การหวนคืนสู่ยุค 70 ของเศรษฐีนีผู้มั่งคั่งร่ำรวย - บทที่ 123 เล่าเรื่องในอดีตให้ฟัง
บทที่ 123 เล่าเรื่องในอดีตให้ฟัง
บทที่ 123 เล่าเรื่องในอดีตให้ฟัง
เมื่อได้ยินคำพูดของเฮ่อจื่อกุย เฮ่อหลานก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะและพูดว่า “ขอบคุณนะคะ พี่เฮ่อ”
เมื่อเรื่องเครียด ๆ จบลงแล้ว เรื่องที่จะพูดต่อไปนี้จะราบรื่นมากขึ้น “ยังไงก็เถอะค่ะ คุณจิงไม่ใช่สามีของฉัน ฉันเพิ่งหย่าได้ไม่นาน และอาศัยอยู่ตามลำพังกับลูกสาวสองคนเท่านั้นค่ะ” เฮ่อหลานเริ่มแนะนำถังซวงกับถังเซวี่ย และในที่สุดก็แนะนำโม่เจ๋อหยวนให้พวกเขา
จิงเจ้อหรงได้ยินเฮ่อหลานพูดแบบนั้นก็ถอนหายใจด้วยความเสียใจ เนื่องจากเขาต้องการที่จะเป็นน้องเขยของเฮ่อจื่อกุย แต่น่าเสียดายที่ยังไม่ถึงเวลา ถึงอย่างนั้นชายหนุ่มก็ยังดูสุขุมมาก เขาแนะนำตัวเองกับเฮ่อจื่อกุยอีกครั้ง และสุดท้ายก็พูดว่า “ตอนแรกเราก็ว่าจะไปหาพวกคุณเหมือนกัน เพราะการมาถึงของคุณ ทำให้คนอื่น ๆ พูดถึงเรื่องนี้ แล้วเมื่อไม่นานมานี้ก็มีคนต้องการแต่งงานกับคุณเฮ่อหลานเพราะการมาของพวกคุณด้วยน่ะครับ”
“อะไรนะ…”
ทั้งเฮ่อจื่อกุยและลูกชายของเขารู้สึกประหลาดใจ แต่พวกเขาก็ไม่อยากจะเชื่อ
จิงเจ้อหรงพูดถึงเรื่องของสือจีสูอีกครั้ง “ชายคนนี้ทำความชั่วมามาก โชคดีที่เราค้นพบเรื่องชั่วช้าของเขาได้ทันเวลา ไม่อย่างนั้นผมก็ไม่รู้ว่าเรื่องราวจะเป็นยังไงต่อ”
ทั้งถังซวงและโม่เจ๋อหยวนอดไม่ได้ที่จะมองไปที่จิงเจ้อหรงอย่างสงสัย
สิ่งที่จิงเจ้อหรงพูดตอนนี้ฟังดูแปลก ๆ ไม่เพียงพูดถึงความสามารถของเขาเท่านั้น แต่ยังแสดงถึงความรู้สึกของเขาที่มีต่อเฮ่อหลานด้วย เขาแนะนำเฮ่อจื่อกุย และในขณะเดียวกันก็เตือนเฮ่อจื่อกุยกับลูกชายของเขาว่าอย่าทำตัวโดดเด่นจนเกินไป เพราะที่นี่ไม่ใช่ก่างเฉิง หากทำตัวโอ้อวดเกินไป อาจประสบปัญหาได้
ทั้งเฮ่อจื่อกุยและลูกชายของเขาเป็นคนฉลาด พวกเขาเข้าใจทันทีว่าจิงเจ้อหรงหมายถึงอะไร ในขณะเดียวกันทั้งสองก็มองเขาอย่างพิจารณา
ในตอนแรกพวกเขาคิดว่าผู้ชายคนนี้เป็นสามีของเฮ่อหลาน จึงถือเป็นครอบครัวเดียวกันกับเขาด้วย แต่ปรากฏว่ามันไม่ใช่แบบนั้น พวกเขาจึงต้องจับตาดูชายคนนี้อย่างใกล้ชิด เพราะการแต่งงานครั้งก่อนของเฮ่อหลานนั้นทำเธอเจ็บปวดมาก ดังนั้นหากมองหาคนใหม่จะมองเพียงผิวเผินไม่ได้
จิงเจ้อหรงสังเกตเห็นสายตานั้นได้ในทันที และยอมให้พวกเขามองอย่างไม่ตำหนิหรือโกรธอะไร
เฮ่อหลานกวักมือเรียกลูกสาว ให้ถังซวงกับถังเซวี่ยสวัสดีญาติทั้งสอง
สองพี่น้องก้าวไปข้างหน้าอย่างสง่างามและเอ่ยว่า “สวัสดีค่ะคุณลุง สวัสดีค่ะพี่ชาย”
เมื่อเห็นถังซวงกับถังเซวี่ยเอ่ยทักทาย เฮ่อจื่อกุยพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “สวัสดี” หลังจากนั้น เขาก็หยิบของขวัญอวยพรที่เตรียมไว้ออกมาอย่างรวดเร็ว
แต่ทั้งถังซวงกับถังเซวี่ยไม่รับของ พวกเธอมองไปที่เฮ่อหลานอย่างต้องการคำอนุญาต
เมื่อเฮ่อหลานเห็นสิ่งที่เฮ่อจื่อกุยนำออกมา เธอก็รีบปฏิเสธทันที “พี่เฮ่อคะ สิ่งนี้มันมีค่าเกินไป เรารับไว้ไม่ได้หรอกค่ะ”
เฮ่อจื่อกุยอดไม่ได้ที่จะยัดของใส่มือถังซวงและถังเซวี่ย
“นี่เป็นเพียงของเล็กน้อยเท่านั้นเอง ซวงเอ๋อร์กับเสี่ยวเซวี่ยเก็บไว้เถอะนะ ไว้ลุงเจออะไรดี ๆ อีก ลุงจะเอามาให้อีก” เขามีลูกชายคนเดียวคือเฮ่อเจียรุ่ย ไม่เคยมีลูกสาวมาก่อน เพราะแบบนั้นพอมาเจอเด็กสาวที่หน้าตาน่ารักน่าเอ็นดูทั้งสองเช่นนี้ แน่นอนว่าเขาย่อมเอ็นดูพวกเธอ
แม้แต่เฮ่อเจียรุ่ยก็อดไม่ได้ที่จะพูดเมื่อเห็นสองพี่น้อง “พวกเธอเป็นลูกสาวของอาเฮ่อ และจากนี้ไปพวกเธอก็คือน้องสาวของฉัน เป็นครั้งแรกเลยที่ฉันมีน้องสาว”
ถังซวงมองไปที่จี้หยกในมือของเธอ จากนั้นมองไปที่สายตาจริงใจเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักของเฮ่อจื่อกุยกับเฮ่อเจียรุ่ย และในที่สุดก็ยอมรับมัน
เมื่อเห็นว่าพี่สาวของเธอยอมรับ ถังเซวี่ยก็ยอมรับเช่นกัน
และเฮ่อจื่อกุยยังเตรียมของขวัญไว้สำหรับโม่เจ๋อหยวนด้วยเช่นกัน มันเป็นนาฬิกาจากก่างเฉิง
ครั้งนี้สองพ่อลูกมาเพราะไม่รู้ว่าบ้านอาเล็กเป็นอย่างไรบ้าง และที่บ้านมีกี่คน จึงเตรียมของไว้หลายอย่าง
โม่เจ๋อหยวนไม่คาดคิดว่าเขาจะได้ของขวัญด้วย ดังนั้นจึงรีบปฏิเสธ “คุณลุงครับ ของผมไม่ต้องหรอกครับ”
“เร็วเข้า รับไว้เถอะ เธอรุ่นเดียวกับซวงเอ๋อร์กับเสี่ยวเซวี่ย ถือได้ว่าเธอเป็นหลานชายของฉันด้วย” เมื่อตอนที่เฮ่อหลานแนะนำโม่เจ๋อหยวน เธอยังบอกด้วยว่าเด็กหนุ่มคนนี้ช่วยพวกเธอไว้มาก ดังนั้นพวกเขาจึงอยากจะขอบคุณเด็กหนุ่มเช่นกัน
เมื่อเห็นว่าโม่เจ๋อหยวนไม่เคลื่อนไหว เฮ่อจื่อกุยจึงคิดใช้อุบายเก่าของเขาอีกครั้งเพื่อให้นาฬิกาแก่โม่เจ๋อหยวน จากนั้นถอนหายใจและมองไปที่เฮ่อหลานแล้วถามว่า “น้องหลาน อาเล็กถูกฝังอยู่ที่หมู่บ้านเถาฮวาใช่ไหม? ฉันอยากจะแสดงความเคารพต่อเธอหน่อยน่ะ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เฮ่อหลานพยักหน้าด้วยดวงตาที่แดงก่ำ และพูดว่า “ใช่ค่ะ แม่ถูกฝังอยู่ที่หมู่บ้านเถาฮวา แต่ตอนนี้มันดึกแล้ว ไว้ฉันจะพาไปที่นั่นพรุ่งนี้เช้านะคะ”
“ได้สิ”
เมื่อเห็นเฮ่อจื่อกุยและคนอื่น ๆ พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องน่าเศร้าเช่นนี้ โม่เจ๋อหยวนก็ไม่ปฏิเสธของขวัญอีกต่อไป ดังนั้นเขาจึงรับนาฬิกามา
หลังจากนั้นพวกเขาก็นั่งลงคุยกันอีกครั้ง และเล่าเรื่องของตัวเอง
เฮ่อจื่อกุยพูดคุยเกี่ยวกับการแยกจากของเขากับคุณยายเฮ่อ
“จริง ๆ ตอนนั้นฉันยังไม่เกิดเลย ในรุ่นพ่อคุณปู่มีลูกแค่สองคน คือเขากับอาเล็กง”
“เมื่อเกิดสงคราม คุณปู่ คุณย่าก็พากันหนี แต่ใครจะคิดว่าอาเล็กจะพลัดพรากจากพ่อและคนอื่น ๆ ระหว่างทาง ขณะนั้นเกิดความวุ่นวายขึ้นทุกแห่งหน ปู่กับพ่อของตามหาตามสถานที่ที่อาเล็กหายไปเป็นเวลานาน แต่เมื่อพวกเขาพบเบาะแส กองทัพศัตรูก็ใกล้เข้ามา พวกเขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องออกไปกับคนอื่น ๆ เพื่อหลบหนี และจากนั้นเราก็ระหกระเหินไปอยู่ก่างเฉิงจนถึงตอนนี้”
“ที่จริงหลังจากที่ฉันเกิด พ่อกับปู่ก็กลับมาตามหาอาเล็กบ่อยครั้ง แต่ก็ไม่พบเธอเลย”
“คุณย่าคิดถึงอาเล็กมาก และสุดท้ายย่าก็ตรอมใจ หลังจากย่าจากไป สุขภาพของปู่ก็ไม่ดีเหมือนเดิม ต่อมาพ่อเองก็ออกตามหาอาเล็กตลอด ไม่เคยย่อท้อแม้จะผ่านไปหลายปี แม้ว่าเขาจะมาที่นี่ไม่ได้แต่เขาก็ขอให้คนช่วยเสมอ และไม่นานมานี้ ในที่สุดฉันก็บังเอิญได้เบาะแสของอาเล็กมา แต่พ่อของฉันก็อายุมากแล้ว ดังนั้นครั้งนี้ฉันกับเจียรุ่ยจึงมาที่นี่แทน น่าเสียดาย… น่าเสียดายที่เธอไม่อยู่บนโลกนี้แล้ว”
เมื่อคิดถึงความปรารถนาสุดท้ายของคุณปู่กับคุณย่า และความพากเพียรของพ่อของเขา เฮ่อจื่อกุยก็อดไม่ได้ที่จะน้ำตาไหล
ดวงตาของเฮ่อหลานเองก็เป็นแดงก่ำเช่นกัน
เธอไม่คาดคิดว่าครอบครัวของแม่จะตามหาแม่ตลอดเวลา แต่เมื่อครอบครัวพบแม่ แม่ของเธอก็จากไปแล้ว เธอยังจำได้ว่าตอนเธอยังเด็ก แม่ของเธอมักจะมองท้องฟ้าอยู่เสมอ ในตอนนั้นเธอถามแม่ว่าทำไมแม่ต้องมองมัน แม่ก็ตอบมาว่าแค่เหงา คิดถึงพ่อ แม่ และพี่ชาย
ถังซวงกับถังเซวี่ยรู้สึกไม่สบายใจที่เห็นแม่ของพวกเธอเศร้า พวกเธอไม่เคยเจอคุณยายเฮ่อตั้งแต่พวกเธอเกิดมา พวกเธอจึงไม่รู้อะไรเกี่ยวกับคุณยายเฮ่อเลย
ในท้ายที่สุด เฮ่อหลานก็จัดการอารมณ์ของตัวเอง และเล่าเรื่องของคุณยายเฮ่อให้พวกเขาฟัง
“เมื่อตอนที่แม่ยังเด็ก เธอเดินทางไปทั่วโลกทั้งที่ยังไม่ได้แต่งงาน และมาตั้งรกรากที่หมู่บ้านเถาฮวา ตอนนั้นเธออายุสามสิบแล้ว คนในหมู่บ้านเดิมต้องการเป็นแม่สื่อให้เธอ แต่แม่ไม่ยอม ต่อมาแม่ก็รับเลี้ยงฉัน ฉันถูกเลี้ยงดูมาโดยลำพัง เราแม่ลูกต่างพึ่งพาอาศัยกัน ชีวิตของเราก็ไม่ได้เลวร้ายนัก แต่เมื่อฉันอายุได้สิบแปดปี แม่ของฉันก็เสียชีวิตลงอย่างกะทันหัน เพราะจู่ ๆ เธอก็ป่วยขึ้นมา และฉันก็แต่งงานอย่างเร่งรีบเช่นกัน จนกระทั่งหย่าร้างเมื่อไม่นานมานี้”
เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เฮ่อหลานอดไม่ได้ที่จะร้องไห้ “ตอนที่อาศัยอยู่กับแม่ มันเป็นช่วงเวลาที่มีความสุขที่สุด แต่น่าเสียดายที่ฉันไม่สามารถย้อนกลับไปได้ และไม่มีโอกาสจะได้พบเธออีกแล้ว”
เมื่อเฮ่อจื่อกุยได้ยินเกี่ยวกับชีวิตของอาเล็ก เขาก็ถอนหายใจเช่นกัน
เฮ่อเจียรุ่ยอดคาดเดาไม่ได้ “ที่ผ่านมาตอนอาเล็กยังเด็ก อาเล็กเองก็ตามหาปู่กับคนอื่น ๆ เหมือนกันใช่ไหมครับ?”
“น่าจะเป็นแบบนั้นนะคะ”
เฮ่อหลานเช็ดน้ำตาของเธอแล้วพยักหน้า “เมื่อตอนที่ฉันยังเด็ก ฉันเคยได้ยินบางอย่างจากแม่เกี่ยวกับวัยเด็กของเธอ เธอเดินทางไปทั่วทุกแห่งเพื่อตามหาใครสักคน”
“ทำไม…”
ดวงตาของเฮ่อจื่อกุยแดงก่ำอีกครั้ง เขารู้สึกอึดอัดขึ้นมา
ในขณะนี้เอง ป้าหวงก็ตะโกนที่ข้างนอกว่า “อาหลาน รีบพาคุณจิงและคุณเฮ่อไปกินอาหารเย็นกันเถอะ ที่บ้านป้าพร้อมแล้ว”