การหวนคืนสู่ยุค 70 ของเศรษฐีนีผู้มั่งคั่งร่ำรวย - บทที่ 144 ไปปักกิ่ง
บทที่ 144 ไปปักกิ่ง
บทที่ 144 ไปปักกิ่ง
เมื่อได้ยินคำพูดของหลี่จงอี้ จิงเจ้อหรงก็พยักหน้าทันที “ได้ครับ พรุ่งนี้ผมจะจัดการให้เอง”
“ขอโทษที่รบกวนด้วยนะ”
จิงเจ้อหรงโบกมืออย่างรวดเร็ว “ลุงหลี่อย่าพูดอย่างนั้นเลยครับ ผมเองก็ไม่ได้เจอเสี่ยวโม่นานแล้ว คิดถึงเขาอยู่เหมือนกัน”
ถังซวงขมวดคิ้วเล็กน้อย
ช่วงนี้เธอยุ่งอยู่กับการช่วยผู้เฒ่าฉีชำระล้างพิษและไม่มีเวลาติดต่อโม่เจ๋อหยวนเลย แต่เมื่อคิดจะติดต่อไปกลับติดต่อเขาไม่ได้ซะอย่างนั้น “คุณปู่คะ พี่โม่ได้ส่งข้อความหลังจากที่เขาไปถึงปักกิ่งมาบ้างไหมคะ?”
“ไม่เลย เสี่ยวโม่รีบจากไปและบอกลาพวกเราอย่างเร่งรีบ แต่เขาบอกชัดเจนว่าจะกลับมาให้เร็วที่สุด และเขาจะอยู่ที่นี่ต่อ”
ถังซวงพยักหน้าเมื่อได้ยินแบบนั้น และพูดว่า “ใช่ค่ะ พี่โม่บอกว่าเขาจะอยู่ที่นี่จนจบมัธยมปลาย เพราะอย่างนั้นเขาจะกลับมาอีกแน่นอน”
“ใช่ แต่ฉันกังวลน่ะ เสี่ยวโม่ไม่ได้ติดต่อกลับมาหลายวันแล้ว โทรไปก็ไม่มีใครรับสายอีก”
ตอนนี้ถังซวงก็เริ่มกังวลเช่นกัน
เมื่อเห็นใบหน้าเคร่งเครียดของถังซวง จิงเจ้อหรงจึงรีบพูดขึ้นว่า “ไม่ต้องห่วงครับ พรุ่งนี้ผมจะสอบถามให้เอง เสี่ยวโม่กลับปักกิ่งเพื่อไปพบครอบครัวของเขา ดังนั้นเขาต้องสบายดีแน่นอน”
จิงเจ้อหรงเก็บเรื่องนี้ไว้ในใจและเริ่มติดต่อผู้คนในปักกิ่งในเช้าวันรุ่งขึ้นเพื่อสอบถามเกี่ยวกับสถานการณ์ของตระกูลโม่ แต่คราวนี้ใช้เวลานานจนเขารู้สึกประหลาดใจมากเมื่อได้ยินข่าว
“ลุงหลี่ ซวงเอ๋อร์ ผมสอบถามเรื่องเสี่ยวโม่แล้ว เขา…ดูเหมือนจะได้รับบาดเจ็บสาหัส”
“อะไรนะ…”
ถังซวงยืนขึ้นโดยไม่รู้ตัวและรีบถามว่า “พี่โม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสหรือคะ? เขาบาดเจ็บสาหัสได้ยังไง?”
หลี่จงอี้ก็กังวลไม่แพ้กัน “เสี่ยวโม่มีทักษะการต่อสู้ที่แข็งแกร่งมาก เขาจะได้รับบาดเจ็บได้ยังไง?”
แม้แต่เฮ่อหลานและถังเซวี่ยก็ยังแสดงท่าทีกังวล
จิงเจ้อหรงส่ายหัวเล็กน้อยอย่างอับจนหนทาง “ผมก็ไม่รู้เกี่ยวกับรายละเอียดมากนัก ตระกูลโม่ปิดข่าวทุกช่องทาง ครั้งนี้ต้องใช้ความพยายามมากทีเดียว”
“ไม่แปลกใจเลยที่เสี่ยวโม่ไม่ติดต่อเรา เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสจึงไม่มีแรงที่จะติดต่อเรากลับสินะ” หลี่จงอี้กังวลมาก แล้วถามว่า “แล้วหยานซงล่ะ? หยานซงสบายดีไหม?”
จิงเจ้อหรงส่ายหัวและพูดว่า “ผู้เฒ่าโม่น่าจะสบายดีครับ ไม่อย่างนั้นคงมีข่าวออกมาแล้ว แต่ตอนนี้สถานการณ์ในตระกูลโม่ตึงเครียดมาก ทุกคนล้วนกังวลเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บของเสี่ยวโม่มากครับ”
“เสี่ยวโม่ได้รับบาดเจ็บได้ยังไง? เขาเพิ่งกลับบ้านไปหาครอบครัวนะ?” เฮ่อหลานไม่เข้าใจว่าทำไมโม่เจ๋อหยวนถึงได้รับบาดเจ็บได้
แต่จิงเจ้อหรงรู้บางอย่าง ดังนั้นเขาจึงพูดเพียงสั้น ๆ
“เป็นฝีมือของตระกูลที่ไม่ถูกกับตระกูลโม่ แต่เป้าหมายที่แท้จริงของพวกเขาคือผู้เฒ่าโม่ เป็นเพราะเสี่ยวโม่ปกป้องปู่ของเขาจนได้รับบาดเจ็บ”
“เฮ้อ… สถานการณ์ในปักกิ่งนี่เลวร้ายเกินไปแล้ว”
หลี่จงอี้ผู้มีประสบการณ์ตรง ดังนั้นเขาจึงรู้ดีว่าคนบางคนสามารถทำทุกอย่างได้เพื่ออำนาจ
นับตั้งแต่ที่ถังซวงได้ยินว่าโม่เจ๋อหยวนได้รับบาดเจ็บ เธอก็เริ่มรู้สึกไม่สบายใจ และต้องการติดต่อกับโม่เจ๋อหยวนให้เร็วที่สุด “ลุงจิงคะ เราติดต่อพี่โม่ได้ไหมคะ?”
จิงเจ้อหรงส่ายหัวและพูดว่า “ตอนนี้เสี่ยวโม่อยู่ในโรงพยาบาล ฉันไม่สามารถรู้ได้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง อีกอย่างคงไม่สามารถติดต่อได้ แต่ผู้เฒ่าโม่กับทีมแพทย์จะต้องพยายามรักษาเขาให้ดีที่สุดแน่ เธอรอก่อนเถอะ”
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ ถังซวงยืนขึ้นทันทีและพูดว่า “ไม่ ฉันจะไปปักกิ่ง”
“อะไรนะ…”
เฮ่อหลานรู้สึกประหลาดใจเมื่อได้ยินคำพูดของลูกสาวคนโต “ซวงเอ๋อร์ ลูกจะไปปักกิ่งงั้นหรือ?”
“ใช่ค่ะ หนูอยากเจอพี่โม่”
อาการบาดเจ็บของโม่เจ๋อหยวนต้องหนักมากแน่ ไม่อย่างนั้นตระกูลโม่คงจะไม่ปิดข่าวแบบนี้ แม้เธอจะรู้ว่าด้วยอำนาจของตระกูลโม่ โม่เจ๋อหยวนจะได้รับการรักษาอย่างดีในปักกิ่งแน่นอน แต่เธอก็ยังกังวลไม่หาย
“ซวงเอ๋อร์ รอข่าวก่อนเถอะนะ เผื่อว่าเสี่ยวโม่จะไม่เป็นไร” เฮ่อหลานกังวลมากที่ลูกสาวของเธอพูดว่าจะไปปักกิ่ง
แต่ถึงอย่างนั้น ถังซวงก็ไม่สามารถรอได้
“ตอนนี้เป็นเวลาเร่งด่วน หนูจะไปถามว่ามีตั๋วรถไฟไปปักกิ่งไหมก่อนนะคะ”
เมื่อเห็นใบหน้าที่แน่วแน่ของถังซวง เฮ่อหลานก็หวนคิดถึงความทรงจำที่พวกเธอมีร่วมกันกับโม่เจ๋อหยวน เธอจึงพยักหน้าเห็นด้วยและพูดว่า “ตกลง แม่จะไปกับลูกด้วย เพราะแม่ก็เป็นห่วงเสี่ยวโม่เหมือนกัน”
“อาหลาน เสี่ยวเซวี่ยยังคงต้องการเธอนะ แล้วยังมีจื่อกุยกับเจียรุ่ยที่ยังสร้างบ้านในหมู่บ้านเถาฮวาอีก ดังนั้นฉันจะไปปักกิ่งกับซวงเอ๋อร์เอง จะได้ไปพบโม่หยานซง เพื่อนเก่าของฉันด้วย” หลี่จงอี้ยืนขึ้น มองไปที่ถังซวงแล้วพูดว่า “ไปซื้อตั๋วรถไฟไปปักกิ่งกันเถอะ”
“ลุงหลี่…”
เฮ่อหลานยังคงกังวลไม่น้อย เพราะลูกสาวคนโตไม่เคยเดินทางไกล และหลี่จงอี้เองก็อายุมากแล้ว ดังนั้นเธอจึงกังวลที่คนแก่และเด็กต้องเดินทางไกลไปกันสองคน
เมื่อเห็นท่าทางกังวลของเฮ่อหลาน จิงเจ้อหรงก็ยกยิ้มอย่างอบอุ่นและพูดว่า “คุณเฮ่อหลาน ผมจะไปปักกิ่งกับคุณหลี่และซวงเอ๋อร์เอง ดังนั้นคุณไม่ต้องกังวลไปนะครับ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ใบหน้าของเฮ่อหลานก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
“คุณจิง คุณจะไปกับเธอด้วยหรือ แต่… แล้วงานของคุณล่ะ?”
“ไม่เป็นไรครับ ผมบอกให้เหรินอวี่มาที่นี่แล้ว ผมคงมีวันหยุดพักร้อนสัก 2-3 วัน และเวลาก็เพียงพอแล้วที่ผมจะพาพวกคุณไปที่ปักกิ่งได้” เดิมทีจิงเจ้อหรงต้องการอยู่ที่นี่อีกสองวัน แต่ตอนนี้เขาเปลี่ยนแผนแล้ว เป็นการดีกว่าสำหรับเขาที่จะไปปักกิ่งกับทั้งสองก่อน
ทันทีที่เขาพูด จิงเจ้อหรงก็ติดต่อคนของเขาทันทีเพื่อจองตั๋วสามใบไปยังปักกิ่ง
“คุณเฮ่อหลานครับ ผมซื้อตั๋วเรียบร้อย เราจะออกเดินทางกันในอีกสักพัก แล้วเราจะติดต่อคุณทันทีที่ไปถึงปักกิ่งนะครับ คุณไม่ต้องกังวล”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เฮ่อหลานก็รู้สึกโล่งใจไม่น้อย
และในขณะเดียวกัน เธอก็รู้สึกว่าจิงเจ้อหรงนั้นอยู่คนละระดับกับเธอจริง ๆ เขาสามารถรับมือกับทุกสถานการณ์ได้และทุกคนก็รู้สึกสบายใจที่ได้อยู่ใกล้เขา “คุณจิงคะ ขอบคุณที่ทำให้ลำบากนะคะ”
“ไม่ใช่ปัญหาหรอกครับ”
จิงเจ้อหรงมองเข้าไปในแววตาของเฮ่อหลานอย่างลึกซึ้ง แล้วพาถังซวงกับหลี่จงอี้ไปที่สถานีรถไฟ พวกเขาทั้งสามใช้เวลาไปมากกว่าจะมาถึงสถานีรถไฟในเมือง แต่ก็โชคดีที่มาทันขึ้นรถไฟ
“ลุงหลี่ ซวงเอ๋อร์พักก่อนเถอะ ผมจะไปที่ตู้เสบียงเพื่อดูว่ามีอะไรกินไหม” เป็นเพราะพวกเขารีบออกมาจึงไม่ได้เอาอะไรมากินรองท้อง
หลี่จงอี้พยักหน้าและพูดว่า “ตกลง”
จิงเจ้อหรงจัดการทุกอย่างอย่างรวดเร็ว เขาซื้อกล่องอาหารสามกล่องแล้วกลับมา ทั้งสามคนกินเสร็จแล้วก็พักผ่อน
หลังจากเดินทางมาหนึ่งวันหนึ่งคืน รถไฟก็มาถึงปักกิ่ง เนื่องจากถังซวงได้ให้ยาหลี่จงอี้กับจิงเจ้อหรงล่วงหน้า พวกเขาทั้งสามคนจึงรู้สึกสบายดี
“ลุงหลี่ ซวงเอ๋อร์เราหาที่พักกันก่อนแล้วค่อยไปโรงพยาบาลที่เสี่ยวโม่อยู่กันนะ”
“เจ้อหรง เราไปโรงพยาบาลกันเลยเถอะ”
ถังซวงเองก็ตั้งใจแบบนั้น
เมื่อเห็นว่าหลี่จงอี้ไม่อยากเสียเวลา จิงเจ้อหรงก็พยักหน้าและพูดว่า “เอาล่ะ งั้นไปกันเถอะ”