การหวนคืนสู่ยุค 70 ของเศรษฐีนีผู้มั่งคั่งร่ำรวย - บทที่ 169 เชิญชวน
บทที่ 169 เชิญชวน
บทที่ 169 เชิญชวน
พานลี่ฮวาขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อเห็นความกระตือรือร้นของหลานชาย เธอเข้าใจโดยพลันแล้วแนะนำเขาด้วยรอยยิ้ม “นี่คือเฮ่อหลาน ลูกพี่ลูกน้องของลุงเธอ และนี่คือลูกสาวทั้งสองคนของเธอ คนนี้ถังซวง และคนนี้ถังเซวี่ย”
“ป้าหลาน สวัสดีครับ”
เมื่อได้ยินแล้ว พานลั่วเฉิงรีบทักทายด้วยรอยยิ้มทันที จากนั้นเขามองไปที่ถังซวงและถังเซวี่ยแล้วพูดขึ้นว่า “พวกเธอเป็นลูกพี่ลูกน้องของพี่เจียรุ่ยสินะ งั้นจากนี้เธอก็จะเป็นน้องสาวของฉันด้วย พวกเธอจะอยู่ในเมืองก่างเฉิงนี้อีกนานไหม ฉันจะเป็นคนนำเที่ยวเอง”
“ลั่วเฉิง ป้าต้องพาอาหลานและคนอื่น ๆ ไปซื้อของแล้ว ไว้เราค่อยคุยกันใหม่นะ”
แม้พานลั่วเฉิงอยากจะตามไปด้วย แต่เขาก็มีบางอย่างที่ต้องไปทำ จึงทำได้เพียงกล่าวลา “งั้นป้าไปเถอะครับ ผมเองก็ต้องขอตัวก่อน”
หลังจากพานลั่วเฉิงจากไปแล้ว พานลี่ฮวาจึงพาเฮ่อหลานไปยังห้างสรรพสินค้า
“อาหลาน ร้านค้าทั้งหมดนี้เพิ่งปรับปรุงใหม่ เดี๋ยวฉันพาไปเดินดู ของในนี้มันน่าสนใจมาก”
เฮ่อหลานเพียงยิ้มและเดินตามเธอไป
แต่เมื่อมองไปยังเสื้อผ้าที่แขวนอยู่ ถังซวงยอมรับว่ามันดูทันสมัยกว่าเสื้อผ้าในมณฑลเจียงจริง ๆ ดูกระฉับกระเฉงดี ต่อให้ผ่านไปยี่สิบหรือสามสิบปี มันก็ยังคงเข้ากับทุกยุคสมัย แต่ยังไงเสื้อผ้าย้อนยุคพวกนี้ก็เป็นที่นิยมอย่างมากในอนาคต “แม่คะ เสื้อตัวนั้นสวยดี ทำไมแม่ไม่ลองดูล่ะ?”
หลังจากมองเสื้อโค้ตสีไวน์แดงที่ลูกสาวคนโตชี้แล้ว เฮ่อหลานก็รีบโบกมือปฏิเสธ “ไม่ดีกว่า สีมันฉูดฉาดเกินไป”
แต่ถังเซวี่ยรีบเสริม “แม่คะ นี่เพิ่งจะฉลองวันปีใหม่ไปเอง แม่ก็ต้องแต่งตัวให้เข้ากับเทศกาลสิ ลองดูเร็ว ๆ”
เมื่อเห็นว่าลูกสาวทั้งสองคนคะยั้นคะยอ เฮ่อหลานจึงทำได้เพียงลองสวมมัน และหลังจากที่เธอสวมมันแล้ว พานลี่ฮวาอดไม่ได้ที่จะพูดชม “อาหลาน เสื้อโค้ตตัวนี้เหมาะกับเธอมาก มันเข้ากับสีผิวเธอจริง ๆ”
“ใช่ค่ะ มันสวยมาก”
เป็นเรื่องยากที่ถังเซวี่ยจะเห็นว่าแม่ของตนสวมเสื้อผ้าสีสดใส และเธอก็คิดว่ามันดูดีจริง ๆ
พอเห็นอย่างนี้ ถังซวงจึงจ่ายเงินอย่างรวดเร็ว “เสร็จแล้ว”
พานลี่ฮวาเห็นอย่างนั้นจึงรีบพูดว่า “ซวงเอ๋อร์ ฉันเอง”
“ไม่เป็นไรค่ะคุณป้า ฉันจ่ายเงินแล้ว” เมื่อเธอรู้ว่าตัวเองต้องมาที่ก่างเฉิง ถังซวงก็ได้แลกเงินมาจำนวนมาก และไม่ต้องการให้พานลี่ฮวาจ่ายให้
เมื่อเห็นอย่างนี้แล้ว พานลี่ฮวาจึงไม่พูดอะไรต่อ
“อาหลาน ไปดูกันอีกเถอะ” เธอตัดสินใจว่าตนจะต้องจ่ายก่อนให้ได้ แต่สิ่งที่ทำให้เธอหดหู่คือ หลังจากเดินกันมาทั่วห้างแล้วเธอไม่มีโอกาสจะซื้อของให้กับทั้งสามแม่ลูกเลย
“ซวงเอ๋อร์ เธอเดินเร็วเกินไปแล้ว ทำไมถึงรีบจ่ายเงินแบบนี้ล่ะ”
หลังได้ยินอย่างนี้แล้ว ถังซวงก็ยกยิ้ม “คุณป้าคะ ของพวกนี้เป็นของเรา เราก็ต้องจ่ายเองค่ะ อีกอย่างคุณป้าก็เหนื่อยมากแล้วที่พาพวกเราออกมาเดินชมเมืองทั้งวัน ให้เราใช้เงินคุณป้าได้ยังไงกันคะ”
เมื่อเห็นว่าพานลี่ฮวากำลังจะพูดบางอย่าง ถังซวงจึงรีบชี้ไปที่ร้านน้ำชาข้าง ๆ แล้วพูดว่า “คุณป้าคะ เราไปหาอะไรกินกันดีกว่า ฉันได้ยินว่าน้ำชาของก่างเฉิงอร่อยมาก”
“ตกลง ๆ ไปกัน”
เมื่อได้ยินอย่างนี้แล้ว พานลี่ฮวาพาถังซวงและคนอื่น ๆ เข้าไปที่ร้านอาหารนั้นทันที
“อุ๊ย… อะไรเนี่ย ทำไมมันดูแปลก ๆ”
“เสี่ยวเซวี่ย นี่คือข้าวปั้น ลองกินดูสิ อร่อยนะ” พานลี่ฮวาแนะนำด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะสั่งอาหารที่เธอชอบสองสามอย่าง
เมื่อเห็นของว่างมากมาย ถังซวงรู้สึกว่ามันน่ารับประทานจริง ๆ และเธอก็สั่งของที่ทุกคนน่าจะชอบมาด้วย
“ซวงเอ๋อร์ เราจะกินหมดหรือ?”
“ไม่เป็นไรค่ะแม่ ถ้ากินไม่หมดเราห่อกลับก็ได้”
แต่เมื่อได้ยิน พานลี่ฮวาก็หัวเราะออกมา “อาหลาน เธอไม่ต้องกินทุกอย่างก็ได้ แค่ลองชิมมันก็พอ พวกเราทุกคนไม่ถือสาหรอก” จากนั้นมองถังซวงและพูดว่า “ซวงเอ๋อร์ ถ้าเรากินไม่หมด ไม่จำเป็นต้องห่อกลับก็ได้”
“คุณป้าคะ เรากินหมดอยู่แล้วค่ะ มันไม่ได้มากขนาดนั้น แล้วแต่ละชิ้นก็ไม่ได้ใหญ่ด้วยค่ะ” บนโต๊ะมีขนมจีบกุ้ง หนึ่งจานมีแค่สี่ลูกเล็ก ซาลาเปาสามลูก และมีอย่างอื่นอีกไม่มากนัก ดังนั้นจึงไม่สามารถตัดสินที่จำนวนจานได้ เพราะสุดท้ายแล้วมันก็ไม่ได้มาก และพวกเธอก็กินหมดอยู่ดี
แต่พานลี่ฮวาอดไม่ได้ที่จะมองถังซวง และถังเซวี่ยด้วยความอิจฉา “ดีจริง ๆ ที่พวกเธอยังเด็ก กินเท่าไหร่ก็ไม่อ้วน ฉันกินแค่นิดเดียวก็อิ่มแล้ว แต่ถึงจะอยากกินมากแต่ก็ไม่กล้ากินมาก ด้วยกลัวว่าท้องไส้จะปั่นป่วนเอา”
“คุณป้าคะ งั้นเดี๋ยวกลับไปที่บ้านฉันจะลองตรวจสอบชีพจรของคุณป้าดู เผื่อมีอะไรจะได้รักษาให้คุณป้าด้วย”
เมื่อได้ยินอย่างนี้แล้ว พานลี่ฮวาโบกมือและพูดว่า “ไม่เป็นไร ๆ เรื่องของท้องนี้อยู่ที่การควบคุมความอยาก เธอดูแลแค่คุณพ่อก็พอ ฉันไม่อยากรบกวน”
เมื่อเห็นว่าพานลี่ฮวาพูดอย่างนั้น ถังซวงไม่ได้พูดอะไรต่อ
“อาหลาน งั้นเรากลับบ้านกันเถอะ”
หลังดื่มชาเสร็จแล้ว พานลี่ฮวาก็พาเฮ่อหลานและลูกสาวทั้งสองคนกลับบ้าน
หลังจากทั้งหมดกลับมาถึงบ้าน พอผู้เฒ่าเฮ่อทั้งสองที่นั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นเห็นว่าพวกเธอกลับมาแล้ว จึงรีบเอ่ยถาม “อาหลาน วันนี้ไปซื้อของเป็นยังไงบ้าง สนุกไหม?”
“คุณตา คุณยาย เราไปซื้อของมาเยอะแยะเลยค่ะ ในเมืองเจริญมาก ๆ ค่ะ”
“แค่หลาน ๆ มีความสุขพวกเราก็ดีใจแล้ว”
เมื่อเห็นอย่างนี้แล้ว หญิงชราจึงพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ช่วงปีใหม่ ครอบครัวของเราจะมีการจัดงานเลี้ยง พอถึงเวลานั้นฉันจะแนะนำให้ทุกคนรู้จักกับทุกคนในตระกูลเฮ่อเอง”
แต่เฮ่อหลานกลับโบกมืออย่างรวดเร็ว “คุณยายคะ ไม่เป็นไรหรอกค่ะ”
หญิงชราพูดออกไปด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นไร ๆ เดี๋ยวให้ลี่ฮวาพาพวกเธอไปงานเลี้ยง ยังไงซะก็คุ้นเคยกันไว้จะดีกว่า”
แต่เฮ่อหลานรู้ดีว่าหลังปีใหม่นี้พวกเธอจะต้องกลับแล้ว มันจึงไม่จำเป็นเลย แต่หญิงชราก็ไม่ยินยอม “อาหลาน โอกาสที่พวกเธอจะมาก่างเฉิงอีกก็คงยาก เมืองนี้เองก็คึกคักดี ไม่เป็นไรหรอกรู้จักกันไว้ มาคราวหน้าจะได้คุ้นเคยกัน”
ผู้เฒ่าเฮ่อทั้งสองรู้ดีว่าเฮ่อหลานไม่ต้องการอยู่ในเมืองก่างเฉิง แต่จริง ๆ แล้วพวกเขาคิดว่ามันจะดีกว่าหากแม่ลูกทั้งสามอยู่ในเมืองนี้ ยังไงเสียพวกเขาก็ไม่ได้มีญาติในมณฑลเจียงอยู่แล้ว และการอาศัยอยู่ที่นี่ก็คงไม่ลำบาก ดังนั้นหญิงชราจึงวางแผนให้เฮ่อหลานและลูก ๆ สนิทคุ้นเคยกับคนในตระกูลไว้ และบางทีพวกเธออาจจะเปลี่ยนใจ
แต่เฮ่อหลานยังคงปฏิเสธ ด้านหญิงชราก็หนักแน่นมากเช่นกัน เธอจึงไม่พูดอะไรอีกในตอนท้าย
ในขณะที่หลายคนกำลังคุยกันอยู่ เฮ่อเจียรุ่ยกลับมาพอดี
“เจียรุ่ย ทำไมกลับมาช้าจัง?”
เมื่อได้ยินแม่ของตน เฮ่อเจียรุ่ยจึงยิ้มและตอบว่า “ระหว่างทางผมเจอลั่วเฉิง เลยแวะคุยกับเขาสักหน่อยครับ”
“บังเอิญจัง แม่ก็เจอลั่วเฉิงเหมือนกัน”
“อ้อ งั้นก็ไม่แปลกใจเลย…”
เฮ่อเจียรุ่ยยิ้มกว้าง “เขาบอกว่าลูกพี่ลูกน้องทั้งสองคนยังไม่เคยมาก่างเฉิง เขาเลยอยากเชิญเราไปสนามแข่งม้าน่ะครับ”
“เรื่องนี้…”
พานลี่ฮวามองถังซวงและถังเซวี่ยแล้วถามว่า “พวกเธออยากขี่ม้าไหม?”
ถังซวงที่ไม่มีอะไรทำพอดี เธอหันมองถังเซวี่ยแล้วถามว่า “เสี่ยวเซวี่ย เธออยากไปไหม?”