การหวนคืนสู่ยุค 70 ของเศรษฐีนีผู้มั่งคั่งร่ำรวย - บทที่ 192 เปิดตัวอย่างเป็นทางการ
บทที่ 192 เปิดตัวอย่างเป็นทางการ
บทที่ 192 เปิดตัวอย่างเป็นทางการ
พานลี่ฮวาได้ยินคำพูดของเยี่ยฝูเซียงแล้วรีบตอบกลับว่า [พี่สะใภ้ ทั้งคุณพ่อและคุณแม่รู้แล้วค่ะว่านี่เป็นเรื่องเข้าใจผิด เพราะฉะนั้นคุณไม่จำเป็นต้องมาที่นี่หรอกค่ะ]
เยี่ยฝูเซียงได้ยินอย่างนั้นแล้ว เธอก็รู้ทันทีว่าอีกฝ่ายไม่คิดสนใจ และไม่ยินยอมที่จะเปิดประตูต้อนรับ เธอจึงทำได้เพียงถามด้วยเสียงอ่อน
[ลี่ฮวา ฉันไปที่นั่นไม่ได้หรือ?]
พานลี่ฮวาตอบตามตรง [พี่สะใภ้คะ ไม่ได้จริง ๆ ค่ะ]
เมื่อเห็นพานลี่ฮวายืนยันอย่างนั้นแล้ว เยี่ยฝูเซียงก็ไม่ได้พูดอะไรพร้อมวางสายไปในทันที
เยี่ยฝูเซียงสูดลมหายใจลึกและพยายามที่จะระงับความโกรธของตนเอง พลางตรงไปที่ห้องของพานลั่วเฉิง “ลั่วเฉิง! ทำไมยังนอนอยู่อีก รีบลุกขึ้นเร็วเข้า” หลังจากที่เธอพยายามตะโกนอยู่หลายครั้ง ก็ไม่มีเสียงตอบรับจากในห้อง เยี่ยฝูเซียงลองเข้าไปด้านในก็พบว่าไม่มีใครอยู่ในห้อง
เวลานี้พานลั่วเฉิงอยู่ที่บ้านของตระกูลซู เขามองแขนที่ห้อยอยู่ของซูยี่ด้วยความตกตะลึง “ซูยี่ มือของนาย…?”
ใบหน้าของซูยี่หม่นหมองอีกครั้ง ในแววตาเต็มไปด้วยความโกรธแค้นอย่างถึงที่สุด หลังจากได้ยินพานลั่วเฉิงพูดอย่างนั้น เขาแค่ตอบสั้น ๆ อย่างเย็นชา “มันไร้ประโยชน์”
“อะไรนะ…”
พานลั่วเฉิงตกใจมากหลังได้ยินอย่างนั้น ตระกูลซูนับว่าเป็นตระกูลที่ยิ่งใหญ่ ผู้คนมากมายในเมืองก่างเฉิงต่างนับถือ ใครจะกล้ามีปัญหากับตระกูลซู? ไม่มีใครหน้าไหนทั้งนั้นที่จะกล้าขัดแย้งและทำให้ตระกูลซูต้องขุ่นเคืองใจ
แต่กระนั้นซูยี่ก็นึกได้ว่าเป็นเพราะพานลั่วเฉิงที่พาถังซวงมาให้เขารู้จัก ดวงตาก็ยิ่งทวีความโกรธแค้นขึ้นไปอีก
หลังจากเห็นแววตาของซูยี่แล้ว พานลั่วเฉิงกลับไม่เข้าใจ “ซูยี่ ทำไมนายมองฉันแบบนั้น? อย่าคิดบ้า ๆ นะ ฉันไม่รู้จริง ๆ ว่าเรื่องราวมันจะใหญ่โตขนาดนี้ ฉันเองแหละที่มาหานายช้าไป”
ซูยี่ไม่สนคำพูดของพานลั่วเฉิง เขามองแขนของตัวเองพร้อมพูดเน้นย้ำ “แล้วนายรู้ไหมว่าใครเป็นคนทำให้แขนของฉันต้องพิการ?”
“ใคร?”
พานลั่วเฉิงถามออกไปโดยไม่รู้ตัว ขณะเดียวกันก็นึกถึงว่าใครในเมืองก่างเฉิงที่กล้ามีปัญหากับซูยี่ได้ แต่เขาก็นึกไม่ออก
ซูยี่หัวเราะแล้วตอบว่า “นายคงจะเดาไม่ออกหรอก” แววตาของซูยี่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง “เป็นถังซวงไง นังสารเลวนั่นหักมือฉัน”
“อะไรนะ… เป็นไปไม่ได้…”
พานลั่วเฉิงไม่อยากจะเชื่อเลยว่าหญิงสาวบอบบางอย่างถังซวงจะสามารถหักมือของซูยี่ได้ และถ้าเป็นถังซวงจริง ๆ ทำไมซูยี่ถึงไม่กล้าที่จะแก้แค้นเลยล่ะ?
หลังเห็นสีหน้าตกตะลึงของพานลั่วเฉิงแล้ว ซูยี่ก็ตะคอกเน้นย้ำ “คงไม่อยากจะเชื่อสินะ? ว่านังนั่นทำให้มือของฉันพิการ และที่น่าตลกไปกว่านั้นคือพ่อไม่ยอมให้ฉันแก้แค้นนี่สิ หึ… คุณชายซูผู้สง่างามแต่กลับไม่สามารถแก้แค้นนังผู้หญิงสารเลวที่ทำให้ฉันพิการได้ รู้ถึงไหนคงจะอับอายถึงนั่น!”
“นี่… คุณลุงถึงกับยอมถังซวงง่าย ๆ อย่างนั้นเลยหรือ เป็นไปได้ยังไงกัน”
“ทำไมจะไม่ได้? มันเกิดขึ้นแล้วไง! ถังซวงไม่ใช่แค่ลูกหลานของตระกูลเฮ่อ แต่ภูมิหลังของเธอก็ยังน่าหวาดกลัว แม้แต่พ่อของฉันก็ยังกลัว!” วันนั้นที่เขาเห็นถังซวงและเฟ่ยไห่ชางสนิทสนมกัน เขาก็พอจะคาดเดาได้แล้วว่าถังซวงคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดาแน่
หลังจากเห็นท่าทางของซูยี่แล้ว พานลั่วเฉิงรู้สึกว่าทั้งหมดนี่มันเป็นไปได้ แต่ขณะเดียวกันเขาก็อดไม่ได้ที่จะถาม “ซูยี่ แล้วทำไมถังซวงถึงลงมือกับนายจนแขนหักอย่างนี้ล่ะ?”
ซูยี่เผยแววตาซุกซนก่อนจะพูดว่า “นั่นเป็นเพราะเธอรำคาญฉันน่ะสิ เธอก็เลยจัดการกับฉันด้วยตัวเอง”
“นี่มัน…”
เมื่อนึกถึงตนเองที่หมกมุ่นถึงเรื่องของถังซวง และความเจ็บปวดจากเรื่องราวก่อนหน้า หัวใจของพานลั่วเฉิงก็เต้นรัวก่อนจะลอบนึกในใจว่าตนคงไม่โชคร้ายเช่นนี้นะ
แต่ซูยี่กลับมองไม่เห็นท่าทางของพานลั่วเฉิง เขาพูดต่อว่า “ถังซวงเป็นคนไร้ค่าและเธอพร้อมจะลงมือทุกเมื่อ ดูเหมือนนายจะชอบเธอมากนะ ระวังตัวให้ดีล่ะ”
“อืม ฉัน… เข้าใจแล้ว”
แน่นอนว่าพานลั่วเฉิงรีบพยักหน้าตอบ จากนั้นเขาจึงอยู่ที่นี่ต่อสักพัก ก่อนจะรีบกลับออกไป
หลังจากพานลั่วเฉิงกลับมาถึงบ้าน เยี่ยฝูเซียงตะหวาดด้วยความขุ่นเคือง “ลั่วเฉิง แกหายไปไหนมา? ไม่รู้หรือว่าที่บ้านเกิดอะไรขึ้น? ถ้าไม่คิดจะช่วยเหลือกันก็อย่าทำตัวให้มีปัญหาได้ไหม?”
หลังได้ยินอย่างนั้นแล้ว พานลั่วเฉิงมองเยี่ยฝูเซียงแล้วตอบว่า “แม่ครับ ผมสร้างปัญหาตั้งแต่เมื่อไหร่? แม่มากกว่าที่สร้างปัญหา ทำไมแม่ถึงไม่ชอบถังซวงล่ะครับ? อ้อ แต่ไม่เป็นไรแล้วละ เพราะตอนนี้เธอไม่ชอบพวกเราทุกคนแล้ว”
“แก… ตอนนี้แกคิดจะพูดกับฉันอย่างนี้หรือ? ใครปล่อยให้แกเอาแต่หมกมุ่นคิดถึงนังผู้หญิงคนนั้น ฉันก็ต้องรีบจัดการถังซวงเองสิ!”
“แม่ครับ อย่ายุ่งกับถังซวงอีก เธอไม่ใช่คนที่แม่ควรจะเข้าไปยุ่งได้หรอกนะ”
“แกหมายความว่าอย่างไร ทำไมถึงไม่ให้ฉันเข้าไปยุ่ง? แกคิดว่าฉันกำลังยั่วโมโหถังซวงอยู่งั้นหรือ?”
พานลั่วเฉิงรีบพูดเรื่องแขนของซูยี่ที่พิการเพราะถังซวง สุดท้ายเขาพูดว่า “ดูเอาเถอะครับว่าตระกูลซูที่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้นแต่กลับยอมให้ซูยี่ต้องพิการ อีกอย่างลุงซูยังไม่ยอมให้ซูยี่แก้แค้นถังซวงด้วย แล้วแม่คิดว่าถังซวงดีพอหรือยังครับ? หึ ตอนนี้เราควรจะอยู่ให้ห่างจากเธอมากที่สุด”
หลังได้ยินสิ่งที่ลูกชายพูดออกมา เยี่ยฝูเซียงก็ตกใจมาก เวลานี้เธอกลับสู่ความกังวลอีกครั้งแล้ว
“นี่… นับตั้งแต่ทะเลาะกันคราวก่อนและพวกเรารีบร้อนกลับออกมา ไม่รู้ว่าถังซวงจะหายโกรธบ้างหรือยัง แม่อยากจะไปขอโทษเธอด้วยตัวเอง”
“ครับ คราวหน้าเราค่อยไปที่นั่นด้วยกัน”
พานลั่วเฉิงเห็นด้วย
และอีกด้าน ถังซวงไม่รู้จริง ๆ ว่าเวลานี้คนอื่นกำลังหวาดกลัวเธอมากแค่ไหน หลังจากเธอรอพานลี่ฮวาพูดจบ เธอจึงเริ่มเข้าไปคุยเรื่องธุรกิจเครื่องสำอาง “คุณป้าคะ บริษัทจดทะเบียนเรียบร้อยหรือยังคะ?”
“ซวงเอ๋อร์ ไม่ต้องกังวล ทุกอย่างเรียบร้อยดีแล้ว เธอสามารถเปิดตัวยาได้ทุกเมื่อเลยนะ” พานลี่ฮวายิ้มกว้างพร้อมกล่าวต่อว่า “ซวงเอ๋อร์ ยาบำรุงผิวชุดแรกผลิตเสร็จแล้วอย่างนั้นหรือ?”
หลังจากซวงเอ๋อร์ซื้อสิ่งต่าง ๆ กลับมา เธอก็เอาแต่หมกตัวอยู่ในห้องเพื่อทดลองผลิตยาบำรุงผิวทันที แม้พานลี่ฮวาจะอยากรู้อยากเห็นมาก แต่ก็ไม่เคยคิดจะเข้าไปรบกวนถังซวงแม้แต่ครั้งเดียว เช่นนี้เธอจึงไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกระทำถึงขั้นตอนไหนแล้ว
ถังซวงยิ้มแล้วตอบกลับว่า “คุณป้าคะ ยาชุดแรกทำเสร็จแล้ว เวลานี้บริษัทของเราน่าจะเริ่มเปิดตัวสินค้าได้แล้วค่ะ”
ทั้งสามแม่ลูกกำลังจะออกจากเมืองก่างเฉิง ดังนั้นถังซวงจึงคิดว่าเธอจะเปิดบริษัทเครื่องสำอางก่อนที่จะกลับ
หลังจากพานลี่ฮวาได้ยินอย่างนั้นแล้ว ใบหน้าของเธอก็เผยความประหลาดใจออกมา “ดีเลย ดีมาก เป็นวันที่ดีจริง ๆ เรามาเลือกวันเปิดตัวกันเถอะ”
“คุณป้าคะ งั้นเป็นพรุ่งนี้ดีไหม? ยังไงเราก็กระจายข่าวออกไปแล้ว และยาชุดแรกก็มีไม่มาก เราควรเปิดเลยจะดีกว่าค่ะ”
“ได้ งั้นตกลงตามนี้เลยจ้ะ”
ในวันที่สิบ บริษัทเครื่องสำอางซวงฮวา จำกัด ของถังซวงและพานลี่ฮวาก็ได้เปิดตัวขึ้นอย่างเป็นทางการ