การหวนคืนสู่ยุค 70 ของเศรษฐีนีผู้มั่งคั่งร่ำรวย - บทที่ 174 น่าเบื่อ
บทที่ 174 น่าเบื่อ
บทที่ 174 น่าเบื่อ
ถังเซวี่ยยังคงอยู่แถวจุดเริ่มต้น และเมื่อเห็นคนอื่นวิ่งออกไปไกลแล้ว เธอก็ไม่ได้ขี่ม้าต่อ แต่กลับหยุดเพื่อดูการแข่งขัน เมื่อเห็นว่าพี่สาวเป็นผู้นำและได้ชัยชนะไป เธอก็กระโดดด้วยความตื่นเต้น
ส่วนถังซวงอยู่ที่เส้นชัย มองคนที่มาถึงในภายหลังด้วยรอยยิ้มแล้วพูดว่า “ฉันชนะแล้ว”
เมื่อเห็นใบหน้ายิ้มแย้มของถังซวงแล้ว ใบหน้าของจูเหลียนพลันกลายเป็นบูดบึ้ง “เธอ… เธอขี่ม้าได้ดีขนาดนี้เลยหรือ”
“คุณจู คุณชายพานเพิ่งบอกไปเมื่อกี้นี้เองว่า ฉันขี่ม้าเก่ง พวกคุณไม่เชื่อหรือคะ?”
“นี่เธอ…”
หลังได้ยินคำพูดของถังซวงแล้ว จูเหลียนโกรธมาก เธอคิดว่าคำพูดของพานลั่วเฉิงเป็นเพียงการยกยอ แต่ใครจะรู้ว่านั่นคือความจริง เวลานี้กลายเป็นว่าเธอได้เสียเงินจำนวนมากให้กับถังซวงไปแล้ว อีกฝ่ายได้รับเงินอย่างง่ายดายโดยไม่ต้องทำอะไรเลย
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ จูเหลียนก็รู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมา
ส่วนซูยี่มองถังซวงด้วยรอยยิ้มและพูดว่า “ฉันไม่คาดหวังเลยว่าคุณถังไม่เพียงสวยอย่างเดียว แต่ยังขี่ม้าเก่งด้วย ถ้ามีโอกาสในอนาคต เราน่าจะได้ขี่ม้าด้วยกันอีกนะครับ”
“ขอบคุณค่ะคุณชายซู ยังไงแล้ววันนี้ต้องขอบคุณทุกคนด้วยนะคะ ไว้เราค่อยมาขี่ม้าด้วยกันอีกในอนาคตนะคะ”
เฮ่อเจียรุ่ยมองถังซวงที่สดใสและสวยงามตรงหน้า ก่อนจะหัวเราะเสียงดัง “ซวงเอ๋อร์ เธอเก่งเกินไปแล้ว ฉันอยากรู้จริง ๆ ว่ามีอะไรอีกไหมที่เธอทำไม่ได้” ตอนท้ายเขาเป็นคนมอบรางวัลถาดใหญ่ให้กับถังซวงแล้วพูดเสริมว่า “ทั้งหมดนี้เป็นของเธอแล้ว”
“อย่างนั้นฉันขอรับทั้งหมดไว้นะคะ”
ถังซวงเก็บกำไลข้อมือที่เธอหยิบออกมาในคราวแรกด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะเริ่มเก็บธนบัตรของคนอื่นต่อ
เมื่อเห็นว่าตอนนี้เริ่มเย็นแล้ว ถังซวงมองเฮ่อเจียรุ่ยแล้วถามว่า “พี่คะ เราจะกลับตอนไหนหรือ?”
“เรากลับกันตอนนี้เลยดีไหม จะได้ทันเวลาอาหาร”
หลังได้ยินแล้ว พานลั่วเฉิงพูดต่อ “พี่เฮ่อรุ่ย ทำไมทำตัวน่าเบื่ออย่างนี้ครับ น้องถังซวงเพิ่งชนะที่หนึ่งนะ เธอต้องเป็นคนชวนพวกเราไปกินอาหารเย็นสิ พวกคุณไม่คิดอย่างนั้นหรือ?” หลังกล่าวจบ เขาหันมองคนทั้งหมดเพื่อถามความเห็น
ซูยี่เป็นคนแรกที่พยักหน้าเห็นด้วย “อื้ม เธอน่าจะเลี้ยงมื้อค่ำพวกเรานะ”
“ใช่ ๆ ไปกินอาหารกัน”
หลี่เล่ยตะโกนจากด้านข้างอย่างตื่นเต้น
แต่จูเหลียนกลับพูดประชดประชัน “คุณถัง คุณได้รับเงินตั้งมากแล้ว คงจะไม่ลำบากกับการเชิญพวกเราไปกินมื้อเย็นใช่ไหมคะ? นี่เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยอยู่แล้ว”
หลิวหลิงหลิงต้องการอยู่ข้างจูเหลียน เธอจึงกล่าวเสริมว่า “ใช่แล้ว เธอชนะได้เงินไปตั้งเยอะ แค่เลี้ยงมื้อเย็นคงไม่มากเกินไปหรอก”
เมื่อเห็นว่าจูเหลียนและหลิวหลิงหลิงทำให้ถังซวงต้องอับอาย เฮ่อเจียรุ่ยจึงทำหน้าไม่พอใจ
“นี่… พวกเธอสองคนหมายความว่ายังไง? เธอคิดว่าตระกูลเฮ่อของพวกเราไม่มีเงินจ่ายค่าอาหารงั้นหรือ?”
เมื่อเห็นว่าเฮ่อเจียรุ่ยโกรธแล้ว ทุกคนก็เงียบทันที
จูเหลียนทำได้เพียงพึมพำเบา ๆ “แน่นอนว่าตระกูลเฮ่อคงไม่สนใจเงินเล็กน้อยพวกนี้ แต่คุณถังไม่เหมือนกัน นี่อาจเป็นครั้งแรกที่เธอได้เงินจำนวนมากแบบนี้ คงไม่แปลกถ้าเธอไม่เต็มใจ”
ถังเซวี่ยโกรธมากเมื่อได้ยินอย่างนั้น เธอกำลังจะพูดบางอย่างแต่กลับถูกถังซวงหยุดไว้ ก่อนจะมองไปที่จูเหลียนด้วยสีหน้าเย็นชาแล้วเอ่ยปาก “อ้อ ถ้าคุณจูอยากกินมาก อย่างนั้นก็ได้ค่ะ ฉันขอเชิญทุกคนไปกินมื้อเย็นที่โรงแรมก่างเฉิงแล้วกันค่ะ”
หลังจากได้ยินแล้ว ทุกคนมองถังซวงด้วยความประหลาดใจ
โรงแรมก่างเฉิงนั้นเป็นโรงแรมระดับสูง หากไปรับประทานกันหลายคนคงจะต้องใช้เงินจำนวนไม่น้อยสำหรับอาหารยอดเยี่ยมเหล่านั้นแน่นอน แต่มันก็ไม่สามารถเทียบกับเงินที่ถังซวงชนะ ดังนั้นทุกคนจึงพยักหน้ารับ และพูดว่า “อ่า งั้นไปกินมื้อเย็นที่โรงแรมก่างเฉิงกันเถอะ”
ด้านเฮ่อเจียรุ่ยต้องการจ่ายแทน แต่ถังซวงกลับหยุดเขาไว้
“พี่คะ วันนี้ฉันชนะการเดิมพัน ได้เงินเกือบหนึ่งล้านหยวน เป็นเรื่องธรรมดาที่จะเชิญพวกเขาไปกินอาหาร ดังนั้นพี่ไม่ต้องกังวลเลยค่ะ”
แม้แต่ถังเซวี่ยยังพูดด้วยรอยยิ้ม “ใช่แล้ว พี่ชายให้พวกเราเลี้ยงบ้างนะคะ” เมื่อคิดถึงท่าทีของคุณจู สาวน้อยก็เผยสีหน้าไม่ชอบใจนัก “พี่คะ จูเหลียนคนนั้นน่ารำคาญมาก ทำไมเธอคิดแต่จะจับผิดพี่ก็ไม่รู้”
“ชู่ว… เบา ๆ เดี๋ยวเขาได้ยิน”
ถังเซวี่ยมองถังซวงและพูดต่อว่า “พี่คะ ฉันรู้น่า ฉันไม่ไปพูดกับใครหรอก”
เมื่อเห็นว่าถังเซวี่ยยังดูโกรธอยู่ ถังซวงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะแล้วพูดว่า “เสี่ยวเซวี่ย แม้อีกฝ่ายจะไม่ชอบฉัน แต่มันก็ไม่สำคัญเลย เพราะยังไงแล้วฉันก็ชนะ พวกเขาทำได้แค่โกรธและทำอะไรไปมากกว่านั้นไม่ได้ แค่นี้ก็สนุกแล้ว”
หลังได้ยินอย่างนั้น ถังเซวี่ยก็นึกได้และรู้สึกอย่างนั้นด้วย ใบหน้าของเธอจึงค่อย ๆ ผ่อนคลาย
ด้านถังซวงลูบศีรษะของถังเซวี่ยด้วยรอยยิ้มแล้วพูดว่า “เสี่ยวเซวี่ยเป็นเด็กดีมาก ไปกินอาหารอร่อย ๆ กันดีกว่านะ”
“ค่ะ”
เมื่อทั้งกลุ่มมาถึงโรงแรมกางเฉิงแล้ว ถังซวงไม่กังวลแม้แต่น้อย เธอเริ่มสั่งอาหารทันที และอาหารแต่ละอย่างที่เธอสั่งก็มีราคาแพง เพื่อไม่ให้มีใครกังขาได้
เมื่อเห็นอย่างนี้แล้ว จูเหลียนก็ไม่สามารถพูดอะไรได้อีก แม้อยากจะพูดเท่าไหร่ก็ตาม
ด้านซูยี่และพานลั่วเฉิงมองถังซวงด้วยความชื่นชม และรู้สึกว่าอีกฝ่ายรับมือได้ดีไปเสียทุกเรื่อง
ส่วนเฮ่อเจียรุ่ยสังเกตเห็นสายตาของทั้งสองคนอย่างชัดเจน เขาก็กล่าวคำด้วยน้ำเสียงเย็นชา “อย่าได้คิดแตะต้องซวงเอ๋อร์ของฉันเด็ดขาด เธอมีเพื่อนชายคนสนิทแล้ว และเขาก็ดีมากด้วย เอาสายตาของพวกนายออกไปไกล ๆ ซะ”
“อะไรนะ…”
หลังพานลั่วเฉิงได้ยินดังนั้น เขาก็รู้สึกราวกับมีสายฟ้าฟาดลงกลางใจ “เป็นไปได้ยังไง?”
ซูยี่พูดติดตลก “ทำไม? ฉันก็มีเพื่อนผู้หญิงตั้งเยอะ แล้วนี่คุณถังยังไม่แต่งงานด้วยซ้ำ แค่เรื่องพวกนี้ไม่ใช่อุปสรรคอะไรนี่”
เมื่อได้ยินคำพูดของซูยี่แล้ว พานลั่วเฉิงรู้สึกตัวและพูดด้วยรอยยิ้ม “อ้อ ใช่ เป็นอย่างนั้นแหละ”
เฮ่อเจียรุ่ยขมวดคิ้วแล้วมองทั้งสองคน “อย่ายุ่งกับซวงเอ๋อร์ เธอไม่ใช่คนที่พวกนายจะไปวุ่นวายได้หรอกนะ”
“พี่เจียรุ่ย คงจะไม่ได้แล้วล่ะครับ พวกเราน่ะทุ่มสุดตัวเลย เพราะทุกครั้งที่ตกหลุมรัก อะไรก็หยุดพวกผมไม่ได้หรอก”
“หุบปาก”
เฮ่อเจียรุ่ยไม่สนใจสิ่งที่พานลั่วเฉิงพูด เขารู้สึกว่าลูกพี่ลูกน้องคนนี้ดูไร้ยางอายเสียเหลือเกิน
ส่วนซูยี่ที่อยู่ข้าง ๆ แค่ยิ้ม แต่ไม่ได้พูดอะไรต่อ
หลังจากกินอาหารเสร็จ จูเหลียนไม่ต้องการอยู่ที่นี่ต่อไป เธอจึงพาหลิวหลิงหลิงและคนอื่น ๆ กลับทันที
ส่วนซูยี่เดินไปหาถังซวงด้วยรอยยิ้มอบอุ่นบนใบหน้า “ไม่รู้ว่าผมจะได้รับเกียรติเชิญคุณถังไปดูหนังสักเรื่อง…”
หลังจากได้ยินแล้ว ถังซวงเหลือบมองซูยี่ก่อนจะตอบว่า “ขอโทษนะคะ ฉันคงต้องขอตัวกลับก่อน”
“คุณถัง คำปฏิเสธของคุณเย็นชาเกินไปรึเปล่าครับ คุณไม่ได้มาก่างเฉิงบ่อย ๆ ถ้าไม่ออกไปข้างนอกบ้าง คุณจะไม่เบื่อหรือครับ?”
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังจู้จี้ ถังซวงจึงต้องกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “ขอโทษด้วยนะคะคุณชายซู ฉันไม่อยากไปดูหนังกับคุณค่ะ เข้าใจไหมคะ?”
หลังพูดจบ ถังซวงพาถังเซวี่ยกับเฮ่อเจียรุ่ยออกไปทันที
“หึ… น่าสนใจจริง ปฏิเสธตรง ๆ แบบนี้เลยหรือ”
พานลั่วเฉิงถอนหายใจแล้วพูดต่อ “ดูเหมือนว่าคุณถังจะมีเจ้าของหัวใจซะแล้ว และเธอก็ไม่ได้สนใจพวกเราเลยสักนิด”