การหวนคืนสู่ยุค 70 ของเศรษฐีนีผู้มั่งคั่งร่ำรวย - บทที่ 137 ฝูเซียงเซิง
บทที่ 137 ฝูเซียงเซิง
บทที่ 137 ฝูเซียงเซิง
เมื่อถังซวงและคนอื่น ๆ มาถึงร้านอาหาร อาหารก็ถูกวางขึ้นโต๊ะทันที
“ทุกคนคงหิวแล้ว รีบกินข้าวก่อนเถอะ”
ถังซวงเพิ่งถามถังเซวี่ย และรู้ว่าพวกเขายังไม่ได้กินอะไรกันมา ดังนั้นเธอจึงรีบหยิบน่องไก่ให้น้องสาว แล้วหยิบอีกชิ้นให้เฮ่อหลาน
เฮ่อหลานรู้สึกเขินอายเล็กน้อยเมื่อเห็นการกระทำของถังซวง ไก่ตัวหนึ่งมีสองน่องเท่านั้นเอง
แต่จิงเจ้อหรงพูดด้วยรอยยิ้ม “คุณเฮ่อหลาน ซุปไก่เป็นอาหารจานเด่นของร้านอาหารนี้เลย คุณควรรีบลองชิมนะ แล้วเต้าหู้ไข่ปูนี้ก็อร่อยมากเช่นกัน” ขณะที่เขาพูด เขาก็ใช้ช้อนกลางตักใส่ถ้วยให้เฮ่อหลาน และมอบให้เธอ “ลองชิมดู อร่อยนะ”
ที่นี่ไม่ได้มีแต่พวกเธอแต่มีเจียงหงเหลียงกับซุนหงอยู่ด้วย ทำให้เฮ่อหลานรู้สึกเขินอายเล็กน้อยเมื่อเห็นการกระทำตรงไปตรงมาของจิงเจ้อหรง แต่อีกฝ่ายกลับไม่รู้สึกอะไรเลยด้วยซ้ำ เธอจึงไม่ปฏิเสธและพูดอย่างแผ่วเบาว่า “ค่ะ ฉันจะลองดู”
เฮ่อจื่อกุยอดไม่ได้ที่จะมองที่จิงเจ้อหรง หมอนี่เคยอยู่ทุกหนทุกแห่งเลยหรือไง จากนั้นเขาก็พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “คุณจิง คุณกินของตัวเองเถอะครับ ถ้าน้องอาหลานอยากกินอะไร เดี๋ยวซวงเอ๋อร์ เสี่ยวเซวี่ย กับเจียรุ่ยจะช่วยเธอเอง พวกเราไม่รบกวนคุณดีกว่า”
จิงเจ้อหรงตักเต้าหู้ไข่ปูให้เฮ่อจื่อกุยชามหนึ่งด้วยรอยยิ้มและพูดว่า “พี่เฮ่อเองก็ลองชิมสิครับ มันรสชาติดีจริง ๆ นะครับ”
เมื่อเห็นว่าจิงเจ้อหรงตักให้ตนด้วย สิ่งที่เฮ่อจื่อกุยต้องการจะพูดก็จุกอยู่ในคอของเขา และในที่สุดเขาก็รับมันมาด้วยความไม่เต็มใจ และพูดว่า “คุณเองก็รีบกินเถอะ เดี๋ยวผมกินเอง” แต่เมื่อมีคนตักส่งให้ แน่นอนว่าเขาต้องชิม ซึ่งไม่ต้องพูดถึงเลยว่ารสชาติมันดีจริง ๆ
เจียงหงเหลียงและซุนหงมองภาพตรงหน้าด้วยความประหลาดใจ
พวกเขาสองคนรู้จักจิงเจ้อหรงมานาน แม้ว่าบุคคลนี้จะยิ้มแย้ม แต่อารมณ์ของเขาคงไม่ดีอย่างที่แสดงออกมาอย่างแน่นอน ท้ายที่สุดในฐานะนายคนที่สองของตระกูลจิง สถานะของเขานั้นไม่ธรรมดา ไม่ต้องพูดถึงความสามารถ จึงไม่แปลกที่มีหลายคนต้องการจะประจบเขา แต่นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเห็นจิงเจ้อหรงเอาใจคนอื่นก่อน เขาไม่เคยเป็นแบบนี้แม้แต่กับเจียงหงเหลียงเลย นี่… น่าแปลกใจจริง ๆ
เมื่อได้เห็นคนสองสามคนตรงหน้าพวกเขาไม่แสดงท่าทีอะไร ดูเหมือนว่านี่จะเป็นเรื่องปกติที่จิงเจ้อหรงมักจะทำ ดังนั้นพวกเขาทั้งสองจึงไม่พูดอะไร ทำเพียงกินข้าวอย่างเงียบ ๆ
และในระหว่างที่ทาน จิงเจ้อหรงก็ใช้ตะเกียบหยิบอาหารให้เฮ่อหลานบ่อย ๆ แต่ตัวเขาเองกลับยังไม่ใช้ตะเกียบทานอาหารอะไรเลย
เฮ่อหลานที่เห็นอย่างนั้นก็รู้สึกเขินอายเล็กน้อย และรีบพูดกับชายหนุ่มด้วยเสียงแผ่วเบาว่า “คุณจิง คุณกินบ้างเถอะค่ะ ฉันอิ่มแล้ว”
ในตอนท้าย จิงเจ้อหรงหยิบฝูหรงซู*[1] อีกชิ้นให้เฮ่อหลาน และพูดว่า “ของหวานนี้ถึงจะหวานก็จริง แต่ไม่เลี่ยนเลย คุณน่าจะชอบ ลองดูนะครับ” เมื่อจิงเจ้อหรงหันไปเห็นแววตาของเฮ่อหลาน เขาก็รีบพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ก็ได้ ๆ เดี๋ยวผมจะกินครับ” หลังจากพูดจบ เขาก็เริ่มกินอย่างรวดเร็ว
เมื่อเห็นเช่นนี้ เฮ่อหลานก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
แต่ในขณะนี้ เจียงหงเหลียงและซุนหงกลับไม่เข้าใจอะไรเลย
ท่าทีที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงของจิงเจ้อหรงที่มีต่อเฮ่อหลานนั้นทุกคนเห็นได้อย่างชัดเจน ไม่ต้องพูดถึงว่าตัวเขาเองไม่ต้องการปกปิดมันด้วยซ้ำ เพราะจิงเจ้อหรงต้องการให้ทุกคนรู้อยู่แล้ว
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เจียงหงเหลียงก็มองไปที่จิงเจ้อหรงอย่างใช้ความคิด เขาไม่คาดคิดจริง ๆ ว่าฤดูใบไม้ผลิ*[2] ของนายน้อยคนที่สองตระกูลจิงจะมาถึงในวัยนี้ และ… สตรีคนนั้นก็เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวที่มีลูกสาวถึงสองคน เขาคิดไม่ออกเลยว่าถ้าคนในปักกิ่งรู้เข้าจะมีปฏิกิริยาอย่างไร
แต่เมื่อพวกเขานึกถึงความสามารถของถังซวงแล้ว เจียงหงเหลียงรู้สึกว่าหากเป็นเขาก็คงเต็มใจที่จะมีลูกสาวที่น่าทึ่งเช่นนี้เช่นกัน
เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เจียงหงเหลียงก็อดสงสัยไม่ได้ว่ามีชายโสดที่โดดเด่นคนไหนเหลืออยู่ในตระกูลเจียงอีกหรือไม่ แต่หลังจากที่เขาสำรวจสมาชิกในตระกูลเจียงทั้งหมดแล้ว ชายหนุ่มก็ถอนหายใจอย่างสิ้นหวัง จริงอยู่ที่ตระกูลเขามีชายโสดอยู่หลายคน แต่เมื่อเทียบกับจิงเจ้อหรงแล้ว ก็ไม่มีหวังเลย
มื้ออาหารจบลงท่ามกลางความคิดที่แตกต่างกันของทุกคน ถึงอย่างนั้นเจียงหงเหลียงก็ไม่ลืมจุดประสงค์ในการมาที่นี่
“สหายถังซวง คนของเราจะมาถึงในวันพรุ่งนี้ ฉันขอรบกวนเธอสอนเขาหน่อยนะ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ถังซวงก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “รองเจียงคะ นี่คือสิ่งที่ฉันควรทำอยู่แล้วค่ะ เมื่อเขามาถึง ฉันจะสาธิตการปรุงยาให้เขาดูเองค่ะ”
“ตกลง งั้นฉันรบกวนเธอด้วยนะ”
หลังจากกินและพูดคุยกันเสร็จแล้ว เจียงหงเหลียงกับซุนหงก็กลับไป
ระหว่างทาง ซุนหงแทบไม่เชื่อสายตาตัวเองจึงพึมพำขึ้น “นี่… จิงเจ้อหรงชอบเฮ่อหลานจริง ๆ งั้นหรือ? เป็นไปได้ยังไง?”
เจียงหงเหลียงชำเลืองมองที่ซุนหง และพูดว่า “มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้? สหายเฮ่อหลานไม่เพียงสวยเท่านั้น แต่ยังมีมารยาทดี งดงามอ่อนช้อย อย่างที่ฉันพูดไปในระหว่างมื้ออาหาร เธอยังเป็นผู้เชี่ยวชาญงานปักอีกด้วย แล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเธอมีลูกสาวอย่างถังซวง ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่จิงเจ้อหรงจะชอบเธอ”
“แต่…”
ซุนหงไม่สามารถลบล้างความสับสนได้ในทันที ที่เขาไม่อยากจะเชื่อเพราะเขาเคยเห็นเฮ่อหลานมาก่อน แต่ชายหนุ่มก็สามารถเข้าใจได้ เมื่อคิดถึงรูปลักษณ์ของเฮ่อหลานในตอนนี้ “ใช่ ตอนนี้เฮ่อหลานสวยมาก และลูกสาวของเธอก็เก่งมากด้วย พวกเธอมีเสน่ห์มากจริง ๆ”
เจียงหงเหลียงที่ได้ยินอย่างนั้น จู่ ๆ ก็เกิดความอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา แต่เขากังวลเกี่ยวกับยาทั้งสามมากกว่า
“ยังไงก็เถอะ ฉันได้ยินมาว่าผู้อำนวยการโรงพยาบาลกลางกำลังช่วยถังซวงในการยื่นขอสิทธิบัตรสำหรับยาแก้อักเสบ เมื่อเอกสารเสร็จสิ้น ผู้คนจะรู้จักชื่อของเด็กสาวตัวน้อยมากขึ้น เธอเก่งมากจริง ๆ ทุกคนควรรับรู้ถึงความสามารถของเธอ”
เมื่อเห็นรอยยิ้มของเจียงหงเหลียง ซุนหงก็อดไม่ได้ที่จะพยักหน้าด้วยรอยยิ้มและพูดว่า “ใช่ ถังซวงโดดเด่นจริง ๆ”
เวลาเดียวกับที่เจียงหงเหลียงพูดคุยเรื่องนี้กับซุนหง ถังซวงก็ได้รับการแจ้งข่าวจากฉวี่ติงหยวนเช่นกัน
เมื่อถังซวงไปโรงพยาบาลในวันรุ่งขึ้น ฉวี่ติงหยวนบอกกับเธออย่างมีความสุขว่า “สหายถังซวง เอกสารได้รับการอนุมัติแล้ว และตอนนี้ทุกคนรู้ว่าเธอได้พัฒนายาแก้อักเสบนี้ แต่ฉันยังไม่รู้ว่ายานี้จะใช้ได้เมื่อไหร่”
“ผอ.ฉวี่ไม่ต้องกังวลไปนะคะ คนจากโรงงานผลิตยาจะมาที่นี่ในวันนี้ หลังจากที่ฉันคุยกับพวกเขาแล้ว การผลิตยานี้ก็จะเริ่มขึ้นทันที ฉันเชื่อว่ามันจะถูกนำไปใช้ในไม่ช้าค่ะ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉวี่ติงหยวนก็รู้สึกโล่งใจ
“ตกลง ฉันจะรอการเปิดตัวยาแก้อักเสบของเธอนะ”
หลังจากคุยกับฉวี่ติงหยวนแล้ว ถังซวงก็ไปฝังเข็มให้ผู้เฒ่าฉี แล้วกลับบ้าน ซึ่งในไม่ช้าเจียงหงเหลียง และซุนหงก็พาชายวัยกลางคนมาที่นี่
“สหายถังซวง คนที่บอกก่อนหน้านี้เขามาถึงแล้ว”
ฝูเซียงเซิงมองไปยังเด็กสาวตรงหน้า และสงสัยว่าเขามองผิดหรือได้ยินผิดไปหรือไม่ เด็กสาวตัวเล็ก ๆ คนนี้น่ะหรือที่พัฒนายาทั้งสามชนิดนั้นจริง ๆ เธอเด็กเกินไปหรือเปล่า แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ผ่านอะไรมาเยอะ จึงไม่แสดงออกใด ๆ แต่มองไปที่ถังซวงด้วยความชื่นชมและพูดว่า “สวัสดีสหายถัง ฉันชื่อฝูเซียงเซิง บุคลากรด้านการวิจัยและพัฒนาของโรงงานผลิตยา ฉันขอรบกวนเธอสักครู่นะ”
[1] ฝูหรงซู [芙蓉酥] เป็นของหวาน แป้งห่อถั่วแดง ตัดแต่งอย่างพายกรอบ ทำเป็นรูปดอกฝูหรง
[2] ฤดูใบไม้ผลิ หมายถึง เวลาริเริ่มทำอะไรดีที่สุดในหนึ่งปี คือช่วงฤดูใบไม้ผลิ