การหวนคืนสู่ยุค 70 ของเศรษฐีนีผู้มั่งคั่งร่ำรวย - บทที่ 19 รับโชคลาภ(รีไรท์)
บทที่ 19 รับโชคลาภ(รีไรท์)
บทที่ 19 รับโชคลาภ(รีไรท์)
เมื่อถังซวงกลับถึงบ้าน คนส่วนใหญ่ในหมู่บ้านยังคงออกไปทำงานอยู่ ดังนั้นจึงไม่มีใครสังเกตเห็นพวกเขาที่ขนของใช้ในบ้านกลับมาเต็มไปหมด
ถังซวงให้ลูกกวาดผลไม้ครึ่งหนึ่งแก่คนส่ง ชายคนนั้นเห็นถังซวงที่สุภาพกับเขาก็ยิ้มให้ถังซวง เขาช่วยขนย้ายของใช้ในบ้านทั้งหมดเข้ามาแล้วจัดให้เข้าที่เสร็จสรรพ “พวกเธอจะให้เราวางไว้แบบนี้จะดีเหรอ?”
“แบบนี้เลยค่ะ คุณลุง ขอบคุณมากนะคะ”
“ไม่เป็นไร ๆ งั้นฉันกลับก่อนนะ”
เขาพูดพร้อมยิ้มให้ถังซวงแล้วรีบกลับไปที่ตำบล
เมื่อเธอเห็นของใช้มากมายในบ้านก็อารมณ์ดีเป็นอย่างยิ่ง
“แม่คะ หนูอยากกินข้าว มาทำอาหารกันเถอะ”
เมื่อได้ยินคำพูดของลูกสาว เฮ่อหลานที่เปิดปากจะพูดก็ได้แต่พยักหน้าแล้วพูดว่า “อืม แม่จะทำให้เลยก็แล้วกัน วันนี้ลูกเหนื่อยกันมาก มาทำอาหารอร่อย ๆ กินกันดีกว่า”
เฮ่อหลานไปทำอาหารทันที จากนั้นไม่นานข้าวก็หุงเสร็จ วันนี้มีทั้งไข่คน มันฝรั่งตุ๋น และซุปวุ้นเส้นกะหล่ำปลี แม้ว่าจะมีเพียงสามอย่าง แต่มันก็เพียงพอสำหรับพวกเธอแล้ว
หลังอาหารเย็น ทั้งสามแม่ลูกก็เริ่มจัดข้าวของที่ซื้อมา
ถังซวงนำภาพวาดทั้งหมดมารวมกัน ส่วนหนังสือเรียนเธอยกไปไว้ที่อื่น
เฮ่อหลานมองดูภาพวาดเหล่านั้นแล้วพูดอย่างกังวลว่า “เก็บของพวกนี้ไว้อาจมีปัญหาตามมาได้นะ เราจะซ่อนมันที่ไหนดีล่ะ”
“ของพวกนี้เดี๋ยวหนูซ่อนเอง ไม่มีใครรู้แน่นอน” แน่นอนว่าในช่องว่างมิติปลอดภัยที่สุดเพราะไม่มีใครนอกจากเธอที่รู้
แต่ก่อนที่เฮ่อหลานจะพูดอะไรต่อ ถังเซวี่ยก็เอ่ยเสริม “ใช่ ๆ ให้พี่สาวจัดการดีกว่า พี่ต้องซ่อนมันได้แน่”
เฮ่อหลานเชื่อในตัวลูกสาวคนโตจึงยอมให้ถังซวงดูแลภาพวาด
“เอาล่ะ งั้นเอาไปเก็บก่อนดีกว่า”
ถังซวงหยิบภาพวาดทั้งหลายขึ้นมาแล้วตรงไปที่ห้องของเธอเพื่อเอามันเก็บไว้ในช่องว่างมิติ เก็บเสร็จเธอก็ออกมาจากห้อง
“ซวงเอ๋อร์ พวกลูกไปอ่านหนังสือกันเถอะ แล้วก็นี่กล่องหนังสือนะ อ่านเสร็จแล้วก็เก็บให้ดี” เฮ่อหลานเห็นลูกสาวคนโตออกมาจากห้องแล้วก็เรียกเธอพร้อมรอยยิ้มบนหน้า
ถังซวงตอบกลับด้วยรอยยิ้ม “ค่ะ”
แต่กล่องหนังสือไม้พะยูงนั้นมีฝุ่นเกาะอยู่ไม่น้อย ถังซวงหยิบผ้ามาเช็ดทำความสะอาดสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง “เดี๋ยวนะ… กล่องหนังสือดูแปลก ๆ แฮะ”
เฮ่อหลานและถังเซวี่ยที่กำลังเรียงหนังสือมองมาอย่างสงสัย “แปลกยังไง?”
“กล่องหนังสือทั่วไปมันต้องสูงอย่างน้อยครึ่งเมตร แต่ช่องเก็บของของกล่องนี่สูงเกือบสี่สิบเซนติเมตร แถมด้านล่างยังเป็นโพรงอีก แสดงว่า… ต้องมีชั้นซ่อนอยู่แน่ ๆ” ขณะที่พูด ถังซวงก็ตรวจสอบด้านล่างของตู้หนังสืออย่างระมัดระวัง ในที่สุดเธอสัมผัสโดนจุดเล็ก ๆ พอเธอกดลงไปเบาๆ ลิ้นชักลับก็โผล่ออกมาจากด้านล่างของตู้หนังสือ
“นี่… นี่…”
เฮ่อหลานมองสิ่งของในลิ้นชักด้วยความตกใจ
“ว้าว… มันสวยมากเลย”
ถังเซวี่ยมองไปที่เครื่องประดับตรงหน้าที่เปล่งประกายแวววับ
แม้แต่ถังซวงก็ยังประหลาดใจ แม้ว่าลิ้นชักนี้จะไม่ใหญ่มากนัก แต่สิ่งที่อยู่ข้างในกลับมีมากมาย ทั้งอัญมณี กำไลหยกหลากสี รวมถึงชุดเครื่องพลอยทับทิม และที่โดดเด่นที่สุดคือสร้อยข้อมือทองคำประดับหยกแดง ถ้าเอากำไลนี้ไปขายในอนาคต มันจะมีมูลค่าหลายสิบล้านแน่นอน
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ถังซวงก็ผลักลิ้นชักกลับทันที
“แม่คะ เสี่ยวเซวี่ย ของพวกนี้จะให้ใครรู้ไม่ได้ เพราะงั้นหนูจะเอามันไปซ่อนไว้ก่อน ไว้หนูจะเอาออกมาให้พวกเราได้ใส่กันนะ”
เมื่อได้ยินคำพูดของถังซวง เฮ่อหลานและถังเซวี่ยก็รู้สึกตัว ทั้งสองโบกมืออย่างรวดเร็วแล้วพูดว่า “ไม่ ไม่ เอาไปซ่อนเถอะ แล้วก็ไม่ต้องแบ่งให้แม่กับน้องหรอก”
ถังซวงพูดกับเฮ่อหลานว่า “แม่เป็นคนเจอกล่องหนังสือนี้นะ ทั้งหมดนี้ต้องเป็นของแม่สิ หนูจะเก็บไว้ให้ก่อนก็เท่านั้น”
เมื่อเห็นลูกสาวคนโตพูดอย่างจริงจัง เฮ่อหลานก็หัวเราะ “เราสามคนแม่ลูกไม่ต้องแบ่งของพวกนี้กันหรอก ถึงแม่จะเจอมัน ยังไงของพวกนี้ก็เป็นของพวกลูกในอนาคตอยู่ดี” เมื่อพูดจบ เธอก็ให้ถังซวงเอาไปซ่อนทันที
ถังซวงรู้ว่าสิ่งเหล่านี้จะให้ใครเห็นไม่ได้ เธอจึงนำกล่องหนังสือไปที่ห้องและนำไปใส่ในช่องว่างมิติทันที
เมื่อแม่และลูกสาวทำทุกอย่างเสร็จเรียบร้อย พวกเธอก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ใบหน้าของทั้งสามคนเผยสีหน้ามีความสุขล้นปรี่ออกมา
“แม่ พี่สาว ครั้งนี้เราได้กำไรใช่ไหม?”
เมื่อเห็นท่าทางที่มีความสุขของถังเซวี่ย ถังซวงก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “ใช่ เราทำเงินได้มากเลยล่ะ แต่เราทุกคนต้องเก็บมันเป็นความลับ ห้ามเอาไปพูดนะ”
“อื้ม หนูรู้ หนูไม่พูดแน่นอน”
ถังเซวี่ยมั่นใจ ใบหน้าของเธอเต็มไปด้วยความจริงจัง
เฮ่อหลานก็มีความสุขและรู้สึกว่าอนาคตของพวกเธอจะดีขึ้นเรื่อย ๆ แน่ แต่ตอนนี้ยังมีหนี้อยู่ พวกเธอคงต้องทำงานหนักขึ้น “ซวงเอ๋อร์ เสี่ยวเซวี่ย เที่ยงนี้พวกลูกไปงีบหน่อยเถอะ แม่จะเริ่มปักผ้าสักหน่อย”
“แม่ วันนี้เหนื่อยมากแล้ว แม่เองก็พักผ่อนก่อนเถอะ”
เฮ่อหลานยิ้ม เธอส่ายหัวแล้วพูดว่า “แม่ไม่เหนื่อยหรอก หลายวันมานี้เรากินอิ่มมามากพอแล้ว ตอนนี้แม่ดีขึ้นแล้วล่ะ”
ถังเซวี่ยพูดด้วยรอยยิ้ม “หนูก็ไม่เหนื่อยเหมือนกัน”
เมื่อเห็นว่าทั้งสองไม่เหนื่อย ถังซวงก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “ในเมื่อแม่ไม่ว่าง งั้นหนูไปที่ภูเขานะ หนูเริ่มคุ้นเคยกับแถวนี้แล้ว”
“หนูจะไปกับพี่ด้วย”
เมื่อได้ยินพี่สาวบอกจะไปบนภูเขา ถังเซวี่ยก็มองไปที่ถังซวงอย่างคาดหวัง
เมื่อเห็นน้องสาวเช่นนี้ ถังซวงจะไม่ใจอ่อนได้ยังไงกัน “ไปสิ ไปเอาตะกร้ามา”
“ตกลง ๆ”
เมื่อเห็นแบบนี้ เฮ่อหลานก็เอ่ยเตือน “ระวังกันด้วยนะ”
“แม่ไม่ต้องห่วง เราจะระวังตัวอย่างดี หนูจะปกป้องเสี่ยวเซวี่ยเอง”
ตอนนี้เฮ่อหลานเชื่อใจลูกสาวคนโตของเธอมาก “รีบกลับมาล่ะ”
แม่กับลูกสาวกำลังคุยกัน ส่วนถังเซวี่ยหยิบตะกร้าขึ้นมาด้วยความตื่นเต้น เธอพูดกับถังซวง “พี่สาว ไปกันเถอะ”
เมื่อเห็นถังเซวี่ยตื่นเต้นแบบนั้น ถังซวงก็หัวเราะ “ได้ ๆ ไปกันเถอะ”
หลังจากทั้งสองพี่น้องขึ้นไปบนภูเขา ถังเซวี่ยก็ยิ่งรู้สึกแปลกใหม่กับสิ่งตรงหน้า เธอพยายามเดินไปตามทาง จากนั้นก็พูดว่า
“เสี่ยวเซวี่ย ไปทางนี้กันเถอะ เดินทางบนภูเขามันไม่ง่ายนะ” ถังซวงเห็นถังเซวี่ยเดินห่างไกลมากขึ้นเรื่อย ๆ ก็อดไม่ได้ที่จะร้องเรียก
ถังเซวี่ยมองไปรอบ ๆ ด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้น เมื่อได้ยินพี่สาวเรียก เธอก็กำลังจะเดินไปทางพี่สาว แต่แล้วเธอก็เห็นบางอย่างสีแดงด้านหน้า “พี่สาว ดูสิ มีผลไม้อะไรไม่รู้สีแดง ๆ มันกินได้ไหม?”
ถังซวงได้ยินก็มองตามทิศนิ้วมือของถังเซวี่ยที่ชี้ไป จากนั้นดวงตาของเธอก็เบิกโพลง เธอรีบวิ่งไปข้างหน้าเพื่อดูให้ชัด ๆ
มันคือโสม!!
เธอไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง “ให้ตายเถอะ ที่นี่มีโสมด้วย แถมมีมากกว่าหนึ่งต้นด้วย”
“พี่ มันคือโสมเหรอ? งั้นเราก็ขุดเอามันกลับไปเถอะ”