การต่อสู้ชิงบัลลังก์ในเงามืดของเจ้าชายไร้ค่าสุดแกร่ง (Saikyou Degarashi Ouji no An’ yaku Teii Arasoi ) - ตอนที่ 99
“อัลคุงออกมาเดินลาดตระเวนหรอ?”
“ก็นะ, ประมาณนั้นแหล่ะ”
หลังจากออกมาจากร้านนั้น, ฉันก็เดินไปตามถนนด้วยกันกับโซเนีย
ซึ่งนี่เป็นเพราะโซเนียยังต้องเดินจ่ายตลาดต่อ
นอกจากนี้, เพื่อไม่ให้ไปเกี่ยวข้องกับปัญหามากกว่านี้, ฉันจึงขอให้โซเนียสวมฮู้ดเอาไว้และให้ฉันเป็นคนซื้อของที่จำเป็นให้เธอ
“ประมาณนั้นหรอ?”
“ข้าแค่มาพักหายใจแถวนี้หน่ะ ช่วงนี้หัวข้าตันๆคิดอะไรไม่ค่อยออก”
“เพราะงั้นขอบตาก็เลยดำแบบนั้นสินะ?”
“อืม, ก็นะ”
ฉันเอามือไปจับที่ใต้ตาของฉัน
ฉันไม่ทันรู้ตัวเลยเพราะไม่ได้ดูกระจกแต่หน้าของฉันคงจะซีดด้วย ถึงยังไงช่วงนี้ฉันก็อยู่ตลอดทั้งคืนเลย
“เจ้ากำลังจัดการงานที่ยุ่งยากอยู่สินะ?”
“ข้าดูเหมือนคนแบบนั้นหรอ? ผู้คนที่นี่เรียกข้าว่าเจ้าชายไร้ค่านะรู้รึเปล่า?”
“เจ้าชายไร้ค่าหรอ?”
“เจ้าไม่รู้หรอ? ข้าเป็นเจ้าชายที่ถูกน้องชายฝาแฝดดูดด้านดีๆไปหมด, เจ้าชายไร้ค่าที่เป็นตัวตลกแห่งเมืองหลวงจักรวรรดิยังไงหล่ะ”
ไม่มีใครในเมืองหลวงจักรวรรดิที่ไม่รู้จักชื่อเสียงของฉัน
การที่พูดแบบนี้ก็หมายความว่าเธอมาจากข้างนอก
เอาเถอะ, เธอก็ดูไม่เหมือนคนที่ใช้ชีวิตอยู่ที่นี่อยู่แล้วแถมเหมือนนักเดินทางมากกว่าด้วย
“ก็อย่างที่เห็นข้าไม่คุ้นเคยกับเมืองหลวงจักรวรรดิ แต่ว่าอัลคุงถูกคนพูดแบบนั้นจริงๆหรอ? เจ้าหน้าที่เมื่อสักครู่นี้ก็ดูเคารพเจ้าดีไม่ใช่รึไง?”
“มันเป็นเพราะน้องชายของข้าคือหนึ่งในผู้มีสิทธิได้ครองบัลลังก์หน่ะ เจ้าหน้าที่คนนั้นมาจากขุมอำนาจของน้องชายข้าเขาก็เลยทำแบบนั้นเพื่อภาพลักษณ์ มันไม่มีทางที่เขาจะเคารพข้าจากใจจริงหรอก”
ฉันมองท้องฟ้าในขณะที่พูดออกมาแบบนั้น
ยกเว้นเหล่าคนที่ฉันสามารถเรียกได้ว่าสนิท, นี่มันถือเป็นเรื่องปกติ ก่อนหน้านี้ฉันได้ทำสิ่งที่สมกับเป็นราชวงศ์ไปแต่เรื่องแบบนั้นก็ถูกมองแค่เป็นเรื่องธรรมดา และถ้าเกิดการที่ฉันขอยืมความช่วยเหลือจากการ์ดเมืองถูกมองในแง่ลบมันก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลย
ผู้คนคงจะบอกว่าถ้าฉันเป็นราชวงศ์ก็ควรทำตัวให้เหมาะสมตั้งแต่แรกแล้วสิ, ชื่อเสียงในแง่ไม่ดีของฉันมันใหญ่เกินไปแล้ว ผู้คนจะไม่เปลี่ยนเจตคติที่มีต่อฉันแค่เพราะฉันทำเรื่องดีๆในช่วงนี้
ต่อให้ผู้คนที่เห็นเหตุการณ์เมื่อสักครู่นี้จะมองฉันในด้านดี, แต่มันก็อยู่แค่ชั่วคราว มันไม่ส่งผลกับเจตคติโดยรวมของผู้คนที่มีต่อฉัน
เจตคติเช่นนี้และฉายาเจ้าชายไร้ค่าจะไม่จางหายไปเว้นเสียแต่ว่าฉันได้สร้างความสำเร็จครั้งใหญ่
ฉันไม่ได้สนใจหรอกว่ามันจะหายไปรึเปล่าและฉันก็ไม่ได้มีความตั้งใจที่จะทำให้มันหายไปด้วย ในอดีตมันอาจจะสะสางไปได้ง่ายๆแต่ตอนนี้มันทับถมมามากเกินไปแล้ว
“ถูกทำแบบนี้นี่ เจ้าไม่รู้สึกแย่หรอ?”
“ข้าไม่รู้สิ พูดตามตรง, ข้าชินไปแล้วหล่ะ”
“งั้นหรอ…..แสดงว่าพวกเราคล้ายกันสินะ”
โซเนียพูดแบบนั้นออกมาในขณะที่สัมผัสหูของเธอ
หูที่ยาวครึ่งๆกลางๆ, คือสัญลักษณ์ของครึ่งเอลฟ์
โซเนียต้องถูกกดขี่มาเยอะเพราะมันแน่ๆ ไม่มีทางที่สภาพแวดล้อมรอบตัวเธอจะเหมือนกับฉัน
ของฉันมันเป็นเพราะผลลัพธ์จากการกระทำของฉันในขณะที่ของโซเนียมันเป็นเพราะชาติกำเนิด
“พวกเราไม่เหมือนกันซักหน่อย ถ้าเจ้าชินกับมันแล้วก็แสดงว่าเจ้าแข็งแกร่งกว่าข้าจริงๆ เป็นข้าคงทนไม่ไหวหรอก ไม่ว่าจะยังไง, ข้าก็ยังเป็นเจ้าชายอยู่ดี…..ข้าถูกสายเลือดของตัวเองคอยปกป้องตั้งแต่ตอนที่ข้าเกิดแล้ว”
“งั้นหรอ…..แต่พอได้ยินแบบนี้มันทำให้รู้สึกเหมือนว่าเจ้าเกลียดการเป็นเจ้าชายยังไงไม่รู้สิ?”
“ใช่ข้าเกลียด ทั้งฐานะนี้และตัวข้าเองที่ยอมรับมัน ถ้าข้าทิ้งมันไปได้ข้าก็คงจะยินดีมากเลย ข้ารู้ว่ามันดูเอาแต่ใจที่คิดแบบนี้ ซึ่งมันก็คือสาเหตุที่ข้าเกลียดตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ
ความปราถนาที่อยากจะใช้ชีวิตตามความต้องการนั้นมาจากเรื่องนี้
เหมือนกับคนปกติที่ชื่นชมในบางสิ่งพิเศษ ฉันโหยหาความรู้สึกเช่นนั้น
มันจะดีแค่ไหนกันนะถ้าฉันเริ่มต้นชีวิตกับครอบครัวธรรมดาในบ้านธรรมดาแทนที่จะเป็นปราสาท
ฉันอยากใช้ชีวิตในแต่ละวันเหมือนคนปกติที่นี่ แต่ฉันไม่ได้รับอนุญาตให้ทำแบบนั้น ต่อให้ฉันทิ้งตำแหน่งในฐานะเจ้าชายไป, สายเลือดก็จะไม่มีทางปล่อยฉันไป ท่านพ่อของฉันน่าจะให้ฉันแต่งงานเข้าบ้านขุนนางซักที่โดยไม่ปราณีแน่ๆ
สายเลือดราชวงศ์นั้นทรงอำนาจ มีคนเก่งๆมากมายเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก มันให้กำเนิดคนที่มีพลังเวทย์แข็งแกร่งอย่างฉันหรือซานดร้า, คนที่มีพรสวรรค์ในด้านทักษะดาบและศิลปะการต่อสู้เหมือนท่านพี่ลีเซหรือกอร์ดอน, และยังรวมถึงคนที่เก่งหลายอย่างเหมือนลีโอ
มันคือผลลัพธ์จากการที่พวกเราสืบทอดสายเลือดอันยอดเยี่ยมมายุคต่อยุค ตอนนี้, สายเลือดของราชวงศ์จักรวรรดินั้นแข็งแกร่งเกินกว่าที่จะปล่อยไปง่ายๆแล้ว
“งั้นหรอ ถ้างั้นพวกเราก็เหมือนกันนั่นแหล่ะ ข้าเองก็เกลียดชาติกำเนิดของตัวเองเหมือนกัน ข้าไม่ต้องการสายเลือดเอลฟ์ในตัวข้า ข้าแค่อยากใช้ชีวิตเหมือนมนุษย์ แต่นั่นก็ยังไม่ใช่สิ่งที่อนุญาตให้ข้าทำได้”
“…….ดูเหมือนว่าพวกเราจะมีจุดที่คล้ายกันแปลกๆยังไงไม่รู้นะ”
“นั่นสินะ เอาเถอะ, ยังไงข้าก็ได้รับสิ่งที่พวกเขาให้มาแล้ว มันอาจจะลำบากในตอนที่ข้ายังเด็กแต่ข้าก็สามารถผ่านมันมาได้เพราะผู้คนใจดีที่อยู่รอบตัวข้า พวกเขาเป็นคนใจดีเหมือนกับอัลคุงนั่นแหล่ะ…….แต่ในตอนที่ข้าออกมาข้าก็ยังถูกกดขี่อยู่ดีหล่ะนะ”
พอพูดจบ, โซเนียก็ยิ้มออกมา
มันคือรอยยิ้มที่ทั้งสดใสและน่ารัก อาการนอนไม่พอและความคิดในแง่ลบของฉันสดใสขึ้นแค่เพราะได้เห็นมัน
นึกไม่ถึงเลยว่าฉันจะสดชื่นขึ้นแค่เพราะได้เห็นรอยยิ้มของเด็กสาวที่พึ่งได้เจอกันวันนี้
“ขอบใจนะ ตอนนี้ข้ารู้สึกดีขึ้นแล้วหล่ะ”
“แต่ข้ายังไม่ได้ทำอะไรเลยนะ?”
“รอยยิ้มของเจ้าสวยมากเลย”
ในตอนที่ฉันบอกความรู้สึกจริงๆออกไป, โซเนียก็น่าแดงขึ้นมา
พอเห็นเธอเป็นแบบนี้ฉันก็หัวเราะเธอแล้วโซเนียก็ขมวดคิ้วใส่ฉัน
“จ, เจ้าแกล้งข้านี่……”
“เปล่าซะหน่อย เจ้าทำให้ข้ารู้สึกสดชื่นขึ้นมาอีกครั้งจริงๆ”
“ให้ตายเถอะ…..นี่เจ้าพูดแบบนี้กับผู้หญิงตลอดเลยใช่ไหมหล่ะ?”
“นั่นก็ขึ้นอยู่กับอารมณ์ของข้าหล่ะนะ”
“อัลคุงนี่มีพรสวรรค์ในด้านการจีบผู้หญิงจังเลยนะ……”
“ก็นะ, ขอบใจ”
ฉันเดินต่อพลางหัวเราะไปด้วย
การคุยกับโซเนียนี่สนุกจริงๆ ส่วนนึงคงเป็นเพราะว่าโซเนียค่อนข้างมีสัมผัสที่ไวต่อความรู้สึกในด้านการรักษาระยะระหว่างผู้คน
เธอมักจะสังเกตคู่สนทนาอยู่บ่อยๆและตอนนี้เธอก็รู้ว่าฉันกำลังอารมณ์ดี บางทีเธอน่าจะทำไปโดยไม่รู้ตัว
มันเป็นความคิดอันน่าเศร้าที่สภาพแวดล้อมที่เธอใช้ชีวิตอยู่นั้นหล่อหลอมให้เธอทำมันแต่ตอนนี้ฉันก็รู้สึกยินดีกับมันจริงๆ
การสนทนาที่รักษาอารมณ์ของอีกฝ่ายไม่ให้โกรธได้ตลอดเวลานั้นถือว่ายอดเยี่ยมมาก
“ว่าแต่, ข้ายังไม่ได้ถามเจ้าเลยว่าทำไมถึงนอนไม่พอ เจ้าเล่นอะไรถึงนอนจนดึกดื่นขนาดนั้นหรอ?”
“เล่นหรอ?”
“ข้าพูดผิดหรอ? มันไม่ใช่แบบนั้นสินะ?”
“อ่า, ก็นะ มันคือการเล่นรูปแบบนึงนั่นแหล่ะ ข้าทำสิ่งที่เหมือนกับการเล่นคลายปริศนา แต่ข้าไม่สามารถแก้มันได้ช่วงนี้ข้าก็เลยนอนไม่พอ”
“เพราะงั้นเจ้าก็เลยอารมณ์ไม่ดีสินะ?”
“ข้าดูอารมณ์ไม่ดีหรอ?”
“ตอนนี้ไม่ใช่หรอกแต่ตอนแรกที่เจอเจ้าที่ร้านเจ้าดูหงุดหงิดมากๆเลยหล่ะ”
“ก็นะ, แต่ส่วนนึงก็เพราะพ่อค้าคนนั้นแหล่ะ”
แต่มันไม่ใช่แค่เพราะเรื่องนั้น
ฉันอารมณ์ไม่ดีอยู่จริงๆ
หงุดหงิดเพราะตัวเองไม่สามารถหาคำตอบในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อได้
“คนที่ให้ปริศนาเจ้าต้องเป็นตัวปัญหาไม่เบาแน่ๆเลย ถึงทำให้อัลคุงลำบากแบบนี้ได้”
“ไม่, ข้าไม่ได้คิดแบบนั้นหรอก ข้าแค่หงุดหงิดตัวเองนะ ก็นะ, ข้าไม่รู้จริงๆแต่…..ข้าคิดว่าคำตอบอยู่ใกล้ๆนี้แหล่ะแต่ข้าไม่สามารถเอื้อมไปหามันได้เลย ข้าคิดว่าข้าต้องพลาดอะไรบางอย่างไปและถ้าข้าสามารถหามันเจอได้ข้าก็จะสามารถไขคำตอบได้แต่ข้ายังไม่มีโอกาสที่จะทำแบบนั้นหน่ะสิ นี่คือสาเหตุที่ทำให้ข้ายิ่งหงุดหงิดที่ไม่สามารถคิดเรื่องนั้นได้”
“แล้วผู้คนรอบตัวเจ้ารู้รึเปล่าหล่ะ?”
“น่าจะไม่นะ คนที่ให้ปริศนาข้าเก่งมาก พูดตามตรง, ข้าค่อนข้างมั่นใจในสติปัญญาของตัวเองแต่ตอนนี้ความมั่นใจนั้นพังไม่เหลือแล้วหล่ะ คำตอบดูเหมือนจะอยู่ใกล้แต่จริงๆแล้วมันยังอยู่ห่างออกไป นี่คือสิ่งที่ทำให้ข้าอยากออกมาทำหัวให้โล่งแล้วตัดสินใจออกมาที่นี่”
“เข้าใจหล่ะ อัลคุงนี่เป็นคนขยันจังเลยนะ ถ้าเป็นข้า, ถ้าเกิดรู้ว่าทำไม่ได้ข้าก็คงจะตัดใจไปแล้ว
โซเนียพูดด้วยรอยยิ้มสดใส
ก็นะ, เธอดูเหมือนคนที่น่าจะพูดแบบนั้นแหล่ะ
แต่เรื่องนี้มันต่างออกไป
รีเบคก้ากับจดหมายที่เธอมีนั้นส่งผลกระทบกับการพัฒนาในอนาคตอย่างมาก คนที่ได้รับมันเป็นคนแรกจะสามารถตัดสินใจกระแสของสถานการณ์ในอนาคตนับจากนี้ได้
ไม่ว่ายังไง, ศึกนี้จะแพ้ไม่ได้เด็ดขาด
ในขณะที่กำลังคิดเช่นนั้น, โซเนียก็ชี้ไปที่แผงขายของ
เธอน่าจะอยากให้ฉันไปซื้ออะไรบางอย่างจากแผงนั้น
พวกเราจ่ายตลาดกันต่อในขณะที่พูดคุยกันตามปกติโดยมีโซเนียชี้นิ้วไปยังสิ่งที่เธอต้องการด้วยนิ้วของเธอ
“ไงพี่ชาย, วันนี้มาเดทหรอ?”
“พวกเราดูเหมือนแบบนั้นหรอ?”
“อา ถือซะว่าเป็นบริการพิเศษจากลุงคนนี้แล้วกัน รับไปสิ”
หลังจากการแลกเปลี่ยน, พ่อค้าก็ส่งน้ำผลไม้มาให้ฉันขวดนึงเป็นของแถม
โซเนีย, ที่นึกไม่ถึงว่าถูกเข้าใจผิดว่าเป็นคนรักของฉัน, ตื่นตระหนกและพยายามโบกมือปฏิเสธแต่พ่อค้าก็แค่โบกมือกลับ
“เอ่อ, พ่อค้าคนนั้นเขายัดเยียดมาหน่ะ…..ข้าก็บอกไปแล้วนะว่าพวกเราไม่ใช่คนรักกัน”
“เอาเถอะหน่า, มันเป็นบริการพิเศษนี่รับๆไปละกัน”
“มันเป็นเพราะอัลคุงไม่ยอมปฏิเสธเขาตั้งแต่แรกต่างหากหล่ะ! มันก็เหมือนกับพวกเรากำลังหลอกเขาไม่ใช่รึไง!”
“อย่าอารมณ์เสียสิ อร่อยนะ”
“โถ่…….”
น้ำผลไม้นี้เจือจางกว่าที่ฉันดื่มในปราสาท
แต่, รสชาติของมันดีกว่าหลายเท่า บางทีที่รสชาตมันดีกว่าน่าจะเป็นเพราะฉันออกมาซื้อด้วยตัวเองแทนที่จะเป็นสิ่งที่นำมาเสิร์ฟให้ฉัน
“ก็นะ อร่อยจริงๆนั่นแหล่ะ”
โซเนียที่ก่อนหน้านี้เอาแต่บ่นเองก็กำลังดื่มน้ำผลไม้ด้วยอารมณ์ดี
วันหลังฉันต้องไปขอบคุณพ่อค้าคนนี้สินะ
“ว่าแต่, อัลคุงคิดว่าน้องชายเป็นคนยังไงหรอ?”
“น้องชายของข้าหรอ? เจ้าอยากรู้อะไรเกี่ยวกับเขาหล่ะ?”
“เจ้าบอกว่าเจ้าถูกเขาแย่งส่วนดีๆไปหมดก็แสดงว่าเขาต้องเป็นคนที่เก่งมากๆเลยไม่ใช่หรอ?”
“ก็นะ, เขาคลี่คลายปัญหาทางใต้ได้และตอนนี้เขาก็มีชื่อเสียงโด่งดังที่นี่ในฐานะเจ้าชายผู้กล้า”
“…..แค่นี้แหล่ะ แค่จากสีหน้าของเจ้าข้าก็รู้แล้วว่าเจ้าคิดยังไง
“หืม? เจ้าหมายความว่ายังไง?”
“ข้ากำลังคิดจะถามเจ้าว่าเจ้าชอบเขารึเปล่าแต่คำตอบมันแสดงอยู่บนหน้าเจ้าแล้ว ในตอนที่ข้าพูดถึงน้องชายของเจ้า, เจ้าดูภูมิใจมากเลยนะรู้ตัวรึเปล่า”
พอได้ยินโซเนียพูดอย่างนั้น, ฉันก็ก้มหน้าลง
นี่สีหน้าฉันออกขนาดนั้นเลยหรอ? ฉันไม่เคยรู้ตัวเลย
แน่นอนว่า, ฉันภูมิใจที่มีลีโอเป็นน้องชาย แต่ฉันไม่เคยได้ยินใครพูดแบบนี้กับฉันมาก่อนเลย
ถึงยังไง, มันก็ต้องเป็นเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นทางใต้หล่ะนะ คดีนั้นเป็นคดีใหญ่จริงๆ แถมยังเป็นตอนที่ลีโอประกาศออกมากับฉันด้วยตัวเองว่าจะเป็นจักรพรรดิคนต่อไปด้วย
เห้อ, ฉันนี่ภูมิใจในตัวเจ้านั่นจังเลยนะ
“นั่นสินะ ข้ายอมรับ ข้าไม่รู้ว่าจะมีใครที่ทั้งใจดีและแข็งแกร่งแบบเขารึเปล่า”
“งั้นหรอ….ถ้างั้นเขาก็น่าจะเป็นคนที่ไว้ใจได้สินะ”
โซเนียพึมพำแล้วคว้าถุงที่ฉันกำลังถือจากด้านข้าง แล้วหันหลังกลับมุ่งหน้าเข้าไปในตรอกที่อยู่ข้างหลัง
พอเห็นเธอทำแบบนั้นฉันก็รีบตามไปด้วยความรีบร้อนแต่โซเนียก็วางถุงลงที่พื้นอย่างกระทันหัน
แล้วจู่ๆก็พุ่งเข้ามากอดฉัน
“เห้ย!? ทำอะไรของเจ้าเนี่ย!?”
“วันนี้เวลาเที่ยงคืน ข้าจะพารีเบคก้าไปที่หอนาฬิกาที่สามารถมองเห็นได้จากประตูฝั่งใต้ พาองค์ชายลีโอนาร์ดไปที่นั่นซะ”
“!?”
ฉันประหลาดใจและดวงตาก็เบิกกว้าง
ฉันเคยรู้สึกประหลาดใจแบบนี้ล่าสุดตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะ
หลังจากที่โซเนียกระซิบประโยคนั้นเข้ามาในหูของฉัน, เธอก็แยกจากฉันอย่างอ่อนโยนแล้วหยิบถุงของเธอขึ้นมา
“โซ, โซเนีย! นี่เจ้าคือ!?”
“เข้าเชื่อในตัวเจ้านะอัลคุง ข้าจะให้เวลาเจ้า 5 นาที แค่ห้านาทีจากเวลาเที่ยงคืนโอเคไหม? ถ้าเจ้าไม่สามารถมาได้ทันเวลาข้าก็คงไม่มีทางเลือกนอกจากใช้ไพ่ตายของข้า…..ได้โปรดอย่าทำให้ข้าต้องใช้มันเลยนะโอเคไหม”
หลังจากที่เธอพูดแบบนั้น, โซเนียก็วิ่งหนีไป
ฉันยื่นมือออกไปหาเธอแต่ก็มีแค่อากาศที่ผ่านเข้ามา
มือของฉันไม่สามารถคว้าตัวโซเนียได้
จากนั้นฉันก็ค่อยๆสงบจิตใจของตัวเอง มีแค่คนเดียวที่จะพูดถึงรีเบคก้าแบบนั้น
“โซเนียเป็นนักกลยุทธ์ของรีเบคก้าหรอเนี่ย…..?”
ฉันจ้องไปยังทิศทางที่โซเนียจากไป
ฉันคาดหวังให้โซเนียเดินกลับมาหาฉันด้วยท่าทีสบายๆแต่นั่นคงจะไม่เกิดขึ้น
มันไม่ใช่คำพูดล้อเล่นของเด็กสาวร่าเริง
ฉันควรจะใช้กำลังหยุดเธอแต่ฉันกลับรู้สึกอึ้งจนไม่ทันคิดถึงเรื่องนั้น
“….ไม่มีทางเลือกนอกจากต้องไปตามนั้นสินะ”
แถมยังไม่มีร่องรอยให้สาวไปหาเธอด้วย
ฉันทำได้แค่เชื่อใจโซเนียแล้วไปตามนัด
ฉันตัดสินใจแบบนั้นแล้วรีบกลับไปที่ปราสาท