การหวนคืนสู่ยุค 70 ของเศรษฐีนีผู้มั่งคั่งร่ำรวย - บทที่ 196 บอกกล่าว
บทที่ 196 บอกกล่าว
บทที่ 196 บอกกล่าว
เมื่อได้ยินคำพูดของจิงเจ้อหรงแล้ว เฮ่อหลานชะงักไปชั่วขณะก่อนจะเอ่ยตอบอย่างลังเล “เรื่องนี้… คงจะไม่ดีมั้งคะ”
“ไม่มีอะไรน่ากังวลเลยครับ ผมได้เจอกับสมาชิกในครอบครัวของเพื่อนร่วมงานทั้งหมดแล้ว อีกอย่างพวกเราก็กำลังจะมีชีวิตคู่ร่วมกัน ผมเลยอยากจะแนะนำคุณให้พวกเขารู้จักบ้าง”
เมื่อได้ยินจิงเจ้อหรงพูดอย่างนั้น เฮ่อหลานจึงไม่ปฏิเสธแล้วตอบกลับว่า “ได้ค่ะ”
จิงเจ้อหรงมีความสุขมากเมื่อเฮ่อหลานตอบตกลง “ครับ งั้นพรุ่งนี้เราจะไปร้านอาหารแล้วกินมื้อเที่ยงด้วยกันนะครับ”
หลังเห็นจิงเจ้อหรงมีความสุขจนออกนอกหน้า เฮ่อหลานถึงกับหัวเราะออกมา “เอาล่ะ งั้นเรามาพูดคุยกันดี ๆ จะดีกว่าค่ะ” หลังจากนั้นทั้งสองก็คุยกันยืดยาวราวกับมีเรื่องราวมากมาย และเมื่อเวลาผ่านไปจนดึก จิงเจ้อหรงทำได้เพียงแยกย้ายกลับไป
“ลุงจิงครับ ผมจะดูแลป้าหลานและคนอื่น ๆ อย่างดี คุณลุงไม่ต้องกังวลนะครับ”
โม่เจ๋อหยวนก็พักอยู่ในที่พักเดียวกันตอนนี้ เขาไม่ได้กลับไปพร้อมกับจิงเจ้อหรง
“อืม เสี่ยวโม่ รีบพากันเข้านอนด้วยล่ะ”
หลังจิงเจ้อหรงออกไปแล้ว เฮ่อหลานก็ถามไถ่เกี่ยวกับธุระของถังซวง “ซวงเอ๋อร์ มีอะไรที่ลูกต้องจัดการที่นี่ไหม? แล้วจะต้องใช้เวลาเท่าไหร่? อีกอย่างลูกสองคนกำลังจะเปิดเรียนแล้ว เราไม่ควรกลับไปช้านะ”
“แม่คะ มันเป็นเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ใช้เวลาสักสองสามวันก็เสร็จแล้วค่ะ”
หลังได้ยินอย่างนั้นแล้ว เฮ่อหลานพลันยิ้มกว้างก่อนจะตอบกลับว่า “ดีแล้ว จะได้กลับบ้านไปทันเปิดเรียน” หลังจากคุยกับลูกสาวคนโตเมื่อครู่ เธอก็เอ่ยออกไปอย่างลำบากใจว่าพรุ่งนี้เธอจะออกไปกินมื้อเที่ยงกับจิงเจ้อหรง
“แม่คะ นี่เป็นเรื่องที่ดีมาก แสดงว่าลุงจิงอยากให้แม่อยู่ในชีวิตของเขาด้วย เขาถึงคิดพาแม่ไปพบเพื่อนร่วมงานกับครอบครัวคนเหล่านั้น เอาเถอะค่ะ พรุ่งนี้แม่ควรจะไปและกินให้มาก ๆ ด้วยนะ”
เมื่อได้ยินลูกสาวพูดอย่างนั้นแล้ว เฮ่อหลานอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “ได้ ๆ แม่จะกินให้มากแน่นอน”
หลังจากคุยกันเสร็จแล้ว ทั้งหมดแยกย้ายกันไปพักผ่อน
โม่เจ๋อหยวนมีเรื่องมากมายที่อยากจะพูดคุยกับถังซวง แต่เขาคิดว่าพวกเธอคงจะเหนื่อยล้าจากการเดินทางมามากแล้ว จึงไม่อยากจะรบกวนอีก “ซวงเอ๋อร์รีบพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้จะได้สดชื่น”
“อืม”
ทั้งหมดแยกย้ายกันไปพักผ่อน
วันรุ่งขึ้น จิงเจ้อหรงมาที่นี่ตั้งแต่เช้าตรู่
เฮ่อหลานและถังซวงตื่นเช้าเช่นกัน เมื่อจิงเจ้อหรงมาถึง ทั้งสองก็พร้อมแล้ว
“อาหลาน ซวงเอ๋อร์ ผมซื้ออาหารเช้ามาให้ เดี๋ยวเรามากินด้วยกันนะครับ” เขามองไปรอบ ๆ พลางเอ่ยถามว่า “เสี่ยวเซวี่ยกับเสี่ยวโม่อยู่ไหนหรือครับ?”
หลังพูดอย่างนั้นแล้ว ถังเซวี่ยก็เดินออกมา แต่โม่เจ๋อหยวนเพิ่งกลับมาจากด้านนอก “อรุณสวัสดิ์ค่ะลุงจิง”
“เช้าแล้ว พวกเธอสองคนเข้ามากินอาหารเช้าด้วยกันเถอะ”
จิงเจ้อหรงซื้อของมามากมาย ถังซวงกินอย่างละนิด อย่างละหน่อย คนอื่น ๆ ก็เช่นกัน หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จแล้ว ถังซวงก็บอกกล่าวกับทุกคนว่าจะออกไปข้างนอก “แม่คะ ลุงจิง หนูจะไปข้างนอกสักพักนะคะ ไม่รู้ว่าจะได้กลับตอนไหน แต่ยังไงจะกลับมาหลังจากทุกอย่างเรียบร้อยค่ะ”
เฮ่อหลานพยักหน้าอย่างรวดเร็วก่อนจะกล่าวเสริมว่า “จ้ะ รีบไปรีบกลับนะ”
ถังซวงบอกกล่าวกับทุกคนด้วยรอยยิ้ม แต่โม่เจ๋อหยวนอยู่ข้างถังซวงตลอด และเมื่อเห็นว่าเธอจะออกไปข้างนอก เขาจึงติดตามไปด้วย
ถังซวงกำลังจะออกไป ถังเซวี่ยเห็นอย่างนั้นก็มองเฮ่อหลานพลางถามว่า “แม่คะ วันนี้แม่ต้องออกไปกินข้าวกับลุงจิงไม่ใช่หรือคะ? แม่ควรจะรีบไปแต่งตัวนะ ก่อนมื้อเที่ยงจะได้ไปเดินซื้อของบนถนนก่อนได้”
“เสี่ยวเซวี่ย แล้วลูกจะอยู่กับใครล่ะ?”
หลังได้ยินสิ่งที่ลูกสาวคนเล็กพูด เธอก็คิดได้ว่าถังเซวี่ยต้องอยู่คนเดียว
ทว่าถังเซวี่ยตอบกลับด้วยใบหน้าสดใส “แม่คะ หนูจะออกไปดูอะไรแถว ๆ นี้สักหน่อย แม่ไม่ต้องเป็นห่วงนะ ไปไม่นานก็กลับแล้ว”
แน่นอนว่าเฮ่อหลานไม่เห็นด้วย
“ไม่ได้ แม่ต้องเป็นห่วงลูกสิ สาวน้อยจะไปคนเดียวได้ยังไงกัน”
“แม่คะ หนูไปคนเดียวได้”
คราวนี้เฮ่อหลานไม่ยินยอม จิงเจ้อหรงเห็นอย่างนั้นก็เอ่ยขึ้นจากด้านข้าง “อาหลาน เดี๋ยวผมจะให้เหรินอวี่ไปกับเสี่ยวเซวี่ยด้วย คุณไม่ต้องกังวลนะครับ”
พอได้ยินจิงเจ้อหรงพูดอย่างนั้นแล้ว เฮ่อหลานจึงโล่งอก
หลังจากเหรินอวี่มาถึง เขาออกไปกับถังเซวี่ยทันที และเฮ่อหลานก็ออกไปกับจิงเจ้อหรง
อีกด้านหนึ่ง ถังซวงกับโม่เจ๋อหยวนมาที่บ้านของผู้เฒ่าฉีและตรงเข้าไปด้านในทันที
ผู้เฒ่าฉีเห็นว่าเป็นถังซวงมาพบ ดวงตาเต็มไปด้วยความยินดี “สาวน้อย ในที่สุดเธอก็มาสักที ไม่ได้พบกันตั้งนาน คิดถึงเธอจริง ๆ อ้อ ฉันอยากให้เธอช่วยตรวจร่างกายของฉันหน่อยว่ามันมีอะไรผิดปกติหรือเปล่า”
“แต่จริง ๆ ก็ไม่มีอะไรผิดปกติหรอก แต่พอฉันเดินนาน ๆ ก็จะเหนื่อยง่ายหน่อย”
ถังซวงมองผู้เฒ่าฉีตรงหน้าอย่างพิจารณาก่อนจะเดินเข้าไปแล้วตรวจสอบชีพจรของเขา “ผู้เฒ่าฉีไม่ต้องกังวลนะคะ ไม่มีอะไรผิดปกติแน่นอนค่ะ ตราบใดที่คุณยังดูแลตัวเองตามที่ฉันบอก ร่างกายของคุณจะดีขึ้นเรื่อย ๆ ค่ะ”
“ฮ่า ๆ… เอาเถอะสาวน้อย ฉันเชื่อฟังเธออยู่แล้ว และฉันก็ทำตามที่เธอบอกเอาไว้อย่างเคร่งครัดเลยด้วย”
“ดีแล้วค่ะ”
ถังซวงยิ้มกว้างก่อนจะเอ่ยถามว่า “ผู้เฒ่าฉีคะ ฉันขอถามเรื่องเกี่ยวกับตราประทับได้ไหมคะ?”
ถังซวงว่าพร้อมหยิบตราประทับออกมา ผู้เฒ่าฉีเห็นมันก็ยิ้มกว้างก่อนจะตอบกลับว่า “สาวน้อย ฉันเคยบอกไปแล้วก่อนหน้านี้ว่าโถงยี่ชีจะถูกส่งต่อให้กับเธอ ดังนั้นการมอบตราประทับให้กับเธอจึงเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้วไม่ใช่หรือ?”
“แต่ผู้เฒ่าฉีคะ ฉันว่าฉันปฏิเสธมันไปแล้ว แล้วฉันก็ไม่เหมาะที่จะเป็นผู้นำโถงยี่ชีค่ะ”
ผู้เฒ่าฉียิ้มพลางตอบกลับว่า “ไม่จริง เธอเหมาะสมที่สุดแล้ว และมีเพียงเธอเท่านั้นที่เหมาะสม”
เมื่อเห็นถังซวงไม่พูดอะไร ผู้เฒ่าฉีจึงพูดต่อว่า “ฉันได้ยินมาว่า เธอไปสร้างความขุ่นเคืองให้กับตระกูลซูที่ก่างเฉิง เธอรู้ไหมตระกูลซูไม่ใช่ใครที่จะไปยุ่งด้วยง่าย ๆ ได้ ถ้าเฟ่ยไห่ชางไม่บุกเข้าไปที่นั่นด้วย เธอคงไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้หรอก ทุกอย่างมีราคาที่ต้องจ่าย ดังนั้นมันไม่มีประโยชน์เลยที่เธอจะปฏิเสธการเป็นผู้นำของโถงยี่ชี โปรดรับไว้เถอะ”
“แต่ผู้เฒ่าฉีคะ ฉันไม่รู้อะไรของโถงยี่ชีเลยสักนิด แล้วคุณคิดว่าฉันจะสามารถควบคุมคนในโถงยี่ชีให้เชื่อฟังได้หรือคะ?”
“ไม่ต้องกังวลหรอก ไม่เห็นหรือว่าเฟ่ยไห่ชางยอมรับเธอแล้ว ไม่อย่างนั้นเขาย่อมไม่ให้เกียรติเธอแน่นอน อย่าประเมินตัวเองต่ำเกินไปเลย ถึงเธอจะบอกว่าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโถงยี่ชี แต่ฉันสามารถบอกกล่าวให้เธอเข้าใจในตอนนี้ได้”
จากนั้นผู้เฒ่าฉีก็บอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้เธอฟัง
“ความจริงที่หลายคนเข้าใจผิด อำนาจยิ่งใหญ่ที่สุดของโถงยี่ชีไม่ได้อยู่ในมณฑลเจียง แต่อยู่ในเมืองก่างเฉิง และเมืองไห่เฉิง เพราะเหตุนี้ทำให้ตระกูลซูที่อยู่ในเมืองก่างเฉิงไม่ได้ติดตามเอาเรื่องจากเธอหลังจากเห็นหน้าเฟ่ยไห่ชาง ทั้งหมดนี่เป็นเพราะโถงยี่ชีของพวกเรามีอำนาจมากในเมืองก่างเฉิงยังไงล่ะ”
ขณะที่ผู้เฒ่าฉีพูดอย่างนั้น ใบหน้าก็เผยความภาคภูมิใจล้นปรี่