การหวนคืนสู่ยุค 70 ของเศรษฐีนีผู้มั่งคั่งร่ำรวย - บทที่ 109 คำสัญญา
บทที่ 109 คำสัญญา
บทที่ 109 คำสัญญา
เมื่อพวกเขากลับมาถึงโฮวซาน โม่เจ๋อหยวนก็ขับรถตรงไปที่บ้านของถังซวงทันที
ถังเซวี่ยและหลี่จงอี้ออกมาต้อนรับพวกเขาอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นแม่ของเธอกลับมา ใบหน้าของถังเซวี่ยก็เต็มไปด้วยความดีใจ “แม่คะ แม่กลับมาแล้ว!” ก่อนหน้านี้เธอกังวลใจเป็นอย่างมาก “แม่ หนูกลัวมากเลย กลัวว่าจะไม่ได้เจอแม่อีก”
เมื่อเห็นท่าทางกังวลของลูกสาวตัวน้อย เฮ่อหลานก็ลูบหัวเธออย่างปลอบประโลมและพูดว่า “เสี่ยวเซวี่ย แม่กลับมาแล้ว ไม่ไปไหนอีกแล้ว”
“ค่ะ”
ถังเซวี่ยอยู่ในอ้อมแขนของแม่และกอดเธอไม่ยอมปล่อย จากนั้นเธอก็เห็นจิงเจ้อหรง และยิ้มให้เขาอย่างเขินอาย “คุณจิง”
เธอรู้ว่าตัวตนของจิงเจ้อหรงนั้นไม่ธรรมดา ดังนั้นเธอจึงค่อนข้างเกร็งเมื่อเห็นเขา
เมื่อจิงเจ้อหรงเห็นถังเซวี่ย เขาก็ยิ้มอย่างใจดีและพูดว่า “สวัสดี เสี่ยวเซวี่ย”
หลี่จงอี้เป็นคนพูดจากด้านข้างว่า “เสี่ยวเซวี่ย ให้แม่ของเธอกับคนอื่น ๆ เข้าไปข้างในกันเถอะ”
“ค่ะ”
ถังเซวี่ยพยักหน้าอย่างรีบร้อนเมื่อได้ยินสิ่งนี้
หลังจากที่ทั้งหมดนั่งลง หลี่จงอี้ก็ถามว่าเกิดอะไรขึ้น
จิงเจ้อหรงอธิบายเรื่องทั้งหมด “ทั้งหมดมันเป็นความผิดของผมเองครับ คุณเฮ่อต้องมาเดือดร้อนก็เพราะผม เราสองคนถูกไล่ล่าและเกือบถูกฆ่า ดังนั้นเราเลยต้องหาที่ซ่อน และขาดการติดต่อกับทุกคนครับ โชคดีที่คนของผมมาทันเวลา สหายเสี่ยวถังและสหายโม่ก็พบเราด้วย พวกเราจึงพ้นอันตรายมาได้”
หลี่จงอี้ขมวดคิ้วเมื่อได้ยินสิ่งนี้
“มีคนต้องการไล่ล่าคุณในเมืองซู เกิดอะไรขึ้น? คุณพบคนที่บงการอยู่เบื้องหลังหรือเปล่า?”
จิงเจ้อหรงส่ายหัวเมื่อเขาได้ยินคำพูดนั้น และพูดว่า “ไม่ครับ เรากำลังสืบสวนกันอยู่ แต่คนเหล่านั้นถูกจับแล้ว เราจะสอบปากคำพวกเขาหลังจากที่เราพาพวกเขากลับมาที่เมืองเวิงซานครับ”
หลี่จงอี้พยักหน้าเมื่อเขาได้ยินคำพูดนั้น และพูดว่า “ใช่ คุณต้องสอบสวนอย่างละเอียดเลยนะ ต้องหาคนที่อยู่เบื้องหลังให้ได้ ไม่อย่างนั้นคงเกิดเรื่องแบบนี้อีกแน่ และจะลุกลามไปเรื่อย ๆ”
“ครับ ผมจะหาให้ได้ว่าใครอยู่เบื้องหลัง”
เฮ่อหลานรู้ถึงความร้ายแรงของเรื่องนี้เมื่อได้ยินทั้งสองพูดคุยกัน “ช่วงนี้คุณต้องระวังตัวไว้นะคะ ถ้าจู่ ๆ คนพวกนั้นปรากฏตัวออกมาอีก คงจะไม่ดีแน่”
เมื่อเห็นท่าทางกังวลของเฮ่อหลาน จิงเจ้อหรงก็ยกยิ้ม “ครับ ผมจะระวัง นอกจากเหรินอวี่ก็ไม่มีใครรู้ว่าผมอยู่ที่นี่แล้ว”
คนเหล่านั้นสามารถค้นหาที่อยู่ของเขาได้ แสดงว่าแผนการเดินทางของเขารั่วไหล ในเวลานั้นมีเพียงคนรอบข้างเท่านั้นที่รู้ว่าเขากำลังจะไปเมืองซู ดังนั้นต้องมีบางอย่างไม่ชอบมาพากลแน่
หลังจากพูดคุยกันสักพัก หลี่จงอี้ก็เรียกพวกเขาไปที่ห้องอาหาร
“ฉันรู้ว่าวันนี้พวกเธอจะกลับมา เสี่ยวเซวี่ยและฉันยุ่งแต่เช้าตรู่เพื่อเตรียมอาหารมื้อใหญ่ ตอนนี้ก็เริ่มมืดแล้ว เรารีบกินข้าวกันเถอะ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ จิงเจ้อหรงรีบพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นรบกวนคุณหลี่ด้วยนะครับ”
“ไม่เป็นไร รีบไปกินเถอะ”
ครั้งนี้ก็เป็นโชคร้ายของเฮ่อหลานเช่นกัน เธอบังเอิญมาพบเจอเหตุการณ์นี้ แต่โชคดีที่ทุกคนสบายดี แค่นี้ก็ดีแล้ว ดังนั้นหลี่จงอี้จึงเตรียมอาหารมากมาย ถือเป็นการเฉลิมฉลองที่พวกเขากลับมา
หลังจากรับประทานอาหารแล้ว จิงเจ้อหรงก็ปิดแขนที่บาดเจ็บของเขา
เฮ่อหลานเห็นก็รีบถามทันที “แผลยังเจ็บอยู่ไหมคะ? ตอนนี้ได้เวลาเปลี่ยนผ้าพันแผลแล้ว ทำไมคุณไม่เปลี่ยนก่อนล่ะ?”
จิงเจ้อหรงพยักหน้าเมื่อได้ยิน
ถังซวงมองตรงไป จากนั้นหันไปหาโม่เจ๋อหยวน และพูดว่า “พี่โม่ ทำไมไม่ลองพันผ้าพันแผลให้คุณจิงล่ะ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ โม่เจ๋อหยวนก็พยักหน้าตกลงโดยไม่พูดอะไรสักคำ “ก็ได้”
จิงเจ้อหรงมอบผงยาให้เด็กหนุ่ม และโม่เจ๋อหยวนก็เริ่มพันผ้าพันแผลทันที
เมื่อมองไปที่บาดแผลบนแขนของจิงเจ้อหรง เฮ่อหลานอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “แผลดีขึ้นมากจริง ๆ ค่ะ มันไม่น่ากลัวเหมือนตอนแรกแล้ว อีกไม่กี่วันคงจะหายสนิทนะคะ”
จิงเจ้อหรงยิ้มเมื่อได้ยิน “ใช่ ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณผงยาของคุณเลย”
เฮ่อหลานพูดอย่างภาคภูมิใจว่า “ทั้งหมดนี้เป็นเพราะซวงเอ๋อร์ต่างหากค่ะ”
จากนั้นจิงเจ้อหรงก็ชมเชยว่า “ใช่แล้ว ซวงเอ๋อร์น่าทึ่งจริง ๆ ไม่เพียงเก่งด้านการแพทย์เท่านั้น แต่ยังเก่งศิลปะการต่อสู้อีกด้วย และเธอยังเก่งเรื่องเครื่องจักรอีก คุณสอนเด็ก ๆ ได้ดีมากครับ” เขาพูดกับเฮ่อหลาน โดยเรียกถังซวงว่าซวงเอ๋อร์ และในขณะเดียวกันก็ชื่นชมถังเซวี่ย
ถังซวงเลิกคิ้วเมื่อเธอได้ยินคำพูดนั้น แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนักเกี่ยวกับเรื่องชื่อ
หากแต่เฮ่อหลานโบกมือและพูดว่า “มันเป็นเพราะพวกเธอเองค่ะที่เก่งขนาดนี้ ฉันไม่ได้สอนอะไรพวกเธอเลย”
ในขณะที่ทุกคนกำลังคุยกัน โม่เจ๋อหยวนก็พันผ้าพันแผลไปด้วย
และจิงเจ้อหรงก็พูดคุยเกี่ยวกับความตั้งใจของเขา
“คุณเฮ่อครับ ผมวางแผนที่จะอยู่โฮวซานอีกสองสามวัน และกลับไปที่เมืองหลังจากอาการบาดเจ็บของผมหายดีแล้ว เพื่อหลีกเลี่ยงเรื่องที่อาจเกิดขึ้นด้วยน่ะครับ”
เฮ่อหลานพยักหน้าเห็นด้วยและพูดว่า “ตกลงค่ะ คุณพักฟื้นอยู่ที่นี่ก่อนสักสองสามวันได้เลยค่ะ”
หลี่จงอี้พูดอย่างจริงใจว่า “หรือถ้าคุณจิงไม่สะดวก คุณสามารถอาศัยอยู่ที่บ้านของฉันข้าง ๆ นี่ได้นะ และฉันจะดูแลคุณอย่างดีเลย”
จิงเจ้อหรงตกลงอย่างง่ายดาย “ถ้าอย่างนั้น ขอบคุณคุณหลี่มากเลยครับ”
แต่ในที่สุดเฮ่อหลานก็พบว่ามีจักรเย็บผ้าอยู่ที่บ้าน “นี่มันมาจากไหนน่ะ?”
“แม่คะ นี่คือจักรเย็บผ้าที่พี่สาวซื้อให้ตอนที่ได้รับรางวัลที่หนึ่งในการแข่งขันน่ะค่ะ” ถังเซวี่ยบอกกับเฮ่อหลานอย่างมีความสุข
“จริงหรือ? ซวงเอ๋อร์ซื้อจักรเย็บผ้าให้แม่จริง ๆ หรือ?”
ในเวลานี้ โม่เจ๋อหยวนก็หยิบนาฬิกาออกมา มอบให้เฮ่อหลาน และพูดว่า “ป้าหลาน นี่คือของขวัญที่ผมซื้อให้ด้วยรางวัลที่หนึ่งในการแข่งของกลุ่มมัธยมปลายครับ”
เมื่อเห็นสิ่งนี้ เฮ่อหลานรีบโบกมือแล้วพูดว่า “ไม่ ๆ นี่มันแพงเกินไป ป้ารับไว้ไม่ได้หรอก”
ถังซวงเป็นคนพูดจากด้านข้างว่า “แม่คะ พี่โม่ซื้อให้หนูและเสี่ยวเซวี่ยด้วย ดังนั้นแม่ก็รับได้เหมือนกันนะ”
เฮ่อหลานชำเลืองมองถังซวงด้วยความตำหนิ และพูดว่า “ยัยหนู ลูกรับของขวัญราคาแพงแบบนี้จากเสี่ยวโม่ได้ยังไง?”
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ คราวหน้าเราก็ซื้อของขวัญให้พี่โม่ด้วยไง”
เมื่อได้ยินสิ่งที่ลูกสาวคนโตพูด ในที่สุดเฮ่อหลานก็ยอมรับนาฬิกา และในขณะเดียวกันเธอก็มีความสุขมากกับผลการแข่งขันของลูกสาว “ลูกเก่งมาก ลูกได้ไปแข่งขันระดับมณฑลด้วย แถมยังได้ที่หนึ่งทุกครั้ง ยอดเยี่ยมจริง ๆ”
แม้แต่จิงเจ้อหรงยังกล่าวว่า “ใช่ เก่งมากจริง ๆ ได้ยินมาว่าการแข่งขันคณิตศาสตร์นี้ดูเหมือนจะเป็นการคัดเลือกคนที่มีความสามารถพิเศษด้วยนะ” เขามีแหล่งข่าวของตัวเองอยู่ ดังนั้นเขาจึงรู้มาบ้าง เพียงแต่เขาไม่ค่อยให้ความสำคัญกับเรื่องการศึกษาเท่าไหร่ รู้แค่คร่าว ๆ เท่านั้น
ถังซวงพยักหน้าและพูดว่า “ใช่ค่ะ เป็นการคัดเลือกคนที่มีความสามารถเข้าในกองทัพ แต่ฉันกับพี่โม่ปฏิเสธไป เพราะเรามีแผนสำหรับอนาคตแล้วค่ะ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ จิงเจ้อหรงเลิกคิ้วด้วยความประหลาดใจ นี่เป็นโอกาสที่หายากมากสำหรับใครหลายคน ไม่คิดเลยว่าทั้งคู่จะปฏิเสธ แต่เมื่อคิดถึงความสามารถของโม่เจ๋อหยวนกับถังซวง เขาก็รู้สึกว่าการปฏิเสธคำเชิญไปก็คงไม่ส่งผลอะไรมาก ยังไงซะอนาคตของเด็กสองคนนี้ก็ต้องสดใสแน่
“เป็นเรื่องดีแล้วที่พวกเธอมีความฝันของตัวเอง ถ้ามีอะไรที่ฉันสามารถช่วยได้ในอนาคต พวกเธอบอกฉันได้เลยนะ ฉันจะช่วยพวกเธออย่างเต็มที่”
ถังซวงมองไปที่จิงเจ้อหรงอย่างประหลาดใจเพราะไม่คาดคิดว่าจะได้ยินคำพูดนั้นจากเขา สำหรับคนอย่างเขาในเมื่อสัญญาแล้วไม่คืนคำอย่างแน่นอน
แม้แต่โม่เจ๋อหยวนก็มองไปที่จิงเจ้อหรงด้วยความประหลาดใจเช่นกัน
ด้านเฮ่อหลานก็ไม่ได้คิดมากกับเรื่องนี้ ท้ายที่สุดความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนย่อมต้องช่วยเหลือกันอย่างเต็มที่ เธอจึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “คุณจิงคะ ถ้าซวงเอ๋อร์และเสี่ยวโม่มีปัญหาอะไร ฉันจะไปหาคุณทันทีเลยค่ะ”