การหวนคืนสู่ยุค 70 ของเศรษฐีนีผู้มั่งคั่งร่ำรวย - บทที่ 162 ตัดสินใจไปก่างเฉิง
บทที่ 162 ตัดสินใจไปก่างเฉิง
บทที่ 162 ตัดสินใจไปก่างเฉิง
ถังซวงพยักหน้าแล้วตอบเฮ่อหลานว่า “ใช่ค่ะ ครอบครัวของลุงจิงเชิญหนูไปที่บ้านแล้วยังให้การต้อนรับอย่างอบอุ่นด้วยค่ะ พวกเขาน่ารักมาก”
ก่อนที่เฮ่อหลานจะทันได้พูดอะไรต่อ ถังเซวี่ยถามด้วยความสงสัย “พี่คะ แล้วครอบครัวลุงจิงมีใครบ้างหรือ?”
ถังซวงแนะนำคนในตระกูลจิงทีละคน และพูดปิดท้ายว่า “เดิมทีคุณย่าจิงเชิญพวกเราไปที่เมืองหลวงช่วงปีใหม่ด้วยนะ แต่ฉันปฏิเสธไป”
เฮ่อหลานรีบพูดเสริม “ทำถูกแล้ว ลูกควรปฏิเสธ”
ถ้าสามแม่ลูกไปที่บ้านตระกูลจิงเพื่อฉลองปีใหม่ พวกเขาไม่รู้เลยว่าควรจะพูดคุยกันเรื่องอะไร
ส่วนถังเซวี่ยคิดอยากจะไปเมืองหลวงเลยพร่ำบ่น “ฉันไม่เคยได้ไปไหนไกลเลยนะ ฉันอยากไปเมืองหลวง อยากรู้ว่าที่นั่นเจริญมากกว่าบ้านเราไหม”
หลังได้ยินแล้ว ถังซวงหัวเราะพร้อมพูดว่า “งั้นคราวหน้าพี่จะพาเธอไปด้วย”
“จริงหรือคะ? พี่คะ ฉันไปได้จริงหรือ?”
หลังจากเห็นแววตาเป็นประกายของน้องสาวแล้ว ถังซวงพยักหน้าด้วยรอยยิ้มแล้วตอบว่า “ใช่แล้ว พี่จะพาเธอกับแม่ไปด้วย เราสามแม่ลูกจะอยู่ในเมืองหลวงด้วยกันสักระยะ” แล้วท้ายที่สุดเธอพูดเสริมขึ้นว่า “เรามีบ้านอยู่ในเมืองหลวงแล้ว เวลานั้นพวกเราจะไปอยู่ที่นั่น”
เฮ่อหลานประหลาดใจเมื่อได้ยินสิ่งที่ลูกสาวคนโตพูด
“ซวงเอ๋อร์ นี่… จริงหรือ? ลูกมีบ้านในเมืองหลวงแล้วหรือ?”
ถังซวงพยักหน้าและยิ้ม “ค่ะแม่”
ถังเซวี่ยส่งเสียงร้องลั่นบ้านด้วยความดีใจ
“โอ้… สุดยอดมาก พวกเรามีบ้านในเมืองหลวงแล้ว พี่สาว พี่เก่งที่สุดเลย” สุดท้ายแล้วเด็กสาวมองถังซวงด้วยแววตาสดใส และเธอก็ตั้งมั่นในใจว่าจะพยายามทำงานให้หนักขึ้นเหมือนพี่ให้ได้
ถังซวงลูบศีรษะของถังเซวี่ยแล้วพูดต่อ “เสี่ยวเซวี่ย เธอก็เก่งมากแล้ว ถ้าพยายามเรียนให้ดี ในอนาคตเราก็จะสามารถเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งตามใจได้นะ”
สำหรับตนเอง เธอรู้ทุกสิ่งอยู่แล้ว แต่ถังเซวี่ยเป็นสาวน้อยที่มาชนบทจริง ๆ ทั้งไม่เคยได้เรียนรู้เรื่องพวกนี้มาก่อน แต่ว่าเธอพึ่งพาความพยายามของตัวเองเพื่อให้ได้ศึกษาในชั้นประถม และตอนนี้เธอก็ทำมันได้ดีมากจนสามารถเข้าศึกษาในชั้นมัธยมต้นได้ นับว่าฉลาดมากแล้วสำหรับสาวน้อยคนนี้
หลังได้ยินแล้ว ถังเซวี่ยตอบว่า “ค่ะ… ฉันจะตั้งใจเรียน”
เมื่อเห็นว่าสองพี่น้องให้กำลังใจกันและกัน เฮ่อหลานอดไม่ได้ที่จะหัวเราะก่อนจะพูดถึงสิ่งที่เฮ่อจื่อกุยพูดก่อนหน้านี้ “ซวงเอ๋อร์ เสี่ยวเซวี่ย ลุงเฮ่อจะไปก่างเฉิงช่วงปีใหม่ และที่บ้านอยากให้ลุงพาพวกเราไปด้วย ลูกคิดว่ายังไง?”
ลูกสาวทั้งสองคนโตแล้ว ดังนั้นเขาจึงต้องถามความยินยอมของอีกฝ่าย
เมื่อนึกถึงเรื่องราวที่ผ่านมาในปีนี้ ถังซวงขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะตอบว่า “หนูยังไม่อยากไปค่ะ รอสักปีสองปีค่อยไปเยี่ยมคุณลุงก็ได้”
เฮ่อหลานพูดออกมาอย่างลำบากใจ “แต่… ลุงเฮ่อรู้ว่าลูกสามารถรักษาอาการป่วยไข้ได้ เขาเลยอยากพาลูกไปช่วยรักษาอาการของท่านผู้เฒ่าที่นับวันยิ่งแย่ เขาคิดว่าลูกน่าจะทำอะไรได้บ้าง”
หลังได้ยินอย่างนี้ ถังซวงถอนหายใจพร้อมตอบกลับ “เอาล่ะ ตกลงค่ะ เราจะไปที่นั่นในช่วงปีใหม่ แล้วค่อยกลับมาหลังจากตรวจอาการป่วยเสร็จ” ถ้าเฮ่อจื่อกุยและเฮ่อเจียรุ่ยทำตัวเย็นชาและห่างเหิน เธอคงจะปฏิเสธสองคนนี้แน่นอน แต่พ่อลูกคู่นี้มองว่าเธอสามคนแม่ลูกเป็นญาติพี่น้องจากก้นบึ้งของหัวใจ ดังนั้นเธอจึงต้องนับว่าตระกูลเฮ่อเป็นญาติสนิทไปโดยปริยาย
“ได้จ้ะ”
เมื่อเห็นว่าถังซวงตกลงแล้ว เฮ่อหลานรีบพูดต่อว่า “ซวงเอ๋อร์ แม่รู้ว่าทักษะการแพทย์ของลูกดีมาก แต่สุดท้ายแล้วหมอก็ไม่สามารถรักษาได้ทุกโรค เพราะอย่างนั้นลูกไม่ต้องกดดันตัวเองหรอกนะ”
หลังได้ยิน ถังซวงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “แม่คะ ไม่ต้องห่วงเลยค่ะ หนูไม่กังวลอะไร หนูจะทำเท่าที่ทำได้ ถ้ามันไม่ไหวจริง ๆ ก็คงต้องปล่อยไปตามนั้นค่ะ”
ได้ยินลูกสาวคนโตพูดอย่างนี้แล้ว เฮ่อหลานก็โล่งใจ
วันรุ่งขึ้น โม่เจ๋อหยวนมาตั้งแต่เช้าตรู่และไปโรงเรียนพร้อมกับถังซวงและถังเซวี่ย
“พี่คะ พี่ไม่ได้เข้าเรียนเลยช่วงนี้ ไม่รู้ว่าพี่จะเรียนทันคนอื่นไหม”
ทั้งสามเดินไปโรงเรียนในขณะพูดคุยกัน ถังเซวี่ยกังวลเกี่ยวกับการเรียนของถังซวง
ส่วนถังซวงที่อ่านหนังสือเรียนของมัธยมต้นจบแล้ว แน่นอนว่าไม่มีปัญหา “ไม่ต้องกังวล ฉันไม่มีปัญหาเรื่องนี้แน่ แล้วฉันก็มีแผนว่าจะโดดเรียนด้วย”
อายุของเธอไม่ใช่เด็กอีกต่อไป ยิ่งไปกว่านั้นเธอไม่ได้วางแผนว่าตัวเองจะต้องวุ่นวายในวันแรกของการเปิดเทอมมัธยมต้น
ถังเซวี่ย “…”
ดังนั้น… ความกังวลของเธอในตอนนี้จึงไม่จำเป็น และเธอก็สบายดี
“พี่คะ พี่จะได้เรียนมัธยมต้นปีสองไหม?”
ก่อนที่ถังซวงจะทันได้พูดอะไร โม่เจ๋อหยวนยิ้มแล้วพูดว่า “ไม่ต้องกังวลหรอก ถ้าซวงเอ๋อร์สอบผ่าน อาจารย์ก็ไม่ว่าอะไรแน่”
“งั้นหรือ…”
แต่ถังเซวี่ยยังผิดหวังเล็กน้อย “ถ้าอย่างนั้นฉันก็จะไม่ได้เรียนชั้นเรียนเดียวกับพี่อีกแล้วสินะ”
“เสี่ยวเซวี่ย ฉันอายุมากกว่าเธอสองปี เป็นเรื่องปกติที่เราจะไม่ได้เรียนห้องเดียวกัน”
ถังเซวี่ยพยักหน้าแล้วพูดว่า “อื้ม พี่พูดถูก อย่างนั้นพี่ก็ต้องพยายามเข้านะ”
เมื่อทั้งสามมาถึงโรงเรียน โม่เจ๋อหยวนเดินไปที่ชั้นมัธยมปลาย ถังซวงและถังเซวี่ยแยกย้ายไปที่ห้องเรียนเช่นกัน
คาบแรกคือการเรียนภาษาจีน เมื่อเหลี่ยวไช่เฉียเห็นถังซวง เธออดไม่ได้ที่จะพูดว่า “นักเรียนบางคนที่คิดว่าตนเก่งเกินกว่าจะมาเรียน จะไม่เข้าเรียนก็ได้นะ”
ไม่เคยมีนักเรียนคนไหนขอลาเหมือนกับถังซวงมาก่อน เธอคงคิดว่าโรงเรียนเป็นสถานที่แบบไหน นึกอยากจะมาก็มา นึกอยากจะไปก็ไป
เมื่อได้ยิน ถังเซวี่ยคิดอธิบายแต่ว่าถังซวงพูดแทรกขึ้นก่อน
“อาจารย์คะ หนูแค่ลาเพราะมีเรื่องต้องทำไม่ใช่เพราะไม่อยากมาโรงเรียน… แต่ว่าหลังจากนี้อาจารย์ไม่ต้องกังวลแล้วว่าหนูจะมาเรียนหรือว่าไม่มา”
เมื่อได้ยินอย่างนี้แล้ว เหลี่ยวไช่เฉียมองถังซวงด้วยความสงสัยและถามว่า “เธอหมายความว่ายังไง?”
“ไม่มีอะไรน่าสนใจหรอกค่ะอาจารย์ ตอนนี้ควรเริ่มการสอนได้แล้วนะคะ มัวรออะไรอยู่?”
“เธอ…”
สิ่งที่เหลี่ยวไช่เฉียเกลียดที่สุดคือถังซวงเป็นเพียงนักเรียน แต่ท่าทีการแสดงออกของอีกฝ่ายดูยิ่งใหญ่ราวกับเป็นผู้ใหญ่แล้ว
เดิมทีเธอต้องการจะพูดตอบโต้ แต่เมื่อนึกถึงการแข่งขันของถังซวงในคราวก่อน และอาจารย์ใหญ่ก็ยังให้ความสำคัญกับเด็กสาวมาก แม้จะมีความโกรธเต็มเปี่ยมแต่เหลี่ยวไช่เฉียทำได้เพียงสอนต่อไปอย่างอดกลั้น
หลังจากชั้นเรียนภาษาจีนจบลง ถังซวงตรงไปที่ห้องธุรการเพื่อพบกับอาจารย์ใหญ่ฮั่วไห่เหล่ย
“ถังซวง เธอมีอะไรกับผมหรือ?”
ฮั่วไห่เหล่ยอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อได้พบกับนักเรียนคนนี้ ในที่สุดเธอก็กลับมาเรียน เขากลัวว่าถังซวงจะถูกโรงเรียนอื่นฉกชิงตัวไปแล้วหลังจากไม่ได้มาเรียนนาน
“อาจารย์คะ หนูอยากขึ้นชั้นเรียนมัธยมปีสามค่ะ”
“อะไรนะ…”
หลังจากได้ยินแล้ว ฮั่วไห่เหล่ยประหลาดใจ “สาม… ปีสาม? เธอแน่ใจหรือ?”
ถังซวงพยักหน้าอย่างมั่นใจก่อนจะพูดว่า “ใช่ค่ะ ให้ทางโรงเรียนจัดสอบให้หนูได้ไหมคะ ถ้าหนูสอบผ่านค่อยให้หนูเข้าเรียนในมัธยมปีสามก็ได้”
เวลานี้เหลี่ยวไช่เฉียเดินเข้ามาและได้ยินคำพูดของถังซวงพอดี ความโกรธที่สะสมไว้ตลอดมาระเบิดออกอีกครั้ง
“เธอคิดจะทำอะไรก็ได้งั้นหรือ? อย่าคิดว่าแค่เก่งวิชาคณิตศาสตร์แล้วจะทำอะไรตามอำเภอใจ การสอบเลื่อนระดับก็ไม่ต่างจากการสอบอื่น แทบจะไม่มีใครสอบผ่านอยู่แล้ว ไม่ต้องพูดถึงเธอที่อยู่แค่ชั้นมัธยมหนึ่ง แต่คิดจะเข้ามัธยมสามเลยรึไง”