การหวนคืนสู่ยุค 70 ของเศรษฐีนีผู้มั่งคั่งร่ำรวย - บทที่ 188 ตอบโต้
บทที่ 188 ตอบโต้
บทที่ 188 ตอบโต้
หญิงชราเป็นคนเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่นี้ให้ทุกคนฟัง แล้วในที่สุดก็พูดว่า “เจียรุ่ยเคยพูดมาก่อนว่าซวงเอ๋อร์มีเพื่อนชายคนสนิทแล้ว และเขาก็เป็นคนดีมากด้วย ดังนั้นคราวหน้าเธอควรจะบอกลั่วเฉิงไปตามตรงว่าให้เลิกสนใจซวงเอ๋อร์ซะ เพราะเวลานี้ซวงเอ๋อร์ไม่ได้คิดอะไรกับเขาเลย” ความจริงแล้วหญิงชราก็พูดไม่ออก แต่เธอรู้สึกได้ว่าพานลั่วเฉิงยังไม่ดีพอสำหรับถังซวง แต่เพราะพานลี่ฮวาเป็นลูกสะใภ้ของเธอ มันจึงค่อนข้างพูดยาก
เมื่อได้ยินอย่างนี้แล้ว ใบหน้าของพานลี่ฮวาเปลี่ยนสีด้วยความลำบากใจ เธอรีบพยักหน้าแล้วตอบว่า “ค่ะคุณแม่ ฉันเข้าใจแล้ว ถ้าฉันได้เจอกับลั่วเฉิง ฉันจะบอกให้หลานคนนี้ให้เข้าใจค่ะ”
หลังพูดออกไปอย่างนี้แล้ว พานลี่ฮวารีบพูดอีกครั้งว่า “คุณพ่อคุณแม่คะ เดี๋ยวฉันไปช่วยในครัวก่อนนะคะ” หลังพูดจบเธอออกจากห้องนั่งเล่นทันที
อีกด้าน เฮ่อหลานที่รู้สึกอับอายเล็กน้อย หันมองถังซวงพูดอย่างอับจนปัญญา “ซวงเอ๋อร์ คราวหน้าลูกควรจะควบคุมอารมณ์ให้มากกว่านี้ ยังไงซะนี่ก็วันปีใหม่นะลูก”
ก่อนถังซวงจะทันได้ตอบกลับ หญิงชราหันมองเฮ่อหลานแล้วพูดว่า “อาหลาน เธอผิดแล้ว ซวงเอ๋อร์ไม่ได้พูดอะไรผิดเลย ลั่วเฉิงต่างหากที่ไม่มีมารยาท ฉันได้ยินว่าเจียรุ่ยพยายามบอกกับเขาแล้ว แต่เขาก็ยังดื้อรั้น และสิ่งที่แย่ที่สุดคือความคิดของแม่ของเขา ทำราวกับว่าลูกชายของเธอคือเทพบุตร ทั้งหมดไม่ใช่ความผิดซวงเอ๋อร์แม้แต่น้อยที่ไม่ชอบลั่วเฉิง”
“อะไรกัน… คุณพานดูถูกซวงเอ๋อร์หรือคะ?”
“ใช่ ซวงเอ๋อร์ทำถูกต้องแล้ว ไม่ต้องดุเธอหรอก”
เฮ่อหลานไม่รู้จริง ๆ ว่าเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น และเมื่อรับรู้เรื่องทั้งหมด เธอก็โกรธมาก
ส่วนถังซวงพูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่เป็นไรหรอกค่ะแม่ ไม่มีอะไรต้องโกรธ มันจะดีกว่าถ้าเราพูดให้ชัดเจน ไม่อย่างนั้นคนอื่นคงจะว่าฉันกำลังมีใจ แต่แบบนี้มันก็ทำให้ป้าของฉันต้องกลืนไม่เข้าคายไม่ออกไปด้วย”
เมื่อได้ยินอย่างนี้แล้ว เฮ่อหลานก็ถอนหายใจและพูดว่า “ใช่ ยังไงซะนั่นก็คือครอบครัวของพี่สะใภ้”
เวลานี้พานลี่ฮวากำลังรอเวลา และเมื่อเธอรู้สึกว่าครอบครัวของพี่ชายน่าจะออกไปแล้ว เธอจึงยกหูโทรศัพท์ทันที
[ลี่ฮวา มีอะไรงั้นหรือ?]
เยี่ยฟู่เซียงรับโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
เมื่อเห็นว่าพี่สะใภ้มีท่าทีอย่างนี้ พานลี่ฮวายิ่งโกรธจัด [พี่สะใภ้คะ วันนี้คุณไปทะเลาะกับเด็กอย่างซวงเอ๋อร์ทำไมกัน ไม่รู้หรือว่าคุณพ่อและคุณแม่ชอบเธอมากแค่ไหน?]
เมื่อได้ยินอย่างนี้แล้ว เยี่ยฟู่เซียงโกรธจัด
[อะไรกัน ถังซวงพูดกับลั่วเฉิงแบบนั้นได้ ทำไมฉันจะต่อว่าเธอไม่ได้!]
[พี่สะใภ้คะ เจียรุ่ยบอกลั่วเฉิงก่อนหน้านี้แล้วว่าซวงเอ๋อร์มีเพื่อนชายคนสนิทที่เหมาะสมเคียงข้างแล้ว และบอกกับลั่วเฉิงว่าให้หยุดคิดเรื่องนี้ แต่ทำไมลั่วเฉิงไม่ฟัง]
เยี่ยฟู่เซียงแทบจะระเบิดเมื่อได้ยินอย่างนั้น
[ถังซวงก็แค่เด็กสาวจากชนบท โชคดีแค่ไหนแล้วที่ลั่วเฉิงมาชอบ แต่เธอยังคิดเล่นตัว นี่เธอคิดว่าตัวเองสูงส่งมาจากไหนกัน?]
ตอนนี้พานลี่ฮวาเริ่มเข้าใจ เป็นเพราะพี่สะใภ้ตั้งแง่กับถังซวงมาตั้งแต่ต้น และเมื่อเธอได้รู้ว่าถังซวงก็ไม่ชอบลั่วเฉิงตอบ เลยยิ่งโกรธจัด เมื่อคิดเรื่องนี้แล้วเธอเลยรู้สึกว่าพูดไปก็ไร้ประโยชน์ [พี่สะใภ้ ฉันสามารถพูดได้เลยว่าซวงเอ๋อร์จะเป็นลูกสาวคนโตของตระกูลเฮ่อ เธอไม่ได้อวดดีหรือเล่นตัว แต่เธอแค่ไม่ชอบลั่วเฉิง เอาเถอะ ฉันมีอย่างอื่นต้องทำ ขอตัวก่อนนะคะ สวัสดีค่ะ]
หลังพูดอย่างนี้ พานลี่ฮวาวางสายทันที
“เอ้า… ลี่ฮวา พานลี่ฮวา!”
เมื่อได้ยินเสียงตัดสายจากโทรศัพท์ เยี่ยฟู่เซียงก็วางโทรศัพท์ลงอย่างไม่พอใจด้วยใบหน้าบูดบึ้ง แต่ไม่ช้าเธอก็สงบจิตใจได้ เธอประเมินสถานะของถังซวงในตระกูลเฮ่อต่ำเกินไป เห็นชัดว่าผู้เฒ่าเฮ่อยอมที่จะเปิดปากปกป้องเด็กคนนั้นในวันนี้ ดังนั้นแม้เธอจะไม่ชอบถังซวง แต่ต่อไปเธอก็จะต้องทักทายถังซวงด้วยรอยยิ้ม แค่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว เยี่ยฟู่เซียงแทบจะอาเจียนเป็นเลือด
อีกด้านหนึ่ง พานลี่ฮวาไม่ได้รู้สึกดีขึ้นมากนัก เธอยิ่งโกรธครอบครัวของพี่ชายมากขึ้นไปอีก
แต่วันนี้เป็นวันส่งท้ายปีเก่า และเธอมีเรื่องต้องจัดการมากมาย ดังนั้นเลยไม่มีเวลาจะคิดเรื่องนี้
เมื่ออาหารกลางวันพร้อมแล้ว ตระกูลเฮ่อกลับมานั่งรวมกันและคนอื่น ๆ ก็มาร่วมอวยพรปีใหม่
ผู้เฒ่าเฮ่อทั้งสองให้สามแม่ลูกอยู่ข้างกายไม่ห่าง แล้วแนะนำคนที่มาเยี่ยมเยียนให้รู้จักกับถังซวงและคนอื่น ๆ เพื่อให้ทุกคนเห็นว่าผู้อาวุโสทั้งสองให้ความสำคัญกับพวกเขามากแค่ไหน
หลังอาหารกลางวัน เฮ่อหลานพาลูกสาวทั้งสองกลับไปที่ห้อง
“อ่า… เหนื่อยจัง ทำไมแค่การกินข้าวช่วงวันปีใหม่ถึงเหนื่อยมากขนาดนี้กันนะ”
ถังเซวี่ยนั่งพิงโซฟาอย่างหมดแรง
เมื่อเห็นลูกสาวคนเล็กเป็นอย่างนี้ เฮ่อหลานอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “แต่แม่เห็นว่าลูกกินไม่หยุดปากเลยนะ ทั้งยังยิ้มตลอดเวลา ไม่น่าจะเหนื่อยขนาดนั้นนะ”
“แม่คะ การกินอาหารไม่เคยเหนื่อยสักหน่อย”
ถังซวงยิ้มและมองถังเซวี่ยหลังได้ยินอย่างนั้น และพูดว่า “เหมือนว่าเธอจะสนใจแต่เรื่องกินนะ”
“ไม่ใช่นะคะ ฉันก็สนใจเรื่องอื่นด้วยเหมือนกัน”
และถังเซวี่ยอดไม่ได้ที่จะพูดว่า “ฉันไม่รู้ว่าจูรุ่ยเป็นยังไงบ้างตอนนี้ มันจะไม่อันตรายหรือคะถ้าเธอกลับไปที่บ้าน?”
แต่เฮ่อหลานรู้สึกสับสนเมื่อได้ยินอย่างนั้น
“ทำไมกลับไปที่บ้านถึงอันตรายล่ะ?”
ถังเซวี่ยรีบเล่าเรื่องของจูรุ่ยให้แม่ฟัง “ชีวิตของจูรุ่ยก็ลำบากมากเหมือนกันค่ะ แต่คราวนี้พี่สาวช่วยชีวิตเธอไว้ ถ้ามีอันตรายเกิดขึ้นอีกครั้ง เธออาจจะไม่โชคดีอย่างนี้แล้ว”
“อะไรนะ…”
เฮ่อหลานตกใจหลังได้ยินเรื่องพวกนี้ “มันเกิดขึ้นได้ยังไง ถ้าเป็นเรื่องจริง สาวน้อยคนนั้นนับว่าน่าเป็นห่วงมากนะ จูรุ่ยยิ่งต้องระวังตัวให้มาก”
เดิมทีถังซวงและถังเซวี่ยกังวลเรื่องจูรุ่ยไม่น้อย แต่พอผ่านพ้นไปหกวัน พวกเขาได้ยินเรื่องราวบางอย่าง
“พี่คะ พี่รู้ข่าวไหมว่าจูเหลียนล้มจนขาหัก เธอต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลนานเลยค่ะ”
เมื่อเห็นใบหน้าของถังเซวี่ยที่ยิ้มกว้างอย่างนั้น ถังซวงยกยิ้มแล้วถามว่า “เธอมีความสุขหรือที่เห็นว่าจูเหลียนเจ็บตัว?”
“แน่นอนค่ะ จูเหลียนเป็นคนไม่ดี ฉันดีใจที่เห็นว่าเธอได้รับผลกรรมซะบ้าง”
ถังซวงยิ้มแล้วไม่พูดอะไร ความจริงแล้วเธอสงสัยเรื่องของจูเหลียนไม่น้อยว่าอีกฝ่ายบังเอิญขาหักได้ยังไงกัน แต่สุดท้ายแล้วความสงสัยของเธอก็ถูกคลี่คลายอย่างรวดเร็ว
“พี่ซวงคะ ในที่สุดฉันก็ทำได้แล้ว ถึงจูเหลียนจะแค่บาดเจ็บเล็กน้อย แต่ฉันจะทำได้ดีมากขึ้นแน่นอน ในอนาคตมันจะต้องดีกว่านี้”
ถังซวงเลิกคิ้วสูงพร้อมหันมองจูรุ่ยแล้วถามว่า “เธอเป็นคนทำหรือ?”
“ใช่ค่ะ ก็ในเมื่อเธอต้องการทำร้ายฉัน ฉันก็จะต้องตอบโต้บ้าง”
ถังซวงไม่พูดอะไรอีกเมื่อได้ยินอย่างนั้น เธอไม่คิดสนใจมันมากนัก
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเงียบไป จูรุ่ยรีบเปลี่ยนเรื่อง “พี่ซวงคะ ฉันได้ยินว่าแม่ของพี่เก่งเรื่องเย็บปัก จริงหรือคะ?”
หลังจากได้ยินอย่างนี้แล้ว ถังซวงขมวดคิ้วพร้อมกับมองจูรุ่ยแล้วถามว่า “เธอคิดจะทำอะไร?”
“พี่ซวงคะอย่าเพิ่งเข้าใจผิด ฉันก็แค่ต้องการซื้อเสื้อปัก ฉันเลยอยากถามว่าคุณป้าพอจะทำได้ไหม ถ้าได้ ฉันก็จะได้ไม่ต้องหาคนอื่นค่ะ”