การหวนคืนสู่ยุค 70 ของเศรษฐีนีผู้มั่งคั่งร่ำรวย - บทที่ 150 แตกต่าง
บทที่ 150 แตกต่าง
บทที่ 150 แตกต่าง
เมื่อเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัยของถังซวง ฉินหรูเหมิ่งก็กัดริมฝีปากโดยไม่รู้ตัว เธออุตส่าห์คุยกับถังซวงอย่างเป็นมิตร แต่อีกฝ่ายกลับไม่รู้ว่าเธอเป็นใครเนี่ยนะ เธอรู้สึกเหมือนกำลังถูกตบหน้าอย่างไรอย่างนั้น
แต่ระหว่างนั้น เจิ้งหงก็แนะนำถังซวงด้วยรอยยิ้ม “ถังซวง นี่ฉินหรูเหมิ่งจากตระกูลฉินที่มีความสัมพันธ์อันดีกับตระกูลของเรามาโดยตลอด เธอโตมากับเจ๋อหยวนน่ะ พอได้ยินว่าเจ๋อหยวนได้รับบาดเจ็บสาหัส หรูเหมิ่งก็เป็นห่วงเขามาก แล้วพอได้ยินว่าเจ๋อหยวนออกจากโรงพยาบาลวันนี้ เธอเลยมาเยี่ยมน่ะ”
“สวัสดี”
ถังซวงทักทายฉินหรูเหมิ่งด้วยรอยยิ้ม และเมินเธอต่อ
เมื่อเห็นถังซวงทำอย่างนี้ ฉินหรูเหมิ่งก็อดกำหมัดไม่ได้ เธอรู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้กำลังดูถูกเธอ แต่เด็กสาวไม่สามารถพูดอะไรได้ เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองได้พบกัน ดังนั้นการทักทายเช่นนี้ ย่อมเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
ด้านเจิ้งหงเมื่อเห็นท่าทีของถังซวงก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย แต่เธอเห็นว่าท่านผู้เฒ่าไม่พูดอะไร ดังนั้นเธอจึงไม่พูดอะไรมาก แต่ดึงฉินหรูเหมิ่งให้มานั่งข้าง ๆ “หรูเหมิ่ง มานั่งนี่สิจ๊ะ”
ฉินหรูเหมิ่งไม่ขยับ แต่มองไปที่หลินเหม่ยเจิน และพูดว่า “คุณป้าหลินคะ ฉันขอรบกวนตระกูลโม่สำหรับมื้อค่ำได้หรือเปล่าคะ?”
เมื่อได้ยินที่ฉินหรูเหมิ่งพูด หลินเหม่ยเจินก็พูดว่า “รบกวนอะไรกัน นั่งลงเถอะจ้ะ เรากำลังจะเริ่มกินอาหารพอดี หรูเหมิ่ง ขอบคุณที่มาเยี่ยมเจ๋อหยวนนะ”
“คุณป้าหลิน พี่เจ๋อหยวนกับฉันโตมาด้วยกัน ฉันเป็นกังวลมากที่เขาได้รับบาดเจ็บ ฉันต้องมาเยี่ยมอยู่แล้วค่ะ” เธอรีบส่งอาหารเสริมราคาแพงที่นำมาด้วยให้ “คุณป้าหลินคะ นี่เป็นของสำหรับบำรุงร่างกายพี่เจ๋อหยวนค่ะ ฉันหวังว่าร่างกายของเขาจะฟื้นตัวได้เหมือนเดิมนะคะ”
“ขอบคุณนะ หรูเหมิ่ง”
หลินเหม่ยเจินรับยาชูกำลังจากเด็กสาว และขอบคุณเธอด้วยรอยยิ้ม จากนั้นเชิญฉินหรูเหมิ่งให้นั่งลง
เนื่องจากที่นั่งข้างโม่เจ๋อหยวนไม่ว่างแล้ว เธอจึงได้แต่นั่งที่ไกลออกไป แต่เด็กสาวยังคงยิ้มและมองไปที่โม่เจ๋อหยวน แล้วพูดว่า “พี่เจ๋อหยวน ฉันดีใจมากนะคะที่เห็นว่าพี่ไม่เป็นไร”
“ขอบคุณ”
โม่เจ๋อหยวนพูดอย่างเฉยเมย แล้วหันไปคุยกับถังซวงทันที
หรูเหมิ่งเห็นอย่างนั้นก็มีแววของความอิจฉาปรากฏขึ้นในแววตา แต่ไม่นานเธอก็กลับมายิ้มหวานอีกครั้ง และหลังจากที่นั่งลง มื้ออาหารก็เริ่มขึ้น
ด้านหลี่จงอี้มองไปที่ฉินหรูเหมิ่งอย่างสงสัย “เธอเป็นหลานสาวของผู้เฒ่าฉินหรือเปล่า?”
ผู้เฒ่าโม่พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม “ใช่ นี่หลานสาวของผู้เฒ่าฉิน เธอดูเหมือนกับผู้เฒ่าฉินตอนที่เขายังเด็กเลยว่าไหม?”
หลี่จงอี้พยักหน้าเห็นด้วย “ใช่ ดูเหมือนผู้เฒ่าฉินตอนเขายังเด็กจริง ๆ”
เมื่อฉินหรูเหมิ่งได้ยินเช่นนี้ เธอมองไปที่หลี่จงอี้อย่างสงสัยและถามว่า “ท่านผู้เฒ่ารู้จักคุณปู่ของฉันด้วยหรือคะ?”
หลี่จงอี้หัวเราะ “แน่นอน เรารู้จักกัน เราเป็นสหายร่วมรบด้วยกัน ในเมื่อไหน ๆ ก็ได้มาปักกิ่งแล้ว ไว้เราแวะไปเยี่ยมผู้เฒ่าฉินกันเถอะ”
ผู้เฒ่าโม่พูดด้วยรอยยิ้ม “ตกลง ฉันจะไปกับนายเอง แต่นอกจากผู้เฒ่าฉินแล้ว ยังมีผู้เฒ่าหลิวและผู้เฒ่าหวู่ที่อยู่ในปักกิ่งด้วย ไว้เรามากินอาหารด้วยกันสิ”
หลี่จงอี้พยักหน้าเห็นด้วยทันที “ดี ๆ ฉันไม่ได้เจอพวกเขานานแล้ว ครั้งนี้เราได้มาอยู่รวมกันสักที”
ในตอนท้าย หลี่จงอี้มองไปที่ถังซวงและพูดกับเธอ “หนูซวง ไว้ไปที่บ้านของผู้เฒ่าฉินกับฉันหน่อยนะ ฮ่าฮ่า… ฉันเองก็มีหลานสาวด้วย”
ถังซวงพยักหน้าทันทีด้วยรอยยิ้มเมื่อได้ยินคำพูดนั้นของคุณปู่ “ตกลงค่ะคุณปู่”
เมื่อได้ยินชื่อของถังซวงจากหลี่จงอี้ ฉินหรูเหมิ่งมองเธอด้วยความประหลาดใจ จากนั้นมองไปที่หลี่จงอี้โดยไม่แน่ใจว่าหลี่จงอี้นั้นเป็นใครกันแน่ เขารู้จักปู่ของเธอ ทั้งยังผู้เฒ่าโม่และผู้เฒ่าอีกสองคนเห็นได้ชัดว่าต้องเป็นคนระดับสูงแน่
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ ดวงตาของฉินหรูเหมิ่งก็เป็นประกายและพูดขึ้นว่า “ในเมื่อคุณปู่กับปู่ของฉันรู้จักกัน หากจะมาเยี่ยมทางเรายินดีต้อนรับเสมอนะคะ”
หลี่จงอี้ยิ้มรับเมื่อได้ยิน
ไม่นานผู้เฒ่าโม่ก็คะยั้นคะยอให้ทุกคนเริ่มทานอาหารได้แล้ว ทุกคนจึงเริ่มขยับตะเกียบ
หลังมื้ออาหาร ฉินหรูเหมิ่งต้องการคุยกับโม่เจ๋อหยวน แต่เด็กหนุ่มกลับดูเย็นชาและดูไม่อยากจะคุยกับเธอแม้แต่น้อย แต่พอหันไปมองถังซวง เขากลับระบายรอยยิ้มไปทั่วใบหน้าราวกับว่ามีคำพูดที่ไม่มีที่สิ้นสุดมากมายที่จะคุยกับเธอ
เมื่อเห็นโม่เจ๋อหยวนเช่นนี้ ฉินหรูเหมิ่งก็ตัวชาวาบ
เธอคิดเสมอว่าโม่เจ๋อหยวนคงเย็นชาและปฏิบัติต่อทุกคนเหมือนกันหมด แต่ตอนนี้เธอเพิ่งรู้ว่าตนคิดผิด โม่เจ๋อหยวนยังมีด้านที่อ่อนโยนแบบนี้ด้วย?
ตอนที่เธอมาหาเขา เขามักจะทำเหมือนไม่อยากคุยกับเธอเลย และเป็นแค่กับเธอเท่านั้น
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ฉินหรูเหมิ่งก็กลืนความรู้สึกอึดอัดนี้ไว้ในใจและไม่พูดอะไรออกไป
เจิ้งหงรู้สึกสงสารที่เห็นฉินหรูเหมิ่งเป็นแบบนี้ เธอรีบดึงโม่ชืออวี่มาพูด แล้วให้ลูกสาวของเธอไปข้างหน้าแล้วพูดขึ้นว่า “หรูเหมิ่ง ชืออวี่ของเราบอกว่ามีเรื่องอยากคุยกับเธอน่ะ ในเมื่อวันนี้ได้เจอกันแล้ว เธอสองคนก็คุยกันไปนะ”
หลังจากถูกแม่ของเธอจ้องมอง โม่ชืออวี่ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก แต่หันไปมองฉินหรูเหมิ่งด้วยรอยยิ้มที่เป็นมิตร “พี่หรูเหมิ่ง ฉันรู้สึกเบื่อ ๆ เลยอยากคุยกับพี่น่ะค่ะ ฉันอยากถามเกี่ยวกับเรื่องเรียนด้วย”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ฉินหรูเหมิ่งก็รีบพูดว่า “ถ้างั้นก็บอกฉันมาได้เลย แล้วฉันจะสอนเธอเองถ้าฉันรู้วิธี”
“อ่อ… หรูเหมิ่ง ผลการเรียนดีมากเลยนี่นา เธอเรียนเก่งขนาดนั้นได้ยังไงนะ ช่วยสอนชืออวี่ทีสิ”
ฉินหรูเหมิ่งยิ้มอย่างเขินอายเล็กน้อย “ที่จริง… คุณป้าขอให้พี่เจ๋อหยวนสอนชืออวี่ได้นะคะ ผลการเรียนของพี่เจ๋อหยวนดีที่สุดเสมอในหมู่พวกเรา ให้ชืออวี่ขอให้พี่เจ๋อหยวนสอนคงจะดีกว่าค่ะ”
เจิ้งหงอธิบายว่า “เจ๋อหยวนเพิ่งกลับมาจากโรงพยาบาลเอง ชืออวี่จะไปรบกวนเขาได้ยังไง ยิ่งไปกว่านั้นเธอเองก็อยู่ที่นี่แล้ว”
ตอนนี้ฉินหรูเหมิ่งไม่ได้พูดอะไรอีก แต่เธอก็มองไปที่ถังซวง และถามเกี่ยวกับการเรียนของเธอ “ถังซวง ไม่ทราบว่าตอนนี้เธอกำลังเรียนอยู่ชั้นไหนหรือ?”
ถังซวงพูดอย่างตรงไปตรงมา “ตอนนี้ฉันอยู่มมัธยมปีที่ 1 ของโรงเรียนมัธยมน่ะ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ใบหน้าของฉินหรูเหมิ่งเต็มไปด้วยความไม่เชื่อ “เป็นไปได้ยังไง เธอน่าจะอายุไล่เลี่ยกับเรานี่?”
“อ๋อ… ฉันมาจากชนบท ฉันเลยเข้าโรงเรียนช้า เลยเพิ่งได้เรียนน่ะ”
เมื่อได้ยินดังนั้น ผู้เฒ่าโม่จึงรีบพูดว่า “ช้าเร็วไม่สำคัญหรอกตราบใดที่เธอยังเรียนอยู่ คนในชนบทบางคนยังไม่เก่งเเท่านี้เลย พวกเขาไม่สนับสนุนให้ผู้หญิงเรียนหนังสือด้วยซ้ำ ซึ่งมันเป็นความคิดที่ผิด”
“คุณปู่โม่พูดถูก ผู้หญิงก็เหมือนกับผู้ชาย พวกเธอควรได้เรียนเหมือนผู้ชาย และบางทีอาจเรียนได้ดีกว่าผู้ชายด้วยซ้ำ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ผู้เฒ่าโม่ก็หัวเราะเสียงดังและพูดว่า “ใช่ มันอาจจะจริงก็ได้”
เจิ้งหงพูดจากด้านข้างว่า “ถังซวง แม้ว่าเด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชายจะเหมือนกัน แต่บางครั้งก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเด็กผู้ชายคิดแตกต่างจากเด็กผู้หญิง ยังไงซะถ้ามีอะไรที่เธอไม่เข้าใจ เธอถามหรูเหมิ่งได้นะ”