจ้ามีคนอยู่ที่นี่กี่คนหล่ะ?”
“อัศวิน 500 คนกับทหารอีก 500 คนครับ, พวกเรามีกำลังคนทั้งหมดหนึ่งพันคนแต่ว่า…..ทหารของพวกเราไม่ได้ผ่านการฝึกมาอย่างเหมาะสม……”
“ทหารเกณฑ์สินะ, เอาเถอะ, ก็ยังดีกว่าไม่มี…..แต่ว่า, ศัตรูมีทหารระดับสูงของกองทัพ 10,000 คนในขณะที่พวกเรามีกันแค่พันคนที่ระดมมาเป็นการเร่งด่วน พวกเขามีจำนวนมากกว่าเราถึงสิบเท่าและความแข็งแกร่งรายบุคคลก็น่าจะอยู่คนละโลกกับพวกเราด้วย”
ต่อให้เงื่อนไขการชนะของพวกเราจะเป็นการยื้อเอาไว้ให้ได้ซักสองสามวัน, แต่ข้อเสียเปรียบที่พวกเรามีมันก็สูงจนน่าสิ้นหวัง
ถ้าพวกเขาเอาจริง, พวกเขาก็น่าจะสามารถยึดเมืองนี้ได้ในเวลาไม่กี่วัน
“พวกเราจะชนะได้จริงๆหรอครับ…..?”
อลัวส์ถามอย่างกังวล
ซึ่งฉันก็ได้ลูบศรีษะของเขาเบาๆเพื่อสร้างความมั่นใจ
“ยังพอมีโอกาสอยู่ แต่ก็แน่นอนว่า, เจ้าจำเป็นต้องจัดการหลายๆอย่างด้วย เจ้าไหวไหมหล่ะ?”
“ม, ไม่เป็นไรครับ! ข้าจะแสดงให้ท่านได้เห็นเอง!”
“ดี ขั้นแรก, พาข้าไปแนะนำกับคนของเจ้าที สิ่งแรกที่เจ้าต้องทำก็คือการโน้มน้าวพวกเขา”
“ครับ!”
ด้วยการตอบกลับอย่างมีชีวิตชีวา, อลัวส์กับฉันก็เริ่มออกเดินทาง
…
“ตอนนี้ข้าพอเข้าใจสถานการณ์แล้วครับ”
อัศวินเฒ่าคนนึงพูด
อย่างไรก็ตาม, สำหรับอัศวินเฒ่านั้น, สายตาของเขาเฉียบคมและการเคลื่อนไหวก็ไม่เหมือนคนแก่เลย
ชายแก่ที่มีบรรยากาศของพวกเจนศึกคนนี้ก็คือผู้บัญชาการอัศวินของเอิร์ลซิมเมล, โฟ้กท์
“ถ้าพลซุ่มยิงเป็นคนของบ้านซิมเมลจริงๆการขอโทษก็คงจะเป็นไปไม่ได้แล้ว ไม่ว่าท่านอลัวส์จะแสดงความสำนึกผิดมากแค่ไหน, กองทัพจักรวรรดิก็จะไม่มีวันยอมอ่อนข้อ ความมุ่งมั่นของท่านที่อยากต่อสู้เพื่อแม่ที่นับถือและผู้คนทางใต้นั้นถือว่าน่ายกย่องจริงๆ ว่าแต่, คนน่าสงสัยข้างหลังท่านเป็นใครกัน?”
โฟ้กท์จ้องมาที่ฉันในขณะที่พูดออกมาแบบนั้น
ซึ่งมันก็เป็นเช่นเดียวกันสำหรับคนอื่นๆ พวกเขาคือลูกน้องที่ซื่อสัตย์ซึ่งรับใช้ตระกูลนี้มาเป็นเวลานานแล้ว
พวกเขาไม่คล้อยตามการกระทำของลุงของอลัวส์และเลือกที่จะยืนหยัดปกป้องกำแพงเมือง
มันเป็นเรื่องธรรมดาที่พวกเขาจะต่อสู้เพื่ออลัวส์แต่ว่าพวกเขาคงยอมรับสถานการณ์ที่มีคนหน้าสงสัยอย่างฉันคอยยืนอยู่ข้างหลังเขาไม่ได้หรอก
“เกราว์เป็นคนช่วยข้าเอาไว้ เจ้าไว้ใจเขาได้”
“ต่อให้เขาช่วยท่านเอาไว้ก็เถอะ, แต่จะให้ไว้ใจมันคนละเรื่องกันนะครับ, นายท่าน”
อืมม, พวกเราจะเริ่มกันแบบนี้สินะ
ในสถานการณ์ที่พวกเราต้องเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันนั้น, มันไม่มีเวลาสำหรับการต่อสู้ภายใน
“ผู้บัญชาการอัศวินโฟ้กท์ ขอข้าพูดอะไรซักหน่อยได้ไหม?”
“อะไรหล่ะ? นักกลยุทธเร่ร่อน”
“จากมุมมองของเจ้า, เจ้าคิดว่าสถานการณ์ในตอนนี้เป็นยังไง?”
“มันคือจุดจบของบ้านซิมเมล”
“เห้อ….ไร้เดียงสาชะมัด มุมมองของเจ้าที่มีต่อสถานการณ์นี้มันไร้เดียงสาเกินไปแล้ว, คุณผู้บัญชาการอัศวิน”
“ว่าไงนะ?”
ในตอนที่โฟ้กท์พูดแบบนั้น, ฉันก็ชี้ไปยังแผนที่ที่กางอยู่บนโต๊ะสำหรับการประชุมวางแผนของพวกเรา
เกลเลสคือเมืองหน้าด่านของทางใต้ การปล่อยให้กองทัพผ่านที่นี่ไปได้ก็หมายความว่าสงครามจะกระจายไปยังทุกส่วนของเขตใต้
“ถ้าพวกเราปล่อยให้พวกนั้นผ่านที่นี่ไปได้, กองทัพจักรวรรดิก็จะถลำลึกเข้าไปในเขตใต้ในทันที สงครามแนวหน้าจะกระจายออกไปอย่างแน่นอนและมันก็จะทำให้จักรวรรดิอ่อนแอลงอย่างมาก แล้วอะไรคือชนวนสำหรับเหตุการณ์นั้นหล่ะ? ใช่แล้ว, มันเป็นอะไรไปไม่ได้นอกจากบ้านซิมเมล ต่อให้เจ้ารอดจากการต่อสู้มาได้, จักรพรรดิก็จะประหารทั้งตระกูลเพื่อให้ชดใช้สำหรับเรื่องที่เกิดขึ้นอยู่ดี”
“หน่ะ, นั่นมัน……”
“แต่ว่า, การยอมจำนนไม่ใช่ทางเลือกที่ดีหรอกนะ เจ้าจะต้องแบกรับข้อหาลอบสังหารแม่ทัพและถูกสำเร็จโทษ ตอนนี้บ้านซิมเมลจะล่มแหล่ไม่ล่มแหล่แล้ว ยิ่งไปกว่านั้น, ทหารของพวกเจ้าคงจะมีข้อกังขาอยู่ตั้งแต่แรกแล้วว่าทำไมพวกเขาถึงต้องสู้กับกองทัพของจักรวรรดิด้วย ต่อให้แม่ของเจ้าของดินแดนจะถูกจับเป็นตัวประกัน, แต่นั่นมันก็เป็นปัญหาของผู้ปกครองคนเดียว การจะโน้มน้าวให้พวกเขาต่อสู้เพื่อเจ้านั้นคงไม่ใช่เรื่องง่ายๆแน่, เข้าใจใช่ไหม? ขุมพลังของพวกเราอ่อนแอในขณะที่ศัตรูแข็งแกร่ง ปัญหามีแต่จะสุมขึ้นไปเรื่อยๆ แต่ถึงยังไง, นี่ก็คือความจริงที่พวกเราเผชิญอยู่ เพราะฉะนั้นเจ้าต้องให้ความสำคัญกับคนที่เสนอความช่วยเหลือให้เจ้าในสถานการณ์แบบนี้ไม่ใช่หรอ?”
“….ถึงอย่างนั้นก็เถอะ, แต่จะให้ไว้ใจเจ้าในทันทีมันก็…..”
“ถ้างั้นเจ้าคอยจับตาดูข้าก็ได้ กองทัพจักรวรรดิคงจะเริ่มโจมตีในเร็วๆนี้แหล่ะ”
“……ก็ได้ ถ้าเจ้าเสนอความช่วยเหลือให้พวกเราทั้งๆที่รู้ดีว่าสถานการณ์มันสิ้นหวังขนาดไหนก็แสดงว่ามันยังมีโอกาสที่พวกเราจะชนะถูกไหม?”
ฉันพยักหน้าให้กับคำถามของโฟ้กท์
จากนั้นฉันก็กวาดตามองทุกคนที่อยู่ที่นี่
“ไม่มีสถานการณ์ไหนที่เหมาะสมกับคำว่าสิ้นหวังสุดๆไปมากกว่าสถานการณ์นี้แล้ว แต่ว่า, พวกเรายังพอมีแสงแห่งความหวังอยู่นิดหน่อย กองทัพจักรวรรดิกำลังอยู่ในระหว่างการวางแผน ในอีกไม่กี่วันนี้, ดยุคครูเกอร์จะถูกลอบโจมตี พูดอีกนัยนึงก็คือ, พวกเราจะไม่เป็นอะไรตราบใดที่ยื้อเอาไว้ได้จนถึงตอนนั้น”
“แต่ข้าไม่เห็นเคยได้ยินเรื่องแบบนั้นมาก่อนเลยนะ?”
“ก็เพราะมันเป็นความลับหน่ะสิ กลับเข้าเรื่องนะ สถานการณ์ของบ้านซิมเมลอาจจะเข้าขั้นสิ้นหวังสุดๆแต่ถ้าพวกเรายื้อเอาไว้ได้ซักสองสามวัน, สถานการณ์ก็จะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง การยื้อทหาร 10,000 คนเอาไว้ด้วยคน 1,000 คนเพื่อป้องกันไม่ให้สงครามรุนแรงขึ้นนั้นเป็นการกระทำที่แม้แต่จักรพรรดิก็คงจะมองข้ามไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น, ด้วยเรื่องที่แม่ของเจ้าถูกดยุคครูเกอร์จับเป็นตัวประกันผนวกกับความจริงที่ว่าสงครามนี้มีความเกี่ยวข้องกับสงครามผู้สืบทอดที่กำลังเกิดขึ้นในเมืองหลวงอย่างมาก, สถานการณ์ของเจ้าจะต้องเปลี่ยนไปอย่างแน่นอนถ้าสามารถผ่านพ้นวิกฤตนี้ได้”
“….พูดตามตรงนะครับ, ความอยู่รอดของบ้านซิมเมลถือเป็นเรื่องรองสำหรับข้า สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือการป้องกันไม่ให้สงครามนี้ทวีความรุนแรงขึ้น นี่คือสิ่งที่ข้าคิด ข้าเข้าใจดีว่าทุกคนไม่สามารถไว้ใจเกราท์ได้ในทันทีและเขาก็ไม่มีอะไรมาสนับสนุนความน่าเชื่อถือด้วยแต่พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากไว้ใจเขาและให้ความร่วมมือ ถึงยังไงถ้าพวกเราสู้ด้วยตัวเอง, พวกเราก็คงจะแพ้เอาง่ายๆ”
ลูกน้องของเขาแสดงความลังเลออกมาอยู่พักนึงแต่สุดท้ายพวกเขาทุกคนก็พากันคอตกราวกับว่าพวกเขายอมแพ้และตัดสินใจเข้าร่วมด้วย
เมื่อเห็นแบบนี้, อลัวส์ก็หันมามองฉัน
“ตอนนี้, เชิญอธิบายแผนของท่านมาได้เลยครับ”
“เข้าใจแล้ว ในตอนที่กองทัพจักรวรรดิโจมตีป้อมปราการของเมือง, มันเป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะรวบรวมกำลังส่วนใหญ่เอาไว้ที่ประตูหลักแล่วส่งกลุ่มอื่นๆออกไปโจมตีประตูอื่นที่มีป้อมปราการน้อยกว่า ถ้าฝ่ายนั้นเคลื่อนไหวตามการคาดการณ์ของข้า, พวกนั้นก็น่าจะใช้วิธีการตามตำรานี้เพื่อโจมตีพวกเราอย่างแน่นอน”
“ถ้างั้นพวกเราแบ่งกำลังออกไปป้องกันทั้งสี่ประตูจะดีไหม?”
“ไม่, ความแตกต่างระหว่างฝ่ายเรากับฝ่ายนั้นคือสิบเท่า ถ้าเจ้าอยากยื้อการโจมตีที่ประตูหลักเอาไว้, เจ้าก็ต้องจัดสรรกองกำลังให้เหมาะสมเพื่อป้องกันมัน”
การโจมตีที่ประตูหลักนั้นน่าจะเป็นตัวล่อแต่อัตราส่วนของกองกำลังทั้งสองฝ่ายมันแตกต่างอย่างสุดกู่มาตั้งแต่แรกแล้ว ดังนั้นตัวล่ออาจจะกลายเป็นการโจมตีของจริงจากฝั่งนั้นก็ได้ดังนั้นการเคลื่อนย้ายกำลังพลออกไปจากประตูหลักจึงไม่ใช่การเคลื่อนไหวที่ฉลาดเลย
โฟ้กท์หยีตามองฉันในตอนที่พูดเช่นนั้น
“แสดงว่าเจ้ามีแผนที่จะเอาชนะหน่วยที่โจมตีขนาบสินะ?”
“ใช่แล้ว ศัตรูของพวกเราเป็นกองทัพใหญ่ที่ผ่านการฝึกฝนมาอย่างดี ในอีกด้านนึง, ส่วนของเรานั้นมีแค่จำนวนเล็กๆและไม่ได้รับการฝึกมาอย่างเหมาะสมด้วย ฝ่ายนั้นคงจะไม่ทันระวังพวกเราอย่างแน่นอน ต่อให้พวกนั้นเป็นมืออาชัพ, นั่นมันก็ไม่ใช่เรื่องที่หลักเลี่ยงได้ และนี่ก็คือสาเหตุที่พวกนั้นจะโดนกับดักของพวกเราได้ง่ายๆ”
ไม่ว่าจะมื่ออาชีพแค่ไหน, อีกฝ่ายก็มองพวกเราเป็นแค่เมืองบ้านนอก
ด้วยความแตกต่างด้านจำนวนที่ชัดเจนขนาดนี้, พวกเขาคงไม่เสียเวลาระแวงพวกเราหรอก
เป้าหมายของพวกเขาคือบุกทะลวงเมืองนี้ให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อยึดครองแนวหน้าทางใต้
เพราะถ้าเรื่องมันเลยเถิดไปถึงขั้นนั้น, จักรพรรดิก็จะหยุดยั้งพวกเขาไม่ได้อีก
กองทัพจะมาหาพวกเราด้วยกำลังทั้งหมดและใช้แผนตามตำราอย่างแน่นอน
“ท่านอลัวส์ ข้าขอยืมทหารซักร้อยคนจะได้ไหม?”
“ร้อยคนหรอครับ?…..ท่านจะเอาชนะหน่วยขนาบข้างด้วยคนแค่นั้นหรอ?”
“กองทัพจะเล็งมาที่ประตูที่มีการป้องกันน้อยกว่า พวกเราไม่จำเป็นต้องป้องกันทั้งสามประตูเสมอไปดังนั้น 100 คนน่าจะพอแล้ว และก็อีกเรื่องนึง”
“มีอะไรก็ขอมาได้เลยครับ ข้าจะจัดเตรียมให้ในทันที”
“มันก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกแต่น่าจะมีน้ำมันที่เตรียมไว้สำหรับการต่อสู้ตั้งรับอยู่ใช่ไหม ข้าขอยืมหน่อยจะได้รึเปล่า?”
“จะโจมตีด้วยไฟสินะ แต่ว่า, ข้าไม่คิดว่าการโจมตีด้วยไฟง่ายๆแบบนั้นจะเอาชนะหน่วยขนาบข้างได้หรอก”
“ข้ามีแผนสำหรับเรื่องนั้นแล้ว ไม่ต้องห่วง”
ในตอนที่พูดเช่นนั้นฉันก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย
พวกเขามองไม่เห็นใบหน้าของฉันแต่พวกเขาน่าจะบอกได้จากบรรยากาศ
พอสัมผัสได้ถึงความหนาวสะท้าน, โฟ้กท์ก็ก้าวถอยไปโดยไม่รู้ตัว
และด้วยเหตุนี้เองฉันก็ได้เข้าร่วมการต่อสู้ปะทะกองทัพจักรวรรดิ