การหวนคืนสู่ยุค 70 ของเศรษฐีนีผู้มั่งคั่งร่ำรวย - บทที่ 172 ไม่จำเป็นต้องอธิบาย
บทที่ 172 ไม่จำเป็นต้องอธิบาย
บทที่ 172 ไม่จำเป็นต้องอธิบาย
เมื่อเห็นว่าเรื่องทั้งหมดจบลงแล้ว ผู้รับผิดชอบสนามจึงจากไปด้วยรอยยิ้ม
พานลั่วเฉิงอยู่ด้านข้างกล่าวขึ้นด้วยความเสียใจ “น้องถังซวง เธอควรเลือกม้าที่ดีที่สุดในสนามสิ รู้ไหมว่าเธอจะพลาดโอกาสดีซะแล้ว”
ถังซวงลูบหัวม้าด้วยรอยยิ้มแล้วพูดว่า “ม้าตัวนี้เป็นม้าที่ดี ถึงฉันจะไม่เห็นม้าทั้งหมดในสนาม แต่ฉันมั่นใจว่าม้าพวกนั้นไม่ดีเท่าม้าที่อยู่ในมือฉันตอนนี้แน่” ขณะพูดอย่างนั้น ถังซวงมองม้าสีดำตรงหน้าแล้วพูดว่า “ฉันจะเรียกมันว่าเสี่ยวเฮย”
“ฮี๊…”
เมื่อเห็นว่าเสี่ยวเฮยร้องรับ ถังซวงหัวเราะแล้วพูดต่อว่า “ดูเหมือนว่าแกจะชอบชื่อนี้สินะ”
“คิคิ…”
ถังเซวี่ยมองมาจากด้านข้างพร้อมหัวเราะ “พี่คะ พี่ตั้งชื่อได้แย่มาก”
“เอาน่า อย่าไปใส่ใจเลย”
ถังซวงแตะลำคอของเสี่ยวเฮย ก่อนจะหันมองถังเซวี่ยแล้วพูดว่า “เสี่ยวเซวี่ย เธอยังไม่ได้ฝึกขี่ม้าเลย เรามาเริ่มกันเลยดีกว่า”
“ค่ะ ได้เลย”
ถังเซวี่ยพยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย
พนักงานนำม้าที่ถังเซวี่ยเลือกออกมาทันที
เวลานี้ ม้าของเฮ่อเจียรุ่ยและพานลั่วเฉิงก็มาแล้วเช่นกัน พวกเขาจึงตรงเข้าสู่สนามแข่งทันที
ถังซวงเห็นว่าเฮ่อเจียรุ่ยและพานลั่วเฉิงขึ้นหลังม้าแล้ว จึงพูดออกไปว่า “พวกพี่เอาม้าออกไปได้เลย ฉันจะสอนเสี่ยวเซวี่ยขี่ม้าเอง”
เฮ่อเจียรุ่ยได้ยินอย่างนั้นแล้วจึงตอบว่า “ฉันสัญญาไว้แล้วว่าจะเป็นคนสอน น้องสาวถังซวง ให้ฉันสอนเถอะ”
“ไม่ต้องหรอกค่ะพี่ชาย น้องสาวฉัน เดี๋ยวฉันจัดการเอง”
“ใช่ค่ะพี่ ฉันอยากให้พี่สาวเป็นคนสอน”
หลังเห็นว่าทั้งสองสาวตัดสินใจแล้ว เฮ่อเจียรุ่ยจึงไม่เซ้าซี้อีกต่อไป และพานลั่วเฉิงที่ลังเลแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้
หลังจากทั้งสองออกไปแล้ว ถังซวงเริ่มสอนถังเซวี่ย
“เสี่ยวเซวี่ย เดี๋ยวฉันช่วยเธอขึ้นม้าก่อนนะ”
“ค่ะ”
หลังจากถังเซวี่ยขึ้นม้าแล้ว ถังซวงก็เริ่มสอนเธออย่างช้า ๆ “เสี่ยวเซวี่ย จับบังเหียนด้วยมือทั้งสองข้างนะ ใช้นิ้วหัวแม่มือจับปลายด้านหนึ่ง แล้วใช้นิ้วนางกับนิ้วก้อยหนีบปลายอีกด้านไว้ให้แน่น”
หลังได้ยินแล้ว ถังเซวี่ยจับบังเหียนตามที่ถังซวงบอกอย่างกระตือรือร้น “พี่คะ แล้วฉันต้องทำยังไงต่อ?”
“หลังจากนั่งบนอานม้าแล้ว ให้ใช้ขาหนีบลำตัวของม้าให้แน่น จำไว้ว่าร่างกายท่อนบนของเราต้องตั้งตรง ห้ามงอหลังเด็ดขาด นั่งหลังตรงตลอดเวลา”
“ค่ะ ฉันจะจำไว้”
ถังเซวี่ยจดจำทุกสิ่งที่ถังซวงสอนอย่างตั้งใจ และขณะเดียวกันเธอก็อดไม่ได้ที่จะกลัว “พี่คะ มัน… มันจะไม่เป็นไรจริงหรือ?”
“อืม ม้าของเธอเชื่องมาก ไม่ต้องกลัว”
หลังได้ยินแล้ว ถังเซวี่ยสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ แววตาเผยความมั่นใจออกมา “ค่ะ ฉันเข้าใจแล้ว”
ก่อนถังเซวี่ยจะเริ่มควบให้ม้าเดิน ถังซวงบอกวิธีหยุดม้าแล้วพูดว่า “เอาล่ะเสี่ยวเซวี่ย ลองดู”
หลังจากม้าของถังเซวี่ยเริ่มเดิน เธอก็ยิ่งตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อย ๆ “ว้าว การขี่ม้าก็ไม่ได้ยากนี่นา” แต่เธอก็รู้ดีว่าตัวเองยังเป็นมือใหม่ และไม่กล้าที่จะเร่งม้านัก เธอจึงค่อย ๆ ให้มันเดินไปอย่างเชื่องช้า
หลังเห็นว่าถังเซวี่ยคุ้นเคยกับมันแล้ว ถังซวงพลันผ่อนคลาย หลังจากที่อีกฝ่ายหยุดม้า ถังซวงถามต่อไปว่า “เป็นยังไงบ้าง สนุกไหม?”
“สนุกค่ะ”
ถังเซวี่ยตอบอย่างมีความสุข
หลังจากถังซวงคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว เธอจึงพูดว่า “เสี่ยวเซวี่ย หลังจากได้เรียนทักษะต่าง ๆ กับลุงซุนแล้ว ฉันก็ทำอะไรได้หลายอย่าง คราวที่แล้วที่ฉันไปเมืองหลวง ฉันเลยเรียนรู้วิธีขี่ม้ามาด้วย ฉันเลยสามารถพลิกสถานการณ์ได้ทันที ไม่รู้สิ ฉันคงมีพรสวรรค์ด้านนี้มั้ง แค่ฝึกนิด ๆ หน่อย ๆ ก็ทำได้”
เฮ่อเจียรุ่ยและคนอื่น ๆ ไม่ได้รู้จักเธอดี ดังนั้นพวกเขาจึงไม่แปลกใจที่เห็นว่าเธอขี่ม้าได้ แต่ถังเซวี่ยที่อยู่กับเธอแทบจะตลอดเวลา และช่วงเวลาที่ยาวนานที่สุดที่ทั้งสองแยกจากกันมีแค่ช่วงที่เธอไปเมืองหลวง
หลังได้ยินแล้ว ถังเซวี่ยมองถังซวงแล้วพูดว่า “พี่คะ จริง ๆ แล้ว… พี่ไม่ต้องอธิบายก็ได้ เพราะพี่เก่งทุกอย่างอยู่แล้ว ฉันอิจฉาพี่จริง ๆ”
“เสี่ยวเซวี่ย…”
หลังได้ยินแล้ว ถังซวงมองถังเซวี่ยอย่างประหลาดใจ เพราะเธอคิดว่าอีกฝ่ายน่าจะสงสัย
แต่ถังเซวี่ยตอบว่า “พี่คะ หลังจากที่พี่หัวกระแทกตอนนั้น พี่ก็เก่งมากขึ้นเรื่อย ๆ อยากทำอะไรก็ทำได้หมด และพี่ยังยืนอยู่ตรงหน้าเพื่อปกป้องแม่กับฉันด้วย หลังจากเห็นพี่เป็นอย่างนี้แล้ว ฉันรู้สึกปลอดภัยจริง ๆ ไม่ว่ายังไงพี่ก็คือพี่สาวของฉัน และฉันก็รักพี่ที่สุดเลยค่ะ”
เมื่อเทียบกับในอดีต เธอเปลี่ยนไปมากจริง ๆ แต่น้องสาวของเธอยังคงเป็นคนเดิม ในหัวของเด็กสาวคิดถึงเพียงแม่และพี่สาวเท่านั้น จู่ ๆ พี่สาวที่เปลี่ยนไปราวกับตื่นจากความฝันและถังเซวี่ยก็รู้สึกชอบชีวิตในตอนนี้มาก
เมื่อถังซวงได้ยินคำพูดของถังเซวี่ย เธออดไม่ได้ที่จะลูบศีรษะของถังเซวี่ยแล้วยิ้มกว้าง
“ฉันก็รักเสี่ยวเซวี่ยมากเหมือนกัน”
“พวกเธอคุยอะไรกันอยู่น่ะ”
ขณะสองสาวกำลังคุยกัน เฮ่อเจียรุ่ยก็วิ่งเข้ามา “ซวงเอ๋อร์ เสี่ยวเซวี่ย เพื่อนของฉันมาที่นี่ด้วย เดี๋ยวไปเจอกันนะ จะได้ออกวิ่งด้วยกัน”
“ค่ะพี่”
ถังซวงและถังเซวี่ยพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
เมื่อสองสาวไปถึงด้านหน้า พบว่ามีคนมากพอสมควร
และเมื่อพานลั่วเฉิงเห็นถังซวง เขาก็รีบโบกมือให้เธอทันทีพร้อมพูดว่า “น้องถังซวง มานี่สิ เดี๋ยวฉันแนะนำให้รู้จักกับเพื่อนของฉัน” เขาชี้ไปที่ชายร่างสูงด้านข้างพร้อมพูดว่า “คนนี้คือซูยี่ เป็นเพื่อนสนิทฉันเอง ส่วนนั่นหลี่เล่ย เป็นพี่ชายของฉัน ส่วนผู้หญิงสวย ๆ คนนี้คือจูเหลียน อีกคนคือหลิวหลิงหลิง เป็นเพื่อนของจูเหลียนอีกทีน่ะ”
ถังซวงมองคนกลุ่มใหญ่ตรงหน้าพร้อมพยักหน้าทักทาย
เมื่อจูเหลียนเห็นถังซวง ความอิจฉาถึงกับเผยในแววตา หญิงสาวตรงหน้านี้สวยและน่ารักกว่าใครทุกคนที่เธอเคยเห็น “เธอมาจากตระกูลไหนหรือ? ทำไมฉันไม่เคยเจอหน้าเธอเลย”
ด้านเฮ่อเจียรุ่ยก้าวไปด้านหน้าแล้วตอบว่า “นี่คือถังซวง และนี่ถังเซวี่ย ทั้งสองคนนี้เป็นลูกพี่ลูกน้องของฉัน อย่างนี้รู้หรือยังว่าทั้งสองคนนี้มาจากครอบครัวไหน”
หลังได้ยินอย่างนี้แล้ว จูเหลียนประหลาดใจเล็กน้อยก่อนจะรีบขอโทษด้วยรอยยิ้มว่า “อ้อ เป็นลูกพี่ลูกน้องของคุณชายเฮ่อนี่เอง ฉันไม่เคยได้ยินว่าคุณชายเฮ่อมีลูกพี่ลูกน้องมาก่อน”
“เมื่อก่อนไม่มี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าตอนนี้จะมีไม่ได้ พวกเขาเป็นลูกสาวของอาเล็ก และเป็นสมาชิกในครอบครัวของเรา กว่าจะได้เจอกันค่อนข้างลำบากมาก”
ตอนนี้ทุกคนเห็นแล้วว่าเฮ่อเจียรุ่ยให้ความสำคัญกับสองสาวนี้มาก ดังนั้นพวกเขาจึงรีบพูดออกไปด้วยความกระตือรือร้น
ส่วนซูยี่ที่มองถังซวงตาไม่กะพริบ ก่อนจะหันมองเฮ่อเจียรุยแล้วถามว่า “ฉันไม่คิดมาก่อนว่าคุณเฮ่อมีลูกพี่ลูกน้องที่สวยขนาดนี้ถึงสองคน ไหน ๆ วันนี้พวกเราก็มาที่สนามแข่งม้านี้แล้ว ออกไปวิ่งด้วยกันหน่อยไหม”
“คุณชายซู ถ้าอยากวิ่งรอบ ๆ สนาม เดี๋ยวฉันไปด้วย ส่วนซวงเอ๋อร์กับเสี่ยวเซวี่ย พวกเธอเพิ่งฝึกออกวิ่งมา จำเป็นต้องพักเหนื่อยสักหน่อย เอาล่ะ พวกเราไปกันเถอะ”