การต่อสู้ชิงบัลลังก์ในเงามืดของเจ้าชายไร้ค่าสุดแกร่ง (Saikyou Degarashi Ouji no An’ yaku Teii Arasoi ) - ตอนที่ 3
Ch.3 – ตอนที่ 3 : นักผจญภัยแรงค์ SS
Translator : Hou-Ren / Author
ตอนที่ 3 : นักผจญภัยแรงค์ SS
“สถานการณ์เลวร้ายชะมัด ให้ตายเถอะ”
ด้วยการสวมรูปลักษณ์ของซิลเวอร์, เขากับเซบาสก็มองเข้าไปในรังมอนส์เตอร์ที่เป็นปัญหาจากระยะไกลๆ
แรงค์ของมอนส์เตอร์ที่มาเพ่นพ่านอยู่ในดินแดนของดยุคไคลเนลต์นั้นอยู่ที่คลาส AA
มันคือคลาสที่สูงที่สุดเป็นลำดับสี่จากระบบคลาสมอนส์เตอร์ที่มีตั้งแต่ F ถึง SS พวกมันคือมอนส์เตอร์ที่ต้องใช้ปาร์ตี้นักผจยภัยแรงค์ A ห้าคนขึ้นไปในการจัดการ ซึ่งพวกเขาเหล่านี้ก็มีอยู่ไม่ค่อยมากนักสำหรับกิลด์นักผจญภัยในอาณาจักร
อันที่จริง, ดยุคไคลเนลต์ได้ส่งคำขอไปยังกิลด์แล้ว และพวกเขาก็ส่งปาร์ตี้นักผจญภัยที่ประกอบไปด้วยแรงค์ B สี่คนและแรงค์ A สองคนมาที่นี่ อย่างไรก็ตาม, พวกเขายังไม่สามารถทำภารกิจนี้ให้สำเร็จได้
“ในเมื่อพวกเขาต้องจัดการกับมาเธอร์สไลม์ก็คงช่วยไม่ได้หล่ะนะ เห้อ”
ที่ภูเขาห่างออกไปไม่ไกลจากเมืองหลวงของดยุคซักเท่าไหร่
มีสไลม์จำนวนนับไม่ถ้วนอยู่ที่นั่น ถ้าสไลม์มีอยู่แค่ไม่กี่ตัวมันก็เป็นแค่มอนส์เตอร์ขยะแต่นี่มันมีจำนวนมากเกินไป ไอ้พวกนี้พลุกพล่านอยู่ตรงนั้นตรงนี้เต็มไปหมดและไล่กินพืชผลในดินแดนดังนั้นดยุคก็เลยต้องส่งอัศวินไปไล่พวกมันออกไป
ถ้าถามเหตุผลว่าทำไมสไลม์ถึงมารวมกันเยอะขนาดนี้หล่ะก็, คำตอบก็คงจะเป็นเพราะการมีตัวตนอยู่ของมอนส์เตอร์หายากที่มีชื่อว่ามาเธอร์สไลม์กำลังซุ่มซ่อนอยู่ในภูเขาแห่งนี้
ตามชื่อของมัน, มาเธอร์สไลม์ก็คือแม่ของสไลม์พวกนี้, มันคือมอนส์เตอร์ที่มีความสามารถในการผลิตลูก มันดูดกลืนทุกอย่าง, และเปลี่ยนให้เป็นสารอาหารเพื่อที่จะผลิตสไลม์เพิ่มขึ้นมาอีก มันคือมอนส์เตอร์ตัวปัญหาที่สามารถทำลายประเทศๆหนึ่งได้เลย
ซึ่งมาตรการรับมือกับมันนั้นก็คือการหารังของมาเธอร์สไลม์ให้เจอก่อนที่มันจะเริ่มขยายพันธุ์และกำจัดมันซะ อย่างไรก็ตาม, ในตอนที่ดยุคส่งคำขอไปยังกิลด์นักผจญภัย, มันก็สายเกินไปซะแล้ว
จากรายงานที่ดูมา, จำนวนของสไลม์ที่มาเธอร์สไลม์ผลิตออกมานั้นมันไปถึงระดับจำนวนของกองทัพแล้ว
“สำหรับตอนนี้พวกเราคงต้องกำจัดมาเธอร์สไลม์ให้ได้ก่อนหล่ะนะไม่อย่างนั้นไอ้เจ้าพวกนี้คงไม่มีวันหมดแน่”
“ก็คงเป็นไปตามที่ท่านว่า แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะครับ, แล้วท่านจะอธิบายกับพวกนักผจญภัยที่รับภารกิจนี้มาแล้วยังไงดีหล่ะ?”
“นั่นแหล่ะที่เป็นปัญหา”
โดยพื้นฐานแล้วพวกนักผจญภัยนั้นไม่ได้มีกฎอะไรนัก
ไม่เหมือนกับสังคมขุนนาง, มันไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปยอมจำนนต่อผู้อื่นถึงแม้ว่าอีกฝ่ายจะอยู่ในจุดที่สูงกว่าก็ตาม พวกเขานั้นมีสิทธิในภารกิจที่ได้รับมาอย่างเต็มที่สำหรับตัวพวกเขาเองในการปกป้องความไว้ใจที่พวกเขาได้รับการฝากฝังเอาไว้
พวกนักผจญภัยจะไม่ยกโทษให้แน่นอนต่อให้คนที่ไปแทรกแซงภารกิจของพวกเขาจะเป็นนักผจญภัยแรงค์ SS ก็ตาม มันคงจะเป็นสถานการณ์ที่ต่างออกไปถ้ามีจดหมายจากกิลด์อย่างเป็นทางการแต่ตอนนี้เขากำลังแทรกแซงภารกิจของพวกเขาอย่างชัดเจน
“เอาจริงๆนี่คือส่วนที่ข้าชอบเกี่ยวกับการเป็นนักผจญภัยแต่ตอนนี้มันกลับกลายเป็นต้นตอปัญหาของพวกเราเข้าแล้วสินะ”
“ก็ขึ้นอยู่กับทัศนคติของพวกเขาแล้วหล่ะครับ, ข้าว่าเรื่องนี้อาจจะต้องใช้เวลาซักพัก”
“พูดตามตรง, พวกเราไม่มีเวลาสำหรับเรื่องนี้หรอก ข้าคงทำได้แค่ขอให้พวกนักผจญภัยที่เป็นเจ้าของภารกิจเข้าใจ เจ้ามุ่งหน้ากลับไปก่อนเถอะ เดี๋ยวข้าจะหาทางจัดการเรื่องนี้เอง”
“ขอให้โชคดีในศึกครั้งนี้ครับ”
จากนั้นเขาก็แยกทางกับเซบาสและมุ่งหน้าลงไปหานักผจญภัยที่ตั้งค่ายอยู่ใกล้กับภูเขา
ถึงยังไง, ถ้าเซบาสมากับเขาด้วยพวกนักผจญภัยก็อาจจะสงสัยและพวกเขาก็อาจจะสามารถเชื่อมโยงไปถึงตัวตนที่แท้จริงของเขาได้
“นี่ทุกคน, ดูเหมือนท่านนักผจญภัยแรงค์ SS จะเดินทางมาพบพวกเราหล่ะ”
พอได้ยินคำพูดของชายหนุ่มผมแดงที่ทำหน้าที่เฝ้าระวัง, พวกนักผจญภัยก็ออกมาจากเต็นท์ของพวกเขา
ที่นี่มีผู้ชายห้าคนกับผู้หญิงหนึ่งคน
สายตาของพวกเขานั้นเคร่งเครียด
“ข้าชื่ออาเบล, เป็นหัวหน้าของปาร์ตี้นี้ อยู่แรงค์ A ข้าคงจะดูเหมือนกับแมลงตัวเล็กๆจากมุมมองของท่านสินะ?”
“ข้าคือนักผจญภัยแรงค์ SS, ซิลเวอร์”
เขาจับมือที่อาเบลยื่นออกมาให้
เขาจับมืออีกฝ่ายเบาๆแต่อาเบลนั้นบีบมือของเขาแน่นราวกับพยายามจะบดมือเขาให้แหลกเป็นเสี่ยงๆ…
ตามที่คาดเอาไว้เลยสินะ, เขาหงุดหงิดเราจริงๆด้วย
“ข้าได้ยินมาจากดยุคว่าจะมีกำลังเสริมมาช่วยแต่ถ้าข้าพูดแค่ว่า ‘ครับ, เข้าใจแล้วครับ’ ข้าก็คงจะไม่ใช่นักผจญภัยอีกต่อไปแล้ว เจ้าเข้าใจใช่ไหม?”
“อืม, ข้ารู้”
“การแทรกแซงภารกิจของนักผจญภัยคนอื่นถือเป็นการฝ่าฝืนธรรมเนียมของพวกเรา เจ้าเองก็คงรู้เรื่องนี้ใช่ไหม?”
“อืม, แน่นอนอยู่แล้ว”
ในตอนที่ซิลเวอร์ลดมือลง, เขาก็หันไปมองนักผจญภัยคนอื่นอีกห้าคน
เมื่อสังเกตจากลักษณะการยืนของพวกเขาแล้ว, แรงค์ A อีกคนดูเหมือนจะเป็นผู้หญิง
เธอมีผมสีน้ำตาลและไว้ทรงหางม้าสั้น, ใบหน้าของเธอนั้นถูกหมวกบดบังเอาไว้แต่เขาคิดว่าเธอเป็นผู้หญิงอย่างแน่นอน
เสื้อผ้าของเธอเองก็เหมือนกับผู้ชายอย่างสมบูรณ์, เขาคิดว่าคงจะมีคนเข้าใจผิดว่าเธอเป็นผู้ชายอยู่ไม่น้อย
เธอน่าจะทำหน้าที่เป็นคนสนับสนุนปาร์ตี้ของอาเบลในเมื่อเธอยังเงียบอยู่มันก็หมายความว่าเธอไม่มีความตั้งใจที่จะขัดอาเบลสินะ
ถ้าเป็นแบบนี้เราก็แค่ต้องโน้มน้าวอาเบลให้ได้ก็พอ
“ท่านบอกว่ารู้สินะ? ในเมื่อท่านรู้อยู่แล้วเหตุใดท่านถึงมาพยายามแทรกแซงงานของพวกข้า!? แถมท่านยังลงทุนถึงขั้นใช้เส้นสายขุนนางอีก! นักผจญภัยอย่างท่านไม่น่าจะมีปัญหากับการจัดการภารกิจของตัวเองไม่ใช่รึไง!?”
“สิ่งที่เจ้าอยากจะพูดนั้นมีเหตุผลอยู่ ข้าเองก็เข้าใจความไม่พอใจของเจ้า ดังนั้นถ้าเจ้าอยากจะด่าข้าหรืออัดข้า, ข้าก็จะไม่ถือสาอะไร”
“ว่าไงนะ?”
“แต่ว่า…. ข้าอยากจะถามเจ้าในฐานะนักผจญภัยถามนักผจญภัยอยู่เรื่องนึง เจ้าสามารถควบคุมสถานการณ์นี้ได้ไหม?”
“……..”
อาเบลชะงัก
ซึ่งนี่ก็เป็นเหมือนกันกับนักผจญภัยคนอื่นๆ มันเป็นเรื่องง่ายที่จะบอกว่าพวกเขาควบคุมได้ อย่างไรก็ตาม, สำหรับนักผจญภัยนั้น, ความเชื่อใจเปรียบเสมือนชีวิตของพวกเขา พวกเขาไม่สามารถพูดออกมาได้ว่าพวกเขาเอาอยู่ในเมื่อภารกิจที่อยู่ในมือนั้นคือภารกิจที่ไม่สามารถแก้ไขได้ง่ายๆ
นักผจญภัยทั้งหกคนที่อยู่ที่นี่คือนักผจญภัยระดับสูงสุดในภูมิภาคนี้ บางทีพวกเขาน่าจะไม่ได้รับภารกิจนี้ด้วยความตั้งใจของตัวเองแต่ถูกพนักงานในกิลด์โน้มน้าว
อย่างไรก็ตาม, สิ่งที่พวกเขาพบนั้นก็คือสถานการณ์เลวร้ายกว่าที่ได้ฟังมา มาเธอร์สไลม์คือมอนส์เตอร์ที่มีความแข็งแกร่งไม่แน่นอน ถ้ามันยังได้รับสารอาหารอยู่ในรังอย่างต่อเนื่องมันก็จะแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นมันก็จะให้กำเนิดสไลม์อย่างไม่หยุดหย่อน ซึ่งการให้กำเนิดสไลม์ในแต่ละครั้งนั้น, จะทำให้มันยิ่งอ่อนแอลง อย่างไรก็ตาม, ลูกๆสไลม์ก็จะหาสารอาหารมาให้แม่ของมันได้มากขึ้นจนในที่สุดมาเธอร์สไลม์ก็จะไปถึงจุดที่ไม่สามารถหยุดยั้งได้
ถ้าสถานการณ์ยังคงเลวร้ายแบบนี้, ทั้งภูมิภาคก็จะถูกคุกคามถ้าไม่รีบกำจัดมาเธอร์สไลม์โดยเร็ว
“—มาเธอร์สไลม์ตัวนี้แข็งแกร่งกว่าที่พวกเราได้ยินมา พวกเราลองเข้าต่อสู้กับมันอยู่หลายครั้งแต่พวกเราก็ไม่สามารถทำให้มันเจ็บหนักถึงตายได้และนั่นก็ทำให้พวกเราต้องถอนตัวกลับมา เห็นได้ชัดเลยว่าพวกเรามีพลังไม่พอ”
นักผจญภัยหญิงที่เงียบมาจนถึงตอนนี้เปิดปากพูด
พอได้ยินคำพูดของเธอ, อาเบลก็เดาะลิ้น ดูเหมือนว่าอาเบลเองก็รู้เรื่องนี้ดี
“ถ้าเจ้าไม่อยากให้ข้าแทรกแซงภารกิจของเจ้าข้าก็จะไม่ทำ แต่ว่า, เพื่อความปลอดภัยของพื้นที่นี้, ข้าจะต้องรายงานสถานการณ์ ณ ปัจจุบันไปยังศูนใหญ่ของกิลด์โดยตรงและให้พวกเขาออกเป็นภารกิจเร่งด่วนมา ซึ่งข้าก็จะรับภารกิจนั้นและมาที่นี่อีกครั้ง แต่ว่า, นั่นจะต้องใช้เวลาประมาณสองสามวันแน่ๆ ซึ่งถ้าเจ้าสามารถกำจัดมันได้ในขอบเขตเวลานั้น, ข้าก็จะไม่ห้ามเจ้า แต่ว่า…..ในอีกสองสามวันถัดจากนี้, พื้นที่แห่งนี้จะต้องตกอยู่ในอันตรายร้ายแรงอย่างแน่นอน”
“….ข้ารู้ นักผจญภัยระดับเจ้าคงมาถ่อมาถึงที่นี่เพียงเพราะเงินหรอก……”
“พวกเจ้ารับรางวัลทั้งหมดไปได้เลย แต่ช่วยยกหน้าที่การกำจัดมาเธอร์สไลม์ให้ข้าเถอะ ในฐานะนักผจญภัย, ข้าไม่สามารถปล่อยให้ภัยคุกคามระดับนี้ลุกลามต่อไปได้”
“…ก็ได้ พวกเรายอมรับว่ามีพลังไม่พอที่จะรับมือกับเรื่องนี้… เชิญทำตามที่ต้องการเถอะ
อาเบลคอตกและนั่งลงตรงจุดที่เขาอยู่
นักผจญภัยที่สร้างตัวขึ้นมาด้วยความแข็งแกร่งของตัวเองนั้น มันไม่มีอะไรที่เสียเกียรติไปมากกว่าการที่ไม่สามารถทำภารกิจที่ได้รับมาให้สำเร็จได้
มันมีแม้กระทั่งนักผจญภัยที่ไม่ยอมแพ้และดึงดันทำภารกิจของตัวเองต่อจนตัวตายก็มี ซึ่งในแง่นี้, อาเบลถือเป็นนักผจญภัยที่ฉลาดที่สามารถที่รับรู้ได้จากสภาพแวดล้อมรอบตัวเขา
“ขอโทษนะ, ทุกคน……”
อาเบลขอโทษสมาชิกในปาร์ตี้ทุกคน ถ้าเขาตัวคนเดียวเขาอาจจะดึงดันทำต่อไปแต่ครั้งนี้เขาได้คำนึงถึงสมาชิกในปาร์ตี้ของเขาด้วย เขานั้นถือเป็นหัวหน้าปาร์ตี้ที่ดี
“ต้องขอบคุณที่พวกเจ้าคอยโจมตีมาเธอร์สไลม์นะสถานการณ์ถึงคืบหน้ามาได้ขนาดนี้ ถ้าพวกเจ้าไม่อยู่ที่นี่, พื้นที่แห่งนี้ก็คงจะเต็มไปด้วยสไลม์แล้วหล่ะ แต่เดิมภารกิจนี้ก็ต้องใช้ปาร์ตี้ที่เป็นนักผจญภัยแรงค์ A หรือสูงกว่าอยู่แล้ว จากที่ดูข้ายอมรับเลยว่าพวกเจ้าทำได้ดีมาก กิลด์เองก็คงจะรู้สึกยินดีกับงานของพวกเจ้าเหมือนกัน”
“เหอะ…..ไม่นึกเลยนะว่าจะมีวันที่นักผจญภัยแรงค์ SS ชื่นชมข้าด้วย”
“เพลาๆกับการถากถางหน่อยเถอะ ข้ารู้สึกชื่นชมพวกเจ้าจริงๆนะ, ครั้งนี้ข้าถือว่าติดหนี้พวกเจ้าแล้ว ถ้ามีอะไรเกิดขึ้น, ก็มาที่สาขาเมืองหลวงจักวรรดิได้เลย ข้าจะช่วยเจ้าเอง”
พอพูดจบ, เขาก็ยื่นมือไปทางภูเขา
เขาไม่สนใจสายตาที่สับสนของนักผจญภัยทั้งหกและเริ่มร่ายมนตร์
[[ข้าคือตัวแทนแห่งความศักดิ์สิทธิ์・ ข้ากระทำในนามของสวรรค์และปฐพี・เวลาแห่งการพิพากษามาถึงแล้ว・ คนบาปจะสั่นกลัว-ผู้บริสุทธิจะปลื้มปิติ・วจีของข้าคือวจีแห่งเทพ・การปัดเป่าของข้าคือการปัดเป่าจากทวยเทพ・ในมือของข้าคือเพลิงที่สามารถจุดไฟให้โลกใบนี้ได้・จงมาเถิดเพลิงแห่งสวรรค์จงแผดเผาคนบาปให้ไหม้เป็นธุลี— บทประหารเปลวสุริยะ (Execution Prominence)]]
คำร่ายยาวทั้งแปดนี้ ส่งผลให้มีวงเวทย์ขนาดมหึมาถูกปล่อยออกมาจากมือข้างที่ยื่นออกไปของเขา
เวทมนตร์ที่ถูกส่งต่อมาจนถึงทุกวันนี้ไม่มีเวทย์บทไหนเลยที่มีคำร่ายยาวขนาดนี้ อย่างยาวที่สุดก็มีแค่เจ็ดคำร่ายเท่านั้น ดังนั้นการใช้เวทมนตร์ที่มีถึงแปดคำร่ายก็แสดงว่ามันคือเวทย์ที่ไม่ได้ใช้กันในทุกวันนี้
เวทมนตร์ที่ถูกคิดค้นขึ้นในสมัยที่เวทมนตร์เคยเฟื่องฟู เวทมนตร์โบราณ
ด้วยความที่มันจะใช้ได้ก็ต่อเมื่อผู้ใช้ต้องมีพรสวรรค์เท่านั้น, ผลก็คือ, มันถูกลืมเลือนและหายไปกับอดีตกาล
วิธีเดียวที่จะได้รับเวทย์พวกนี้มาก็คือการอ่านจากหนังสือล้ำค่าที่ถูกทิ้งเอาไว้ ซึ่งนี่ก็คือเหตุผลที่ทำไมถึงมีผู้ฝึกฝนเวทมนตร์โบราณเพียงไม่กี่คนในทวีปนี้
และแน่นอนว่า, มีส่วนหน่อยยิ่งกว่าที่ผู้คนรู้จัก
ดังนั้นในแง่นี้, จึงสามารถพูดได้เลยว่าทั้งหกนี้ได้รับประสบการณ์ในสิ่งที่มีค่ามากจริงๆ
พลังเวทย์ปริมาณมหาศาลพุ่งออกมาจากวงเวทย์ขนาดยักษ์ จากนั้นวงเวทย์เล็กๆหกวงก็ปรากฎขึ้นรอบวงเวทย์แรก
วงเวทย์เล็กพวกนี้กำลังหมุนรอบวงเวทย์ยักษ์อยู่
จากนั้นในขณะที่พลังเวทย์พุ่งสูงขึ้นจนถึงจุดที่มันปะทุ
เปลวเพลิงสว่างจ้าก็ถูกปล่อยออกมาจากวงเวทย์
มันเผาภูเขาทั้งลูกในชั่วพริบตาพร้อมกับสไลม์ที่เปลี่ยนภูเขาให้เป็นรังของมัน ไม่เพียงแค่นั้น, ตัวภูเขาเองก็ถูกเผาจนหายไปทั้งลูก
สิ่งเดียวที่ถูกทิ้งเอาไว้ก็คือพื้นดินสีดำสนิท
“ด้วยวิธีนี้, จำนวนของสไลม์ก็จะไม่เพิ่มขึ้นอีกแล้ว”
“เอาจริงดิ…..”
“….นี่คือเวทมนตร์โบราณของนักเวทย์แรงค์ SS หรอ……?”
อาเบลกับนักผจญภัยหญิงกระซิบหากัน
ส่วนคนอื่นๆนั้นต่างก็เงียบสนิท, พยายามที่จะทำความเข้าใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องหน้าพวกเขา
เวทมนตร์ที่สามารถเป่าภูเขาทั้งลูกได้ มันคือสิ่งที่อยู่ใกล้กับตำนานแล้ว
มันเป็นเรื่องปกติที่คุณจะไม่สามารถทำความใจได้ในตอนที่มันเกิดขึ้นเบื้องหน้าคุณอย่างกระทันหัน
“ข้าฝากให้พวกเจ้ารายงานแทนข้าได้ไหม?”
“…เจ้าควรไปเองนะ พวกข้าไม่ได้ทำอะไรเลย เจ้าเป็นฮีโร่ที่ช่วยเหลือท่านดยุคไม่ใช่หรอ?”
“ขอโทษนะแต่ข้าไม่สนใจหรอก แถมข้ามีธุระอื่นด้วย ข้าขอกฝากพวกเจ้าก็แล้วกัน”
พอพูดจบเขาก็จากไปด้วยเวทมนตร์เคลื่อนย้าย
จุดหมายของเขาก็คือห้องข้างในคฤหาสถ์ของดยุคไคลเนลต์ มันคือห้องที่ถูกจัดเอาไว้ให้เขา
เจ้าชายอาร์โนลด์นั้นสมควรจะอยู่ในบ้านดยุค เขาจะรับรายงานจากซิลเวอร์เกี่ยวกับการกำจับมาเธอร์สไลม์ด้วยกันกับดยุคและปิดการสนทนาเกี่ยวกับการร่วมมือของเขา หลังจากนั้น, งานของเขาก็จะจบลง
จนกว่าจะถึงตอนนั้นเขาจะลดการป้องกันลงไม่ได้
พอคิดได้เขาก็ถอดหน้ากากออก
“อ้ะ…..?”
หลังจากที่เสียงดังขึ้นเขาก็พึ่งตระหนักได้ถึงความไม่ระวังตัวของเขา
สถานการณ์ที่ไม่เคยไม่ใครคาดคิดได้เกิดขึ้นแล้ว
เสียงนี้มัน
ในตอนที่ได้ยินเสียง, สิ่งแรกที่เขารู้สึกก็คือเสียใจ
เขาคิดว่าไม่มีใครอยู่ในห้อง มันคือห้องที่ถูกจัดมาให้เจ้าชายดังนั้นเขาก็เลยคิดว่าจะไม่มีใครเข้ามาเว้นเสียแต่ว่าพวกเขาจะได้รับการอนุญาต
เขาหันไปหาต้นเสียง ในตอนที่เขามองใบหน้าที่เขาเห็นนั้น, ความเสียใจก็ผุดขึ้นมาอีกครั้ง
“…….ฟะ ฟีเน่”
“……เจ้าชายอาร์โนลด์…..ชะ ใช่ไหมคะ?”
ที่ยืนอยู่ตรงนั้นก็คือลูกสาวของดยุคผู้มีความงดงามอันไร้ที่ติด
เด็กสาวที่เขาไม่สามารถปิดปากเธอได้ง่ายๆ, ฟีเน่คือคนที่อยู่ตรงนั้น