การต่อสู้ชิงบัลลังก์ในเงามืดของเจ้าชายไร้ค่าสุดแกร่ง (Saikyou Degarashi Ouji no An’ yaku Teii Arasoi ) - ตอนที่ 120
“ถึงอัศวินทุกคนในปราสาท, ข้าฟีเน่ ฟ็อน ไคลเนลต์, ผู้ส่งสารของจักรพรรดิค่ะ”
ฟีเน่เรียกทุกคนจากประตูหลักของปราสาท
มีเครื่องขยายเสียงวางอยู่ข้างเธอ แต่เดิมแล้วมันมีไว้เพื่อให้ผู้คนในปราสาทป่าวประกาศกับคนในเมืองแต่พวกเขายึดมันมาแล้วใช้มันโดยหันเข้าหาปราสาท
“พวกเราได้ช่วยเจ้านายของพวกท่านที่ถูกจับเป็นตัวประกันสำเร็จแล้ว ตอนนี้พวกเรากำลังจะเริ่มค้นหาตัวประกันที่เหลือเพราะฉะนั้นได้โปรด, ช่วยวางอาวุธลงเถอะค่ะ! มันไม่มีเหตุผลให้ทุกคนต้องต่อสู้กับพวกเราอีกต่อไปแล้ว
ไม่มีการตอบสนองต่อเสียงเรียกของฟีเน่
แต่ว่า, ฟีเน่ก็ยังคงเรียกพวกเขาต่อไป
“ข้ารู้ว่าพวกท่านถูกบังคับให้ต่อสู้กับพวกเราเพราะเจ้านายถูกจับตัวไป แต่ด้วยอำนาจของฝ่าบาทที่ประทานมาให้ข้า, พวกท่านจะได้รับการละเว้นโทษค่ะ ได้โปรดเถอะ, ช่วยฟังเสียงของข้า มันไม่มีความจำเป็นที่พวกท่านจะต้องต่อสู้ในศึกที่ขัดกับความภาคภูมิใจของทุกคนแบบนี้อีกแล้ว ข้ามั่นใจว่าคนที่พวกท่านอยากปกป้องไม่ใช่ดยุคครูเกอร์อย่างแน่นอน!”
การประกาศออกไปเช่นนี้ด้วยเสียงที่ดังอย่างทั่วถึงนั้นเป็นการเปิดเผยตำแหน่งของพวกเขาอย่างเห็นได้ชัด
อัศวินได้มารวมตัวกันที่ตำแหน่งของฟีเน่
ชุดเกราะของพวกเขาล้วนมีตราสัญลักษณ์ของดยุคครูเกอร์
ลินเฟียกับนาร์เบ ริทเทอร์ได้จับดาบรอเอาไว้แล้วแต่ฟีเน่ก็บอกให้พวกเขาเก็บอาวุธ
“ถ้าพวกท่านคิดจะสู้ต่อข้าก็จะไม่ห้ามค่ะ…..แต่พวกท่านต้องเข้ามาพร้อมกับความแน่วแน่ ถ้าพวกท่านคิดจะก้าวเข้ามาก็โปรดพิจารณาให้ดีเพราะนั่นหมายถึงการหันคมดาบใส่ผู้ส่งสารของจักรพรรดิ คนที่สมควรจะต่อสู้กับอัศวินของข้านั้นมีแค่คนที่ความยุติธรรมไม่ได้ถูกบดบังด้วยความสงสัยเท่านั้นค่ะ”
พอถูกถามถึงความแน่วแน่และความยุติธรรม, พวกอัศวินก็หยุดลงอย่างกระทันหัน
พวกเขาไม่ได้เลวร้ายกันทุกคน พวกเขาส่วนใหญ่แค่รับใช้ดยุคครูเกอร์ในฐานะอัศวิน
ที่พวกเขาต่อสู้ก็แค่เพราะได้รับคำสั่งมามันไม่ได้มาจากความตั้งใจของพวกเขาเอง ถึงยังไง, ถ้าพวกเขาเริ่มคิดเรื่องแบบนั้น, พวกเขาก็จะถูกลงโทษ
อย่างไรก็ตาม, ในตอนที่พวกเขาถูกบอกให้เผชิญหน้ากับความคิดเกี่ยวกับการกระทำของพวกเขา, พวกเขาก็อดพิจารณาถึงมันไม่ได้
ในขณะนั้นเอง, ก็มีอัศวินเข้ามาในเหตุการณ์มากขึ้นเรื่อยๆ
“เอิร์ลทาร์นาท! นายท่าน!!”
“โอ้! พวกเจ้า!”
กลุ่มอัศวินที่วิ่งเข้ามานั้นเป็นอัศวินของพวกที่ถูกจับเป็นตัวประกัน
ในตอนที่พวกเขายืนยันความปลอดภัยของเจ้านายตัวเองได้แล้ว, พวกเขาก็ร้องห่มร้องไห้และคุกเข่าลง ณ ตรงนั้นเลย
เมื่อเห็นพวกเขาขอโทษเจ้านายของตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า, ความสงสัยก็เริ่มพลั่งพลูในใจอัศวินของดยุคครูเกอร์
“ตอนนี้พวกเราน่าจะสามารถโน้มน้าวพวกเขาได้แล้วค่ะ ท่านฟีเน่”
“เข้าใจแล้วค่ะ”
ในตอนที่ลินเฟียกระซิบแบบนั้นกับฟีเน่, ฟีเน่ก็เริ่มโน้มน้าวพวกอัศวิน
“ทุกคนแค่ต่อสู้ตามคำสั่งของเจ้านาย พวกท่านจะไม่ต้องแบกรับความผิดใดๆถ้าวางอาวุธลงและให้ความร่วมมือกับพวกเราซะตั้งแต่ตอนนี้ แต่ว่า, ถ้ายังอยากหันดาบใส่พวกเราความผิดนั้นจะสืบเนื่องไปถึงครอบครัวของพวกท่านด้วย เพราะถึงยังไง, ถ้าพวกท่านเลือกที่จะสู้กับพวกเราต่อมันก็เหมือนกับหันดาบใส่จักรวรรดิค่ะ”
ลินเฟียประหลาดใจกับน้ำเสียงของฟีเน่ซึ่งดูดุดันกว่าที่เธอคิดว่าฟีเน่จะทำได้
การใช้คำขู่แฝงเข้าไปในการเชื้อเชิญนั้นดูไม่ค่อยสมกับเป็นฟีเน่เลย
จากนั้น, ลินเฟียก็นึกถึงคำพูดของเซบาสขึ้นมา
เขาบอกว่าเธอคล้ายกับท่านอาร์โนลด์ เมื่อนึกขึ้นได้เช่นนั้น, ลินเฟียก็ยิ้มออกมา
“อย่างนี้เองสินะ เธออาจจะคล้ายกับเขาจริงๆก็ได้”
เจ้าชายคนนั้นคงจะใช้การข่มขู่โดยไม่กระพริบตาด้วยซ้ำ
ถึงยังไง, มันก็เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในสถานการณ์นี้
พวกเขาไม่ได้ต่อสู้ต่อเพราะพวกเขาชื่นชอบ พวกเขาแค่ทำตามดยุคครูเกอร์เพื่อปกป้องตัวเองและครอบครัวที่สำคัญของพวกเขา
อย่างไรก็ตาม, ดยุคครูเกอร์สูญเสียการควบคุมพวกเขาแล้ว
และถึงยังไงคนแบบนี้ก็มีแนวโน้มที่จะเข้าหาฝั่งที่แข็งแกร่งกว่า
“พ, พวกเราจะไม่ได้รับโทษจริงๆหรอครับ!?”
“ค่ะ, ตามที่บอกไป ไม่ว่าจะทำเรื่องที่โหดร้ายแค่ไหน, ก็จะไม่ได้รับโทษใดๆทั้งนั้น แต่ว่า, มันอยู่แค่ในขอบเขตที่ทำไปภายใต้คำสั่งของดยุคครูเกอร์เท่านั้นนะคะ”
อัศวินรู้สึกหวั่นวิตกกับคำพูดของฟีเน่
พวกอัศวินรู้ดีว่าสิ่งที่ดยุคครูเกอร์ทำนั้นชั่วร้าย แน่นอนว่า, พวกเขาเองก็เข้าใจว่าตัวเองได้สอดมือเข้าไปยุ่งกับเรื่องพวกนั้นแล้ว
ฟีเน่ตระหนักถึงมันได้ แต่, เหตุผลที่เธอบอกว่าอัศวินจะไม่ได้รับโทษใดๆก็เพราะนิสัยของดยุคครูเกอร์ ถ้าประเมินจากนิสัยของเขา, เธอคิดว่าเขาคงไม่มีวันฝากงานสำคัญๆให้กับอัศวินระดับล่างหรอก
จากนั้น, อัศวินของดยุคครูเกอร์ก็เงียบไปพักนึงในขณะที่เริ่มคุกเข่า
“—พวกเราขอติดตามผู้ส่งสารของฝ่าบาทครับ”
“ขอบคุณค่ะที่แสดงความกล้าออกมา ตอนนี้, ช่วยบอกหน่อยได้ไหมคะว่าตัวประกันที่เหลือถูกจับเอาไว้ที่ไหน?”
“คือว่า……”
อัศวินมองหน้ากันเอง
มันไม่ใช่ว่าพวกเขาลังเลที่จะให้ข้อมูล
มันเป็นเพราะพวกเขาไม่รู้
“พวกเรารู้แค่ว่าพวกเขาถูกจับตัวไปที่ชั้นใต้ดินของปราสาทครับ เนื่องจากอัศวินอย่างพวกเราไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปใกล้, พวกเราก็เลยไม่รู้ตำแหน่งที่แน่นอนของพวกเขา……”
“ชั้นใต้ดิน…..”
พอได้ฟังแบบนั้น, ความไม่สบายใจก็ก่อตัวขึ้นมาในใจของลินเฟีย
เด็กๆที่ถูกลักพาตัวไปก็ถูกขังอยู่ที่ชั้นใต้ดินของปราสาทบัสเซาเหมือนกัน ยิ่งไปกว่านั้น, มันเห็นได้ชัดว่าดยุคครูเกอร์กำลังทำการทดลองอะไรบางอย่างกับพวกเขา
เมื่อรู้แบบนี้, สีหน้าของลินเฟียก็บูดบึ้งด้วยความรู้สึกแย่ๆ
ถึงยังไง, นี่ก็คือสูญบัญชาการของตัวบงการที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นั้น
“ท่านฟีเน่คะ มันยากสำหรับข้าที่ต้องพูดแบบนี้แต่ข้าคิดว่าชะลอการสืบสวนชั้นใต้ดินไปก่อนจะดีกว่าค่ะ”
“ทำไมหรอคะ?”
“ถ้าคนที่คุ้มกันที่นั่นมีแค่อัศวินพวกเราก็สามารถคุ้มกันท่านได้ค่ะแต่อย่างเลวร้ายที่สุด, มันอาจจะมีปีศาจปรากฎตัวขึ้นด้วย และถ้าเป็นแบบนั้น, พวกเราก็คงมีพลังไม่พอที่จะสู้กับมัน ข้าคิดว่าพวกเรารอจนกว่าจะสามารถควบคุมปราสาทหลังนี้ได้อย่างสมบูรณ์จะดีกว่าค่ะ”
“…..คิดว่านี่อาจจะเหมือนกับเหตุการณ์ที่บัสเซาหรอคะ?”
“จะบอกว่าไม่มีความเป็นไปได้นั้นอยู่ก็คงจะพูดไม่ได้หรอกค่ะ อย่างเลวร้ายที่สุด, ปราสาททั้งหลังนี้อาจจะหายไปเลยก็ได้ พวกเราควรรอจนกว่ากลุ่มข้างบนจะจัดการงานของพวกเขาเสร็จก่อน”
“ข้าเองก็เห็นด้วยครับ พวกเราควรเตรียมรับมือเผื่อในกรณีที่มีบางอย่างออกมาจากชั้นใต้ดินด้วย ถ้าไม่มีใครคอยกันตรงนั้นมันก็มีความเป็นไปได้ว่าท่านลีโอนาร์ดอาจจะถอนตัวออกมาไม่ได้”
เซบาสให้คำแนะนำจากมุมมองเชิงกลยุทธ์
ฟีเน่รู้สึกสับสนเล็กน้อย เธอลากทั้งกลุ่มมาเผชิญอันตรายเพราะความเห็นแก่ตัวของตัวเองแล้วดังนั้นเธอจึงไม่สามารถดึงดันทำเรื่องที่อันตรายยิ่งกว่าเดิมได้ในเมื่อสองคนนี้ให้คำแนะนำในเชิงไม่เห็นด้วย
“เข้าใจแล้วค่ะ ถ้างั้นข้าจะโน้มน้าวอัศวินที่อยู่ที่นี่ต่อ”
ฟีเน่, ที่ประกาศแนวทางการเคลื่อนไหวของพวกเขา, ได้กล่าวสุนทรพจน์กับพวกอัศวินในปราสาทอีกครั้ง
ด้วยความหวังที่ว่าเธอจะสามารถจบการต่อสู้นี้ได้แม้ว่ามันจะเร็วขึ้นแค่เพียงวินาทีเดียวก็ตาม
….
“เร็วเข้า!”
ครูเกอร์ที่หนีไปถึงชั้นบนสุดของปราสาทหยุดวิ่ง
สิ่งที่ครูเกอร์ต้องการก็คือยาที่พัฒนาขึ้นมาใหม่ซึ่งเขากับซานดร้าได้ร่วมกันวิจัยขึ้นมา
เขาวิ่งไปหานักวิจัยเฒ่าคนนึงเพื่อเอายานั้นมาใช้กับตัวเอง
“ช่วยรออีกหน่อยเถอะครับ!”
การฟอกยาตัวนี้ต้องใช้เวลา ยิ่งไปกว่านั้น, ครูเกอร์ไม่เคยคิดว่าจะเอามาใช้กับตัวด้วย
ในการสร้างยาตัวนี้ขึ้นมา, พวกเขาได้ประสบกับความล้มเหลวอยู่หลายครั้ง
ยาตัวนี้ไม่สามารถพูดได้ว่าใช้งานได้อย่างปลอดภัย แต่ครูเกอร์ก็เลือกที่จะใช้มันเพื่อความอยู่รอด
อย่างไรก็ตาม, มีกลุ่มคนที่ขัดขวางครูเกอร์อยู่
“ย้ากกก!!!!”
ด้วยการทำลายประตูที่ล็อคเอาไว้, ลีโอก็กลิ้งเข้ามาในห้อง
อัศวินได้ชี้ดาบมาหาลีโอแต่ลีโอก็ฟันพวกเขาทิ้งโดยไม่ให้โอกาสต่อต้านเลย
“องค์ชาย! มันอันตรายนะครับ!”
ลาสแนะนำลีโอที่ถลำมาข้างหน้าด้วยตัวเองแต่ลีโอก็ไม่ได้สนใจเขา
ซึ่งนี่เป็นเพราะสัญชาตญาณของลีโอกำลังบอกเขาอยู่
มันจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นถ้าครูเกอร์ได้ยาตัวนั้นไป ทุกอย่างที่ทำมาจะสูญเปล่าถ้าเขาดื่มมัน
ด้วยการเชื่อฟังสัญชาตญาณของตัวเอง, ลีโอก็ถลำลึกเข้าไปอีก
เขาพุ่งเข้าไปในกลุ่มอัศวินและไล่ฟันพวกเขาทุกคนโดยตัวคนเดียว
“สุดยอด…..”
ทหารคนนึงของนาร์เบ ริทเทอร์พึมพำในขณะที่เขาต่อสู้กับอัศวินคนอื่นข้างนอกห้อง
แม้กระทั่งจากมุมมองของหน่วยระดับสูงอย่างนาร์เบ ริทเทอร์, ทักษะของลีโอก็ยังถือว่าโดดเด่นจริงๆ
เขามุ่งหน้าเข้าไปหาศัตรูด้วยตัวเองและจัดการพวกเขาทุกคนด้วยตัวคนเดียว
นี่เขาฝีมือพอๆกับเจ้าหญิงจอมพลที่เลื่องลือคนนั้นเลยรึเปล่านะ!?
ด้วยความประทับใจเช่นนี้, นาร์เบ ริทเทอร์ก็วิ่งเข้ามาในห้องและต่อสู้กับอัศวินที่พยายามจะเข้าไปหาลีโอ
ในอีกด้านนึง, ลีโอจับจ้องไปที่ดยุคครูเกอร์เพียงคนเดียว
เขาหลบคมดาบทั้งหมดที่เข้ามาหาเขาจากทุกทิศทางด้วยการปัดป้อง จนถึงตอนนี้, ลีโอยังไม่ได้ทำการเคลื่อนไหวที่เสี่ยงกับชีวิตเลย เขาจะมองหาวิธีการที่ปลอดภัยในการเอาชนะและจะไม่ยอมฝากทุกอย่างเอาไว้กับสัญชาตญาณของเขา
อย่างไรก็ตาม, ครั้งนี้ลีโอได้ฝากทุกอย่างเอาไว้กับมัน แน่นอนว่า, เขาไม่ได้ละทิ้งการใช้สมองไปเหมือนกัน
เขาไม่ได้ใช้ความคิดอย่างสมบูรณ์, เขาแค่ทำนายการเคลื่อนไหวต่อไปของอีกฝ่ายอย่างเยือกเย็นและปล่อยให้ร่างกายปัดป้องอันตรายไปเองในขณะที่ไล่ฟันอัศวินฝั่งศัตรู
เขาเคลื่อนไหวร่างกายอย่างเหมาะสมด้วยการตัดสินใจที่ดีที่สุดเท่าที่สมองของเขาจะคิดได้
มันคือรูปแบบการต่อสู้ในสถานการณ์ที่เขาต้องสู้กับศัตรูหลายคน มันคือวิธีที่ลีเซใช้ในการต่อสู้ของเธอและลีโอก็เรียนรู้มันมาตอนเหตุการณ์ทางใต้
วิธีการต่อสู้โดยให้ความสำคัญกับการบุกทะลวงศัตรูให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ของเขานั้นอยู่เหนือการคาดการณ์ของครูเกอร์
แม้ว่าเขาจะเคยได้ยินว่าลีโอเก่งศิลปะการต่อสู้, แต่เขาคิดว่าลีโอเป็นแค่นักดาบฝีมือดีคนนึง นี่เป็นข้อมูลเท่าที่ครูเกอร์จะหามาได้ อย่างไรก็ตาม, ลีโอในตอนนี้มีบรรยากาศเหมือนกับว่าเขาสามารถรับมือกับคนเป็นพันได้ด้วยซ้ำ
เมื่อพิจารณาได้ว่ายาคงเสร็จไม่ทันเวลา, เขาจึงหยิบยาตัวใหม่ที่อยู่ในระหว่างการฟอกขึ้นมา
“มันยังไม่เสร็จสมบูรณ์เลยนะครับ!”
“ข้าไม่สน!”
การกลายเป็นมอนส์เตอร์ที่นี่ก็ยังดีกว่าการถูกจับกุม
การกระทำของเขามาจากแนวคิดเช่นนี้
มันเกือบจะเรียกได้ว่าการพนัน มันถือเป็นการตัดสินใจที่ค่อนข้างกล้าหาญในส่วนของครูเกอร์
อย่างไรก็ตาม, ลีโอที่เห็นแบบนั้นก็ทำตามสัญชาตญาณและเลือกที่จะเสี่ยงเดิมพันด้วยตัวเองเหมือนกัน เขาละทิ้งการป้องกันตัวเองเหมือนกับที่ครูเกอร์ละทิ้งความปลอดภัยของเขา
กว่าจะมาถึงตรงนี้ได้เขาถูกช่วยไปหลายครั้งแล้ว ผู้คนมากมายได้เสนอความช่วยเหลือให้เขา ถ้าทั้งหมดมันสูญเปล่าที่นี่เขาก็ไม่มีสิทธิที่จะแบกหน้าไปหาผู้คนที่กำลังรอเขาอยู่ที่เมืองหลวง
ด้วยความมุ่งมั่นนี้เอง, ลีโอก็กำดาบแน่นแล้วยกมันขึ้นในขณะที่ถูกห้อมล้อมด้วยอัศวินฝั่งศัตรู
“ไม่ยอมปล่อยให้แกได้ทำตามที่ต้องการหรอก!!!!”
ในตอนที่ตะโกน, เขาก็โยนดาบใส่ครูเกอร์
ดาบนั้นพุ่งตรงไปหาครูเกอร์แล้วตัดแขนข้างที่เขาถือยาอยู่
“อ้ากกกก!!!”
ครูเกอร์ส่งเสียงร้องออกมาแต่นี่ไม่ได้หมายความว่าลีโอพ้นอันตรายแล้ว
รอบตัวเขาคืออัศวินที่แต่งตัวมาเต็มยศ, ส่วนลีโอนั้นไม่มีอาวุธติดตัวอยู่เลย
เขาสามารถหลบดาบที่กำลังเข้ามาได้แต่เขาคงไม่สามารถยื้อเอาไว้ได้ตลอดโดยที่ไม่ปัดป้องพวกมันเลย
ในขณะนั้นเอง, ดาบเล่มนึงก็ตรงมาที่อกของลีโอ
จบสิ้นแล้วสินะ, ลีโอคิด
อย่างไรก็ตาม, ดาบนั้นไม่ได้มาถึงตัวลีโอ
“ค่อยยังชั่ว, ท่านนี่เป็นตัวปัญหาจริงๆนะครับ”
ลาสเป็นคนที่ปัดดาบนั้นแล้วพูดกับลีโอ
“ขอบคุณครับ…..ท่านพันเอก”
“ไม่หรอกครับ, หน้าที่ของพวกเราคือการคุ้มกันท่านอยู่แล้ว”
ลาสยิ้มในขณะที่พูด จากนั้น, เขาก็มองไปทางครูเกอร์ที่ยังร้องโอดโอยอยู่
“จับตัวเขา อย่าลืมทำแผลให้ด้วยหล่ะ”
“ครับท่าน!”
“ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณท่านเลยนะครับ, องค์ชาย นี่มันยอดเยี่ยมมาก”
“ร่างกายข้าขยับไปเองหน่ะ, มันก็แค่นั้นแหล่ะ”
ลีโอพูดอย่างถ่อมตัว
อย่างไรก็ตาม, สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ
ชายที่พูดได้ว่าเป็นตัวการของเรื่องนี้ได้ถูกจับตัวแล้วและเขาก็สามารถหยุดไม่ให้อีกฝ่ายใช้ฟางเส้นสุดท้ายได้อีก
“นี่, เจ้า ไอ้นี่มันยาอะไร?”
“เหวอ!? ด, ได้โปรดเถอะ…..”
“ช่างเถอะหน่า, แค่ตอบคำถามมาก็พอ!”
“น, นี่คือยาแวมไพร์! พวกเรานำเลือดแวมไพร์มาสร้างยาที่สามารถเปลี่ยนมนุษย์ให้เป็นแวมไพร์ได้!”
เมื่อได้ฟังดังนั้น, ลีโอก็ขมวดคิ้ว
ในเมื่อมีคำว่าแวมไพร์เข้ามา, เขาจึงอดคิดว่ามันมีส่วนเกี่ยวข้องกับวิกฤตการณ์มอนส์เตอร์ทางตะวันออกไม่ได้
“พวกเจ้าอยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ทางตะวันออกด้วยหรอ”
“อุ๊….ฟ, ฮ่าฮ่าฮ่า…..ข้าแค่ใช้เลือดพวกมันเฉยๆ…..อย่ามากล่าวหาสุ่มสี่สุ่มห้าแบบนี้สิ……”
“แสดงว่าถ้าพวกเราสืบย้อนดูว่าเจ้าได้เลือดนี่มาจากไหน, พวกเราก็จะเจอคนร้ายตัวจริงสินะ”
“ข้าก็อยากรู้เหมือนกันว่าท่านจะมีเวลาพอที่จะทำแบบนั้นรึเปล่า……?”
“หมายความว่าไง…..?”
“ในระหว่างที่พวกเราพัฒนายาตัวนี้, พวกเราก็ได้สร้างยาประหลาดขึ้นมาตัวนึงด้วย…..ข้าคิดว่าท่านน่าจะได้เห็นผลของมันในเร็วๆนี้แหล่ะ……”
ในตอนที่ครูเกอร์พูดแบบนั้น
เสียงกรีดร้องมากมายก็ดังมาจากชั้นล่างของปราสาท
การต่อสู้ทางใต้ยังไม่จบ