การหวนคืนสู่ยุค 70 ของเศรษฐีนีผู้มั่งคั่งร่ำรวย - บทที่ 17 พูดคุย(รีไรท์)
บทที่ 17 พูดคุย(รีไรท์)
บทที่ 17 พูดคุย(รีไรท์)
เมื่อเห็นใบหน้าที่อยากรู้อยากเห็นของถังเซวี่ยแล้ว ถังซวงก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ถ้าฉันจับสัตว์อะไรได้บนภูเขา ฉันจะเอามันไปขายในตำบล เราจะได้มีเงินไง”
พอได้ยินแบบนั้น ถังเซวี่ยก็มองถังซวงอย่างประหม่า “พี่สาว ถ้าขายของที่ได้มาจากในป่าจะโดนจับเอานะ มันไม่อันตรายเกินไปเหรอ”
ถังซวงลูบหลังถังเซวี่ยอย่างปลอบโยนและพูดว่า “ไม่ต้องกังวลไป พี่เข้าใจเรื่องนี้ดี อีกอย่างตอนนี้พี่เก่งขึ้นมากแล้ว เพราะงั้นคนพวกนั้นทำอะไรพี่ไม่ได้หรอก แถมพี่ยังวิ่งเร็วมากด้วย ดังนั้นไม่ต้องห่วงนะ แต่แค่…เรื่องนี้ห้ามบอกแม่เด็ดขาด เดี๋ยวแม่จะเป็นห่วงเอา”
“แต่…”
ก่อนที่ถังเซวี่ยจะพูดจบ ถังซวงก็หยิบลูกอมออกมาจากกระเป๋าแล้วพูดว่า “เอาล่ะ งานต่อไปของเธอคือตั้งใจเรียนอยู่ที่บ้าน พยายามเข้าชั้นป. 6 ให้ได้ แล้วก็ไม่ต้องคิดเรื่องอื่น”
เมื่อเห็นแววตาที่มั่นใจและแน่วแน่ของพี่สาว ถังเซวี่ยจึงรับลูกอมมาด้วยความงุนงง ก่อนจะพยักหน้า “ตกลงค่ะ”
“พวกลูกคุยอะไรกันอยู่?”
ทันทีที่เฮ่อหลานเดินเข้ามา เธอก็เห็นลูกสาวสองคนกำลังนั่งกระซิบอะไรบางอย่างอยู่ จึงเอ่ยถามขึ้นด้วยรอยยิ้ม
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ถังซวงก็พูดตรง ๆ ว่า “ไม่มีอะไรค่ะ หนูแค่บอกเสี่ยวเซวี่ยว่าเกิดอะไรขึ้นในตำบลวันนี้ คราวหน้าหนูจะพาน้องไปที่นั่นด้วย เธอจะได้ออกดูโลกภายนอกบ้าง”
“จริงเหรอคะพี่สาว!?”
ถังเซวี่ยแอบหน้าแดงเล็กน้อยในตอนแรก แม้จะรู้ว่าการโกหกมารดาไม่ใช่สิ่งที่ดี แต่เมื่อได้ยินว่าพี่สาวจะพาเธอเข้าตำบลด้วย เธอก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมาทันที และดวงตาก็เต็มไปด้วยความคาดหวัง
เมื่อเห็นลูกสาวคนเล็กของเธอเป็นแบบนี้ เฮ่อหลานก็อดไม่ได้ที่จะพูดว่า “งั้นพรุ่งนี้เราไปด้วยกันนะ แม่ว่าจะแวะที่ร้านขายผ้าเพื่อรับงานปักผ้ามาทำสักหน่อย เราจะได้มีเงินมากขึ้นด้วย”
“ค่ะ”
เมื่อแม่ลูกตกลงกันแล้ว ก็กลับไปนอนที่ห้อง
วันรุ่งขึ้น เฮ่อหลานตื่นแต่เช้าเพื่อทำบะหมี่หมูเส้นให้ลูกสาว เมื่อทั้งสามคนทานเสร็จแล้วก็ออกไปจากบ้าน
แม้จะยังเช้ามาก แต่ก็เป็นเวลาที่ชาวบ้านต้องออกไปทำงานแล้ว เมื่อพวกเขาเห็นสามแม่ลูก บางคนก็ทักทายพวกเขาด้วยรอยยิ้ม บางคนดูเฉยเมยไม่คิดสนใจ ทว่าบางคนก็จับกลุ่มกันเพื่อซุบซิบนินทา
“นี่… เธอได้ยินหรือยัง เฮ่อหลานหย่ากับสามีแล้ว ตอนนี้เธอกลับมาที่หมู่บ้านเถาฮวา แล้วยังพาลูกสาวสองคนกลับมาด้วย”
“ต้องได้ยินอยู่แล้วสิ น่าสงสารจริง ๆ อนาคตสามแม่ลูกจะอยู่กันยังไงนะ”
“เมื่อก่อนเฮ่อหลานสวยมาก แต่ดูเธอตอนนี้สิ ตระกูลถังนี่ใจไม้ไส้ระกําเกินไปแล้ว ดีแล้วล่ะที่เธอจากมา”
เมื่อได้ยินแบบนี้ หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งก็พูดขึ้นมาว่า “หึ… เธอคิดจริง ๆ เหรอว่าเฮ่อหลานอยากจะหย่า เธอคงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องหย่าไง ฉันได้ยินมาว่าถังเจี้ยนกั๋วมีสัมพันธ์กับแม่ม่าย แถมหล่อนยังตั้งท้องลูกชายอีก สามแม่ลูกถึงถูกไล่ออกจากตระกูลถังเพื่อให้มีที่ว่างสำหรับแม่ม่ายนั่นไง”
“เฮ้อ… เฮ่อหลานจะน่าสงสารเกินไปแล้ว แต่ถังเจี้ยนกั๋วนี่ยังไงกัน มีความสัมพันธ์กับหญิงม่ายทั้งที่มีภรรยาอยู่แล้วแท้ ๆ”
“ฮึ่ม… เป็นเพราะเฮ่อหลานไร้ความสามารถในการคลอดลูกชายไง ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่เธอให้กำเนิดลูกสาวสองคนติดต่อกันด้วย ถังเจี้ยนกั๋วหมดความอดทนกับเธอมาตั้งนานแล้ว” สิ่งที่หญิงวัยกลางคนพูดถือว่าใจร้ายมาก แล้วยังเป็นการดูถูกเฮ่อหลานอีกด้วย
“ข่งหม่านจู มันเป็นอย่างที่เธอว่าจริง ๆ ผู้หญิงที่ไร้ประโยชน์ให้กำเนิดลูกชายไม่ได้ก็ควรถูกทอดทิ้งนั่นแหละ”
ไม่ใช่ทุกคนในหมู่บ้านเถาฮวาที่มีลูกชาย เมื่อได้ยินสิ่งที่คนกลุ่มนี้กำลังพูด พวกหล่อนจึงรู้สึกไม่พอใจเป็นอย่างมาก
เมื่อเห็นผู้หญิงหลายคนมีสีหน้าไม่พอใจ ข่งหม่านจูก็รู้ว่าสิ่งที่เธอพูดเมื่อกี้ไม่เหมาะสม เธอจึงรีบเปลี่ยนเรื่องทันที “ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นซะหน่อย ว่าแต่ทำไมสามแม่ลูกถึงไม่ไปทำงานกันล่ะ? เดี๋ยวได้อดตายกันพอดี อยากรู้จริง ๆ ว่าพวกเขาจะอยู่กันยังไง”
คนอื่น ๆ ก็อยากรู้เช่นกัน “หรือเพราะเพิ่งจะกลับมา วันนี้ก็เลยยังไม่ไปทำงาน”
“ใช่ ๆ บางทีทั้งสามคนแม่ลูกอาจจะเริ่มทำงานในวันพรุ่งนี้ หยุดพูดถึงเฮ่อหลานเถอะ ไปกันดีกว่า เดี๋ยวจะสายเอา”
ทุกคนเห็นว่าเริ่มสายแล้ว ก็แยกย้ายกันไปอย่างรวดเร็ว
ด้านถังซวง เธอหันมามองเฮ่อหลานพร้อมกับขมวดคิ้ว “แม่คะ แม่จะลากหนูออกมาทำไม? คนพวกนั้นพูดน่าเกลียดมาก หนูควรบอกให้พวกหล่อนหยุดพูดซะ”
“ซวงเอ๋อร์ แม่รู้ว่าลูกต้องการปกป้องแม่ แต่เราเพิ่งมาถึงหมู่บ้านเถาฮวา แถมยังไม่ได้เป็นคนของหมู่บ้านนี้จริง ๆ ถ้ามีเรื่องกับข่งหม่านจูขึ้นมา ชาวบ้านจะอยู่ข้างเธออย่างแน่นอน เพราะงั้นอย่าหุนหันพลันแล่นเลยนะ”
แม้ว่าถังเซวี่ยจะโกรธด้วย แต่เธอก็รู้สึกว่าคำพูดของแม่มีเหตุผล
“ใช่แล้ว พี่สาว อดทนไว้ก่อนนะคะ ถ้าผู้หญิงคนนั้นพูดถึงแม่ไม่ดีอีก ไว้เราค่อยสั่งสอนบทเรียนให้เธอเป็นการส่วนตัวกัน”
ได้ยินแบบนี้ ถังซวงก็ยิ้มออกมาทันที
“เสี่ยวเซวี่ย คำแนะนำของเธอดีมาก ครั้งต่อไปถ้าเราต้องการสอนบทเรียนให้ใคร เราค่อยสอนบทเรียนให้เขาอย่างลับ ๆ”
เห็นลูกสาวสองคนพูดกันอย่างนั้น เฮ่อหลานพลันรู้สึกปวดหัวขึ้นมา นิสัยของพวกเธอเปลี่ยนไปมาก ทั้งลูกสาวคนโตและคนเล็กก็เป็นแบบนี้ไปเสียหมด เธอจึงไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี แน่นอนว่าการทำร้ายคนอื่นนั้นผิด แต่เมื่อเธอกำลังจะพูด ลูกสาวทั้งสองคนกลับเดินไปไกลแล้วยังโบกมือเรียกให้เธอรีบตามมาด้วย
เห็นความกระฉับกระเฉงและความมีชีวิตชีวาของลูกสาวทั้งสอง เฮ่อหลานก็กลืนคำพูดลงไปและยิ้มออกมาแทน
เมื่อสามแม่ลูกมาถึงในตำบล เฮ่อหลานก็แวะไปที่ร้านขายผ้าก่อน
“พี่เต๋า ฉันมารับงานเย็บปักค่ะ”
เมื่อเต๋าซิ่วจวินเห็นเฮ่อหลาน ใบหน้าของเธอก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ “น้องหลาน ทำไมถึงมาที่นี่ได้ล่ะ? ไม่ได้เจอกันตั้งนานเลย”
เฮ่อหลานมีความสุขมากที่ได้เจอเต๋าซิ่วจวิน
“พี่เต๋า ฉันพาลูกสาวมาเที่ยวในตำบลน่ะ เลยแวะมารับงานปักจากพี่ด้วย”
เต๋าซิ่วจวินมองไปที่ถังซวงกับถังเซวี่ย แม้เด็กหญิงตัวเล็ก ๆ สองคนจะแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าที่ขาด ๆ ไปบ้าง แต่พวกเธอก็มีนัยน์ตาที่สดใสและเป็นประกาย ดังนั้นเธอจึงอดไม่ได้ที่จะชมเชย “น้องหลาน ลูกสาวสองคนของเธอดูอ่อนโยนและใจดีเหมือนเธอมากเลยนะ”
พ่อแม่มักต้องการให้ลูก ๆ ของพวกเขาได้รับคำชม เฮ่อหลานเองก็ไม่มีข้อยกเว้นเช่นกัน เมื่อได้ยินเต๋าซิ่วจวินชมลูกสาวของเธอ เธอก็ยิ้มออกมาทันที “พี่เต๋า พวกแกไม่ได้ดีอย่างที่พี่พูดเท่าไหร่หรอก บางครั้งก็ดื้อรั้นพอสมควรเลย”
“ฮ่า ๆ… อย่าถ่อมตัวไปเลย ว่าแต่น้องหลาน คนจากตำบลซูจะมาอบรมต้นเดือนหน้า ถ้าว่างก็มาฟังด้วยกันได้นะ”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ เฮ่อหลานรีบพยักหน้าและพูดว่า “ได้ค่ะ ฉันจะมาแน่นอนค่ะ”
แม้ว่าฝีมืองานปักของเธอจะไม่เลวร้าย แต่มันก็อยู่ในระดับกลาง ๆ เท่านั้น มีช่องว่างระหว่างคนที่เรียนมากับคนที่ไม่เคยเรียนอยู่ ทว่าตอนนี้เธอมีโอกาสเรียนรู้แล้ว เธอจะไม่ปล่อยมันไปอย่างแน่นอน
เต๋าซิ่วจวินยิ้มและพูดว่า “เอาล่ะ ยังไงก็มาได้เลยนะ”
หลังจากพูดคุยกับเต๋าซิ่วจวินอีกสองสามคำ เฮ่อหลานก็จากไปอย่างมีความสุขพร้อมกับงานปัก
เมื่อเห็นใบหน้าที่มีความสุขของแม่ ถังซวงก็หัวเราะออกมาและพูดว่า “แม่คะ ตอนเที่ยงไปกินอาหารในตำบลกันเถอะ กลับไปจะได้ไม่ต้องทำอาหาร”
เฮ่อหลานส่ายหัวปฏิเสธทันที
“ไม่จำเป็นหรอกซวงเอ๋อร์ เรากลับไปทำอาหารกันดีกว่า มันแพงเกินไปที่จะกินข้าวข้างนอกนะ แม่ยิ่งไม่มีคูปองอาหารมากมายขนาดนั้นด้วย”
ถังซวงเงียบไปทันทีเมื่อได้ยิน แม้ว่าเธอจะมีคูปองอยู่ในมือ แต่เธอก็ไม่มีโอกาสหยิบมันออกมา เนื่องจากเธอไม่สามารถไปทานอาหารที่ร้านอาหารของรัฐได้ เธอจึงจะไปยังสถานที่อื่น ซึ่งเป็นที่ที่ถังซวงอยากจะไปมาตลอด
“แม่คะ งั้นเราไปที่ร้านขายของเก่ากันเถอะ”