การหวนคืนสู่ยุค 70 ของเศรษฐีนีผู้มั่งคั่งร่ำรวย - บทที่ 152 เจ้าเล่ห์
บทที่ 152 เจ้าเล่ห์
บทที่ 152 เจ้าเล่ห์
เมื่อได้ยินคำพูดของเจิ้งหง หลินเหม่ยเจินก็เล่าเรื่องของถังซวงด้วยรอยยิ้ม และส่งหนังสือพิมพ์ที่โม่ถิงซวนค้นเจอให้เธอ
“อาหงดูสิ คนในข่าวนี้คือซวงเอ๋อร์ เธอเก่งเกินไปแล้ว ทั้งชนะที่หนึ่งในการแข่งขันคณิตศาสตร์ และยังเก่งเรื่องการวิจัยและพัฒนายา ไม่มีใครเทียบเธอได้”
เมื่อเจิ้งหงได้ยินสิ่งนี้ เธอพูดไม่ออกชั่วขณะ ทำได้แต่กล่าวชมด้วยรอยยิ้ม “ถังซวง เธอน่าทึ่งจริง ๆ”
ถังซวงเองก็ไม่คิดว่ามีอะไรผิดปกติ เด็กสาวมองไปที่โม่เจ๋อหยวน และพูดว่า “พี่โม่ พี่ควรพักผ่อนให้เพียงพอนะ แล้วก็ต้องดูแลตัวเองให้มากขึ้นด้วย”
ก่อนที่โม่เจ๋อหยวนจะพูดอะไร หลินเหม่ยเจินก็รีบพูดว่า “ใช่เจ๋อหยวน ลูกต้องฟังที่ซวงเอ๋อร์พูดนะ ไปพักผ่อนเถอะ”
หลังพูดจบหลินเหม่ยเจินมองไปที่ถังซวงและพูดว่า “ซวงเอ๋อร์ เธอเองก็ควรรีบไปพักผ่อนด้วยนะ ช่วงนี้เธอเข้าโรงพยาบาลทุกวัน ไม่งั้นจะทำงานหนักมากเกินไป”
ถังซวงก็คิดอย่างนั้น เธอพยักหน้าและพูดด้วยรอยยิ้ม “ตกลงค่ะ”
เมื่อเห็นแบบนั้น โม่เจ๋อหยวนก็เดินไปหาเด็กสาว “ซวงเอ๋อร์ ฉันจะพาเธอไปที่ห้องก่อน แล้วค่อยกลับไปพักที่ห้อง”
ถังซวงไม่ปฏิเสธ ทั้งสองกล่าวลาคนอื่น ๆ
เมื่อเห็นลูกชายอาสาพาถังซวงไปพัก หลินเหม่ยเจินก็อดหัวเราะคิกคักกับตัวเองไม่ได้ พอหญิงสาวได้รู้ว่าเด็กสาวประสบความสำเร็จตั้งแต่อายุยังน้อย ความประทับใจที่มีต่อถังซวงก็มากขึ้นไปอีก
ด้านเจิ้งหงที่เห็นอย่างนั้นก็อยู่เฉยไม่ได้ เธอรู้สึกว่าสถานการณ์ตอนนี้ผิดแผนไปหมด ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปครอบครัวรองของเธอก็ต้องกลับไปยังสถานที่ที่พวกเขาอาศัยอยู่
แต่ในตอนนั้นเอง โม่ถิงซวนก็พูดขึ้น “ถังซวงเก่งมาก ทักษะทางการแพทย์อยู่ในระดับสูงตั้งแต่อายุยังน้อย หายากมาก เธอเป็นอัจฉริยะชัด ๆ”
“อัจฉริยะอะไร ทำไมคุณถึงชอบยกย่องคนอื่นอยู่เสมอเลย ถังซวงเป็นแค่เด็กสาวจากชนบทจะไปเทียบกับหรูเหมิ่งได้ยังไง ทำไมคุณถึงคิดว่าถังซวงเก่งกาจอะไรนักหนา”
เมื่อได้ยินน้องสะใภ้พูดเช่นนี้ สีหน้าของโม่ถิงซวนก็เย็นชาขึ้นมา
“อาหง นี่เธอกำลังดูถูกคนในชนบทอยู่หรือ? เธออย่าลืมสิ ปู่ของฉันก็มาจากชนบทนะ”
เจิ้งหงไม่คาดคิดว่าจู่ ๆ สามีของเธอจะโกรธแบบนี้
“ถิงซวน ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น ฉันแค่… แค่คิดว่าหรูเหมิ่งดีกว่าถังซวงมาก ทำไมพวกคุณถึงยกย่องแต่ถังซวง และเพิกเฉยหรูเหมิ่งแบบนี้ก็เท่านั้น”
โม่ถิงซวนขมวดคิ้วมุ่น มองไปที่เจิ้งหง “ฉันยังไม่ได้พูดอะไรเลยนะ แล้วเธอไปสนิทกับเด็กสาวจากตระกูลฉินตั้งแต่เมื่อไหร่? ที่เธอทำอย่างวันนี้ มันก็เหมือนเป็นการเข้าข้างเด็กคนนั้นอย่างออกนอกหน้า ขนาดพี่สะใภ้ยังไม่ได้พูดอะไร แล้วเธอรีบเข้ามาสร้างเรื่องแบบนี้ จะให้พี่สะใภ้คิดยังไง?”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เจิ้งหงก็ระเบิดทันที
“โม่ถิงซวน ฉันไม่ได้ทำแบบนี้เพื่อคุณหรอกหรือ? แค่คุณไม่ขอบคุณฉันยังไม่พอ แต่ยังมาสั่งสอนฉันอีกเนี่ยนะ คุณมันไม่มีสมองจริง ๆ”
พอได้ยินภรรยาพูดแบบนั้น โม่ถิงซวนก็เต็มไปด้วยความสับสน
“ทำอะไรเพื่อผม? ผมเป็นคนให้คุณทำแบบนี้หรือ?”
เจิ้งหงตะโกนโวยวายว่า “หรูเหมิ่งเป็นหลานคนโปรดของผู้เฒ่าฉิน ถ้าเธอแต่งงานกับเจ๋อหยวน เธอก็จะเป็นสะใภ้ของตระกูลโม่ของเรา แล้วพอถึงเวลานั้น ก็แค่ให้เธอพูดกับผู้เฒ่าฉินสักสองสามคำ ตำแหน่งของคุณต้องสูงขึ้นมากแน่ แล้วใครให้คุณไม่เข้าร่วมกองทัพเหมือนพี่ชายของคุณกันล่ะ”
“คุณ… คุณมันไร้เหตุผลจริง ๆ ถึงกับจะใช้วิธีเจ้าเล่ห์แบบนี้ ผมขอบอกเลยว่าอย่าให้ผมเห็นคุณเข้าใกล้ฉินหรูเหมิ่งอีก ไม่อย่างนั้นผมไม่ยอมปล่อยไว้เฉย ๆ แน่ ผมจะได้ตำแหน่งที่ต้องการด้วยความสามารถของตัวเอง ไม่ต้องให้คุณใช้วิธีการยุ่งยากพวกนั้น”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ใบหน้าของเจิ้งหงก็เต็มไปด้วยความสมเพช
“คุณยังคิดว่าทุกสิ่งที่คุณต้องการสามารถสำเร็จได้ด้วยความสามารถของคุณอีกหรือ? หากไม่ได้รับความช่วยเหลือจากเส้นสาย คุณก็คงไม่สามารถเลื่อนตำแหน่งได้เลยด้วยซ้ำ”
“ถ้าอย่างนั้น คุณก็ควรรอดูให้ดีว่าผมจะสามารถขึ้นไปบนนั้นได้ไหม”
นี่เป็นครั้งแรกที่โม่ถิงซวนได้รู้ว่าภรรยาของตนมีความคิดเช่นนี้ เขาจึงโกรธมากและหลังจากได้เอ่ยปากเตือนไป เขาก็จากไปด้วยความโกรธที่อัดแน่นอยู่เต็มอก
เมื่อเห็นว่าความพยายามของตนถูกปฏิเสธ เจิ้งหงเองก็โกรธมากเช่นกัน
ส่วนอีกด้าน เมื่อเห็นว่าพ่อแม่กำลังโต้เถียงกัน โม่ชืออวี่ที่แอบฟังอยู่ก็กลับไปที่ห้องของเธออย่างเงียบ ๆ
อีกด้านหนึ่ง ฉินหรูเหมิ่งที่กลับบ้านด้วยความโกรธ
เดิมทีเธอคิดว่าการไปที่บ้านของตระกูลโม่ในวันนี้จะทำให้เธอได้คุยกับพี่เจ๋อหยวนมากขึ้นแต่มันเป็นเพราะถังซวงที่ทำให้เธอล้มเหลวและยังเสียหน้าอีกด้วย
เมื่อคิดถึงเรื่องนั้น ฉินหรูเหมิ่งก็วางถ้วยชาในมือลงอย่างแรง
“พี่หรูเหมิ่ง ฉันมาหาพี่แล้ว”
เมื่อฉินหรูเหมิ่งกำลังโกรธ ก็มีเสียงร่าเริงดังขึ้นที่ประตู และเมื่ออีกฝ่ายเข้ามาใกล้ก็เห็นว่าเป็นเด็กสาวหน้าตาดีคนหนึ่ง
ฉินหรูเหมิ่งรู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นว่าใครมา
“ตานตาน ทำไมเธอถึงมาที่นี่ล่ะ? แล้วมาถึงปักกิ่งตั้งแต่เมื่อไหร่?”
หลี่ว์ตานพูดด้วยรอยยิ้ม “พี่หรูเหมิ่ง ฉันเพิ่งมาถึงปักกิ่งเมื่อคืนนี้น่ะ และวันนี้ฉันมาที่นี่เพื่อคุยเล่นกับพี่ เราไม่ได้เจอกันนานแล้วนะ” เธอเดินไปข้างหน้า และกอดแขนฉินหรูเหมิ่งไว้ “พี่หรูเหมิ่งกำลังทำอะไรอยู่หรือ? ทำไมฉันได้ยินเสียงเหมือนมีอะไรแตกเลย?”
“อ่อ… ฉันเผลอทำถ้วยตกน่ะ”
แต่หลี่ว์ตานพูดอย่างครุ่นคิด “พี่หรูเหมิ่งอารมณ์ไม่ดีหรือ? มีอะไรพี่บอกฉันได้เลยนะ”
ฉินหรูเหมิ่งกับหลี่ว์ตานมีอายุห่างกันหลายปี แต่พวกเธอก็เข้ากันได้ดี ดังนั้นฉินหรูเหมิ่งจึงปฏิบัติต่อหลี่ว์ตานด้วยความจริงใจเสมอ “ใช่ ฉันกำลังโกรธ”
“มีอะไรงั้นหรือ? เกิดอะไรขึ้น?”
ดวงตาของหลี่ว์ตานเต็มไปด้วยความกังวล
“อืม…”
ฉินหรูเหมิ่งเล่าให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้น และสุดท้ายก็พูดว่า “แม้ว่าฉันจะขอบคุณถังซวงคนนั้นมากที่ช่วยพี่เจ๋อหยวน แต่ตอนนี้พี่เจ๋อหยวนกลับห่วงใยเธอมาก ฉันเลยไม่ค่อยมีความสุขเท่าไหร่”
เมื่อหลี่ว์ตานได้ยินอย่างนั้น ใบหน้าของเธอก็เต็มไปด้วยความสงสัย
“พี่หรูเหมิ่งเข้าใจอะไรผิดไปหรือเปล่า? จากที่พี่พูด ถังซวงอายุไล่เลี่ยกับพี่ แล้วเธอจะมีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยมแบบนั้นยังไง มันไม่สมเหตุสมผลสักนิด”
ฉินหรูเหมิ่งเองก็คิดแบบนั้น
แต่เมื่อตระกูลโม่พูด เพราะอย่างนั้นเรื่องนี้ต้องเป็นเรื่องจริงแน่ “บางทีถังซวงอาจมีทักษะพิเศษบางอย่างก็ได้”
“เหอะ… ยังเด็กขนาดนั้น ฉันไม่เชื่อหรอกว่าเธอจะมีความสามารถพิเศษขนาดนั้น” ในขณะที่พูด หลี่ว์ตานก็มองไปที่ฉินหรูเหมิ่งอีกครั้งและพูดว่า “พี่หรูเหมิ่งอย่าโกรธเลย ไปซื้อเสื้อผ้าสวย ๆ กันเถอะ จะรู้สึกดีขึ้น”
ฉินหรูเหมิ่งที่ไม่ได้ไปใช้จ่ายซื้อเสื้อผ้าสวย ๆ เป็นเวลานาน ก็พยักหน้า “ตกลง”
ในวันถัดมา ฉินหรูเหมิ่งกับหลี่ว์ตานก็ไปที่ห้างสรรพสินค้า
ซึ่งบังเอิญว่าถังซวงก็ไปที่นั่นเช่นกัน
เมื่อเด็กสาวมองไปที่โม่เจ๋อหยวนที่อยู่เคียงข้าง ถังซวงก็อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “พี่โม่ ฉันบอกแล้วไงว่าฉันทำคนเดียวได้ ทำไมพี่ถึงยังตามฉันมาที่นี่อีกเนี่ย พี่ควรพักผ่อนอยู่ที่บ้านนะ”
โม่เจ๋อหยวนได้ยินเสียงไม่พอใจของเด็กสาวก็ยกยิ้มและพูดว่า “เอาน่าซวงเอ๋อร์ ฉันหายดีแล้ว ที่ฉันมาที่นี่กับเธอมันไม่ดีหรือ?”