การต่อสู้ชิงบัลลังก์ในเงามืดของเจ้าชายไร้ค่าสุดแกร่ง (Saikyou Degarashi Ouji no An’ yaku Teii Arasoi ) - ตอนที่ 116
วันต่อมา, กองทัพได้ยอมตัดใจเรื่องการโจมตีทีเผลอแล้วบุกใส่พวกเราด้วยการโจมตีซึ่งๆหน้า
สำหรับผู้บัญชาการของพวกเขา, นี่เป็นแผนที่ชาญฉลาดจริงๆ
แบ่งกองทัพออกเป็นสี่กอง, พวกเขาจะล้อมพวกเราและโจมตีใส่ทั้งสีประตู
ด้วยวิธีนี้, กองกำลังของพวกเราก็จะต้องกระจายออกไปอีกแม้ว่าจะมีข้อเสียเปรียบด้านจำนวนอยู่แล้วก็ตาม
อย่างไรก็ตาม, ผลลัพธ์นั้นต่างออกไป
“เหวออออ!!”
“ลงนรกไปซะ!!”
อัศวินกับทหารของเกลเลสกำลังป้องกันการโจมตีของกองทัพจักรวรรดิด้วยกำลังใจที่เปี่ยมล้น
ลูกศรและลูกหินกระหน่ำลงมาใส่กองทัพจักรวรรดิ
พวกเราเป็นฝ่ายตั้งรับแต่มันดูเหมือนกับว่าพวกเราเป็นฝ่ายรุกซะมากกว่าด้วยซ้ำ
ซึ่งมันไม่หลายเหตุผลสำหรับเหตุการณ์นี้
กลยุทธ์ของพวกเขาถูกมองออก, การสูญเสียทหารระดับสูงไปนับพันคน, การโจมตีด้วยไฟเมื่อวาน, และการปรากฎตัวของนักกลยุทธ์ลึกลับที่ควบคุมกระแสการโจมตีนี้
พวกนี้คือข่าวลือที่เพิ่มความระแวงและความกังวลในฝั่งทหารจักรวรรดิ
มันอาจจะมีกับดักบางอย่างอยู่ใกล้ประตู, หรือไม่พวกเขาก็อาจจะใช้ไฟจุดอะไรบางอย่างอีกก็ได้
ความระแวงและความกังวลเช่นนี้ได้บดบังการตัดสินใจของพวกเขา
“ทำลายประตูนั่น!”
“ครับท่าน!”
พอตอบรับคำสั่งของผู้บัญชาการ, พวกทหารก็เคลื่อนที่สู่แนวหน้า
อย่างไรก็ตาม, ในตอนที่พวกเขาเห็นประตู
ภาพของทหารโดนเผาที่ถูกหามไปที่ค่ายเมื่อวานก็ผุดขึ้นมาในหัวของพวกเขา แทนที่จะมุ่งหน้าตรงไปที่ประตู, พวกเขากลับเลือกที่จะไปจากทางด้านข้างแทน
อย่างไรก็ตาม, การเคลื่อนไหวที่ไม่จำเป็นนี้ทำให้พวกทหารกลายเป็นเหยื่อของห่าธนู
แต่ว่ามันก็แค่นั้น, ถึงแม้ว่าพวกเขาจะต้องกระจายกำลังออกไปให้ครอบคลุมทั้งสี่ประตู, พวกเขาก็ยังคงเป็นทหารระดับสูงที่ต่อสู้กับไพร่พลที่ถูกจับเกณฑ์มา มันไม่มีเหตุผลอะไรที่จะทำให้พวกเขาแพ้
ดังนั้นต้นเหตุที่ทำให้สถานการณ์ในปัจจุบันนี้เกิดขึ้นโดยหลักๆแล้วมาจากทางเกลเลส
พวกเขาไม่เคยพลาดช่องโหว่วที่เกิดจากความสับสนของทหารอีกฝ่ายนึงและทำตามคำสั่งของผู้บัญชาการอย่างเคร่งครัด พวกเขาแสดงความสามารถที่โดดเด่นในการจดจ่อกับสถานการณ์อย่างต่อเนื่องและเคลื่อนไหวด้วยแนวทางที่เหมาะสมที่สุดอยู่ตลอด
คุณภาพที่พวกเขาแสดงออกมานั้นทำให้ทุกคนสงสัยว่าฝ่ายไหนกันแน่ที่เป็นทหารที่ได้รับการฝึกมาอย่างดี
เมื่อรับการโจมตีจากศัตรูระดับนี้อย่างต่อเนื่อง, ความสูญเสียของทางฝั่งจักรวรรดิก็เพิ่มขึ้นในแต่ละประตู, เมื่อตระหนักได้ว่าไม่มีโอกาสที่จะฝ่าเข้าประตูไหนได้เลย, คนที่ทำหน้าที่เป็นผู้บัญชาการอย่างเลทส์จึงยอมสั่งถอนกำลังชั่วคราวในที่สุด
“ทหารฝั่งศัตรูเป็นสัตว์ประหลาดรึไงกัน!?”
เลทส์ทุบโต๊ะแล้วตะโกนออกมาในเต้นท์บัญชาการ
ความรู้สึกที่อยากจะตะโกนอะไรซักอย่างออกมานั้นได้แบ่งปันกันในหมู่ผู้บัญชาการที่มารวมอยู่ด้วยกันข้างใน
พวกเขาคือผู้บัญชาการที่เป็นหัวหน้าการโจมตีในแต่ละประตูซึ่งทำทุกอย่างด้วยพลังที่พวกเขามีเพื่อบุกเข้าไปในเมืองแต่ว่าก็ยังพ่ายแพ้ไม่เป็นท่า พวกเขาสูญเสียทั้งเวลาและทหารอันล้ำค่าไป
พวกเขาทำได้เยี่ยมในช่วงครึ่งแรกแต่ทั้งหมดก็เลวร้ายไปหมดในช่วงครึ่งต่อมา
ซึ่งทั้งหมดเป็นเพราะคนๆเดียว
“มันเหมือนกับว่าพวกนั้นใช้เวทมนตร์เลย….ทหารฝั่งศัตรูแตกต่างจากพวกที่เราต่อสู้ด้วยเมื่อวานมากเกินไป”
“ข้าไม่เคยได้ยินว่ามีเวทมนตร์ที่สามารถเปลี่ยนทหารมือใหม่เป็นทหารระดับสูงได้นะ…..ข้าพอเข้าใจอยู่ว่าพวกนั้นได้รับความมั่นใจมาจากชัยชนะเมื่อวานและขวัญกำลังใจก็เพิ่มขึ้นแต่ความเปลี่ยนแปลงในวันนี้มันดูน่าเหลือเชื่อเกินไปจริงๆ…..”
“อ่านกระแสลมและเปลี่ยนไฟธรรมดาเป็นลมหายใจมังกร…..ความกลัวได้กระจายในกลุ่มทหารของพวกเราเพราะข่าวลือบ้าๆนี่”
เลทส์กัดริมฝีปากของเขาเมื่อได้ฟังคำพูดของพวกผู้บัญชาการ
แผนเดิมของพวกเขาคือทำการยึดเมืองในทันทีและลุยต่อไปข้างหน้าแต่ในความเป็นจริงนั้น, เขาสูญเสียทหารไปมากมายและพวกเขายังขยับไปไม่ได้ซักก้าว
คนจากบ้านซิมเมลที่เตรียมพลแม่นปืนให้พวกเขาก็เงียบกริบดังนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่จะก่อความวุ่นวายจากภายใน มันแทบจะไม่มีแผนการเหลือให้เลทส์ใช้แล้ว
ถ้าเขาไม่สามารถยึดเกลเลสได้, แผนการของกอร์ดอนก็จะถูกทำลายและตัวเลทส์ก็จะตกอยู่ในอันตราย ต่อให้แม่ทัพของพวกเขาถูกลอบสังหาร, แต่จักรพรรดิไม่อยากให้เกิดสงคราม ในเมื่อเขาเปิดการโจมตีกับพวกทางใต้ไปแล้ว, มันก็จะต้องมีบทลงโทษรอเขาอยู่อย่างแน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้น, โครงสร้างอำนาจในขุมอำนาจของกอร์ดอนจะเปลี่ยนไปด้วย
เลทส์มีหลายเรื่องที่แขวนอยู่บนเส้นด้ายนั่นคือสาเหตุที่เขาต้องทำการตัดสินใจในทันที
“ไปเรียกโซเนียมา…..พวกเราต้องใช้นักกลยุทธ์ของเราจัดการอีกฝ่าย”
“พวกเราจะไว้ใจยัยครึ่งเอลฟ์นั่นได้จริงๆหรอครับ?”
“เธออาจจะต้อนเราจนมุมยิ่งกว่าเดิมก็ได้นะครับ!”
“เรื่องแบบนั้นไม่เกิดขึ้นหรอก ตราบใดที่พวกเรามีตัวประกัน, โซเนียก็ไม่มีทางเลือกนอกจากเชื่อฟังพวกเรา”
“แต่ว่า…..”
“พอ…..ข้าตัดสินใจแล้ว ไปเอาตัวเธอมาให้ข้าก็พอ”
ด้วยการทำตามคำสั่งของเลทส์, ทหารคนนึงก็ออกไปเรียกโซเนีย
หลังจากนั้นซักพัก, โซเนียก็เข้ามาในเต้นท์ด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“เรียกข้าหรอ?”
“ศัตรูของพวกเรามีนักกลยุทธ์ พวกเราต้องการให้เจ้าคิดมาตรการตอบโต้เจ้านักกลยุทธ์นั่น”
“ข้าว่าข้าเคยเสนอไปแล้วไม่ใช่หรอ?”
“พวกเราเสียเวลาใช้ศึกยืดเยื้อไม่ได้!”
ก่อนที่การต่อสู้จะเริ่มขึ้น, โซเนียได้เสนอให้ล้อมเมืองเอาไว้เพื่อทำให้ศัตรูอ่อนแอ
แต่ว่า, เพื่อแผนการของกอร์ดอน, พวกเขาต้องยึดเมืองให้ได้ในเวลาอันสั้นดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้ใช้แผนของเธอ
อย่างไรก็ตาม, สำหรับโซเนียแล้ว, มันเป็นแผนที่ดีกว่า
“พวกเราสูญเสียไปพันคนในวันแรกและอีกพันคนในวันนี้ใช่ไหมคะ? พวกเรามีคนเหลืออยู่แค่แปดพันคนเท่านั้น แค่นี้ข้าก็มองเห็นผลลัพธ์แล้วถ้าพวกเราตัดสินใจโจมตีต่อไปทั้งแบบนี้ แผนการของท่านล้มเหลวไปตั้งแต่ตอนที่พวกเราโจมตีทีเผลอเมื่อวานไม่สำเร็จแล้วค่ะ ตอนนี้ศัตรูของพวกเราร่วมมือกันเป็นปึกแผ่นและป้องกันเมืองด้วยขวัญกำลังใจที่สูงลิ่ว ถ้าเป็นข้าคงไม่โจมตีศัตรูแบบนั้นหรอก”
“พวกเราต้องโจมตีต่อไป! ถ้าเจ้าเรียกตัวเองว่านักกลยุทธ์ก็คิดแผนมาซะ! เจ้าไม่สน”แล้วรึไงว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวประกัน!?”
“…..ไม่ว่าจะพูดยังไง, คำตอบของข้าก็ยังไม่เปลี่ยน ถ้าอยากไปให้ถึงเป้าหมาย, ท่านก็ต้องยึดเกลเลสให้ได้ตั้งแต่วันแรก, ส่วนวิธีที่สองก็คือปิดล้อมเมืองเอาไว้และอย่าให้อีกฝ่ายมีโอกาสรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน พูดตามตรงข้าตั้งใจให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่มาตั้งแต่แรกแล้ว”
เธอเคยแนะนำวิธีไปแล้ว ตอนนี้เธอกำลังบอกว่ามันเป็นความผิดของพวกเขาที่ไม่ยอมทำตาม แต่จะว่าไป, เธอเองก็รู้ดีอยู่แล้วว่าพวกเขาจะไม่มีวันใช้แผนแบบนั้น
อย่างไรก็ตาม, แม้แต่จากมุมมองของโซเนียเอง, การโจมตีทีเผลอของพวกเขานั้นก็มีโอกาสสำเร็จสูงอยู่
ศัตรูของพวกเขาเป็นมือใหม่ ไม่สิ, พวกเขาควรที่จะเป็นอย่างนั้น แต่ทั้งหมดกลับเปลี่ยนไปเพราะนักกลยุทธ์แค่คนเดียว
“พวกเขามีนักกลยุทธ์ที่รวบรวมทหารเอาไว้ภายใต้เจ้านายของพวกเขาได้อย่างชาญฉลาดและคิดหาวิธีขัดขวางการโจมตีของพวกเราได้ ตอนนี้, เกลเลสไม่ใช่เมืองที่พวกเราจะขยี้ได้อย่างง่ายดายอีกต่อไปแล้ว ถ้าพวกเราฝืนโจมตีตอนนี้, พวกเราก็เตรียมรับการตอบโต้จากอีกฝ่ายได้เลย”
“พวกเราไม่มีทางอื่นนอกจากฝืนโจมตีพวกนั้น! แค่คิดแผนดีๆมาให้พวกเราก็พอ!”
เมื่อถูกเลทส์กดดัน, โซเนียก็ถอนหายใจออกมา
พวกเขาจะต้องเสียหายหนักแน่ๆถ้าโจมตีเมืองนี้โดยไม่มีอาวุธปิดล้อม
มันคงจะต่างไปคนละเรื่องถ้าพวกเขามีหน่วยนักเวทย์แต่หน่วยแบบนั้นคงจะไม่ตามมากับทหารในภารกิจสอดแนมหรอก
ไม่ว่าเธอจะคิดยังไง, มันก็ไม่มีวิธีที่จะยึดเมืองได้ในทันทีอย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตาม, ถ้าเธอไม่คิดมาตรการตอบโต้ออกมา, เธอก็ไม่รู้ว่าจะมีชะตากรรมแบบไหนที่รอตัวประกันอยู่
นอกจากนี้, ถ้าเกลเลสล่มสลาย, มันก็จะผลักดันให้ทางใต้กับจักรวรรดิเข้าสู่ช่วงสงครามเต็มตัว
โซเนียครุ่นคิดอยู่พักนึงแล้วถามคำถามขึ้นมา
“พวกเรามีเวลาเหลืออยู่มากแค่ไหน?”
“น่าจะประมาณสองวัน หลังจากนั้น, หน่วยผู้ส่งสารคงจะไปถึงดินแดนของดยุคครูเกอร์แล้ว”
ต่อให้พวกเขาสามารถยึดเกลเลสได้, มันก็คงจะไม่มีสงครามอยู่ดีถ้าหัวหน้าของศัตรูถูกจับกุมแล้ว
สิ่งที่กองทัพจักรวรรดิต้องต่อสู้ด้วยนั้นไม่ใช่เกลเลสแต่เป็นเวลา
ด้วยเหตุนี้เองโซเนียจึงเสนอวิธีนึงให้กับพวกเขา
“ถ้างั้นก็พักการรุกไปวันนึงแล้วสร้างอาวุธปิดล้อมขึ้นมา”
“ข้าก็บอกไปแล้วไม่ใช่รึไงว่าพวกเราไม่มีเวลา!? นี่เจ้าวางแผนจะยื้อพวกเราเอาไว้หรอ!? รู้ไหมว่าอย่างเร็วที่สุดคณะผู้ส่งสารก็อาจจะไปถึงในวันพรุ่งนี้แล้ว!?”
“นี่คือความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว พวกเราไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากพนันกับมัน ถ้าพวกเราพอมีเวลาอยู่ประมาณสองวันก็ควรใช้มันซะ ข้าขอถามท่านกลับนะ, นี่ท่านยังดูถูกศัตรูอยู่อีกหรอ?”
เลทส์เงียบกริบ
โค่นต้นไม้และทำอาวุธปิดล้อม ด้วยสิ่งนี้, เธอก็จะซื้อเวลาได้มากขึ้นและมอบความเป็นไปได้ในการยึดเกลเลสให้กับพวกเขา
ความผิดพลาดเดียวในวิธีนี้ก็คือว่ากองทัพจักรวรรดิอาจจะยึดเกลเลสได้จริงๆแต่โซเนียตัดสินใจที่จะเชื่อนักกลยุทธ์ของเกลเลส
โดยปกติแล้ว, ถ้าศัตรูหยุดโจมตีไปวันนึงอย่างกระทันหัน, ก็คงจะเผลอลดการป้องกันลงแต่ว่านักกลยุทธ์มีฝีมือที่อ่านกระแสของสถานการณ์เป็นอย่างเกราว์นั้น, คงไม่ทำเรื่องผิดพลาดแบบนั้น เขาต้องคิดแผนที่ต่อกรกับการเคลื่อนไหวของจักรวรรดิเอาไว้แล้วแน่ๆ
จากสถานการณ์ที่เกลเลสสร้างมาจนถึงตอนนี้, พวกเขาต้องมีแผนที่จะยื้อต่อไปอีกสองสามวันแน่ๆ
โซเนียอ่านความคิดของเกราว์แล้วเสนอแผนที่มีโอกาสสำเร็จครึ่งต่อครึ่ง
ไม่ว่าฝ่ายไหนก็มีโอกาสชนะพอๆกัน
นี่คือขีดจำกัดที่โซเนียสามารถทำได้, และมันก็เป็นแผนที่คุ้มค่าที่จะลองสำหรับกองทัพจักรวรรดิ
“เอาหล่ะ…..เริ่มกันเลย สั่งให้พวกทหารสร้างอาวุธปิดล้อมในทันที!”
เลทส์ออกคำสั่ง
เมื่อเห็นเขาตัดสินใจเช่นนี้, โซเนียก็เริ่มเดินออกจากเต้นท์ไปอย่างช้าๆ
จุดหมายของเธอก็คือหน้าผาที่กูลเวอร์ถูกลอบสังหาร
เธอปีนขึ้นไปบนหน้าผาแล้วมองสภาพของเกลเลส
เธอไม่รู้เหตุผลที่แน่นอนแต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะครึกครื้นกันดี มันคือลักษณะของศัตรูที่แข็งแกร่ง
ถ้าเธอมีเวลาเธอก็คงจะสามารถคิดหาวิธีจัดการกับพวกเขาได้แต่เวลาคือสิ่งที่เธอไม่มี
ในขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น, เธอก็ตระหนักได้ ก่อนที่เธอจะรู้ตัว, เธอก็พยายามคิดวิธีจัดการกับนักกลยุทธ์ของศัตรูแล้ว
“เจ้าเป็นคนแบบไหนกันนะ, เกราว์? อ่อนโยน, หรือว่าโหดเหี้ยม”
โซเนียมองไปทางเกลเลส, แล้วถามคำถามที่ไม่น่าจะมีใครได้ยิน
จากนั้น, ชายคนนึงก็ปีนขึ้นมาบนกำแพงของเกลเลส
เขาปกปิดร่างกายเอาไว้ตั้งแต่ศรีษะจรดเท้าด้วยเสื้อคลุมสีเทา
เขามองไปทางโซเนีย
จากนั้นเขาก็โค้งทักทายเธอ
ในขณะที่เธอกำลังตกตะลึงกับการกระทำของเขา, เขาก็เพิ่มเสียงขึ้นมา
“เจ้ามีเวลาว่างขนาดมาเยี่ยมศัตรูเลยหรอเนี่ย! คุณนักกลยุทธ์สาว! ข้าได้ยินข่าวลือมาว่ามีครึ่งเอลฟ์ที่ชิงไหวชิงพริบมาใด้ในศึกสงครามผู้สืบทอดที่เมืองหลวง! ข้าคาดหวังอยู่นะว่าเจ้าจะทำยังไงกับสถานการณ์นี้!”
“…..รู้แม้กระทั่งเรื่องพวกนี้เลยหรอ, ข้อมูลเจ้าแน่นใช้ได้เลยนะเนี่ย!”
“อา, ข้ารู้อะไรเยอะเลยหล่ะ! คนของเจ้าถูกจับเป็นตัวประกันใช่ไหมหล่ะ? สิ่งที่เจ้าเผชิญอยู่มันก็ดูหนักเอาเรื่องเลยนี่! ข้ารู้สึกสงสารนะที่เจ้าไม่สามารถเลือกเจ้านายของตัวเองได้!”
“!?”
โซเนียเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ
เมื่อเห็นโซเนียในสภาพนี้, เกราว์ก็หัวเราะออกมาเบาๆ จากนั้นเขาก็ปรับท่าทางของเขาแล้วพูดออกมาอีกครั้ง
“เคลื่อนไหวโดยคิดแค่เรื่องตัวประกันของเจ้าซะ! ต่อให้เจ้าใส่เต็มข้าก็ไม่สนใจหรอก! เพราะข้าจะเป็นคนที่ทำให้ความพยายามของเจ้าสูญเปล่าเอง!
“….ถ้างั้นข้าจะขอรับข้อเสนอของเจ้าก็แล้วกัน”
พอได้ฟังเกราว์พูดเช่นนี้, โซเนียก็มองไปข้างหน้า
นี่มันยั่วยุกันชัดๆ
อย่าใช้ตัวประกันเป็นข้ออ้างแล้วลุยเข้ามาด้วยทุกอย่างที่มีซะ ถึงยังไงข้าก็ชนะอยู่ดี
ในเมื่อพูดมาขนาดนี้ฉันก็จะเอาจริงด้วย
ด้วยความคิดเช่นนี้, โซเนียก็กลับไปที่เต้นท์บัญชาการแล้วไล่ทหารที่วาดแผนสำหรับอาวุธปิดล้อมออกไป
“ส่งมา เดี๋ยวข้าจัดการเอง”
ถ้าเขาลงทุนมายั่วยุเธอถึงขนาดนี้ก็แสดงว่าเขาต้องเตรียมการเอาไว้ดีแล้วแน่ๆ
เธอไม่สามารถต่อกรกับเขาด้วยอาวุธปิดล้อมครึ่งๆกลางๆได้
โซเนียจะเขียนแผนอาวุธปิดล้อมขึ้นมาอย่างเต็มที่ตามที่เกราว์แนะนำเพื่อที่กอร์ดอนจะได้ไม่มาพูดทีหลังว่าเธอไม่ค่อยให้ความร่วมมือ